"จตุพร"ย้อน6ปีรัฐประหาร57 เชื่อฝ่ายปชช.ได้รับบทเรียนราคาแพง และต้องสูญเสียปชต.อย่างเจ็บลึกที่สุด ย้ำขบวนการเสื้อแดงเริ่มอ่อนแอตั้งแต่ปี54 จึงต่อสู้รักษาปชต.ไม่ได้ จนถูกคสช.เตรียมตัวกลเกมแยบยลยึดอำนาจไปได้ เชื่อทางออกของปท.อยู่ที่ทุกฝ่ายร่วมมือแก้รธน.60 รื้อกติกาสร้างปชต.นำพาประเทศกันใหม่ แย้งยุบสภา-ปรับทีมศก.ช่วยฟื้นบ้านเมืองไม่ได้
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์รายการ PEACE TALK ระบุถึงครบรอบ 6 ปีการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภา 2557 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะเป็น ผบ.ทบ.ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียประชาธิปไตยด้วยราคาแพงและเจ็บลึกที่สุด
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ นำทหารยึดอำนาจ ซึ่งเป็นการทำรัฐประหารรูปแบบใหม่ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้ว แต่สถานการณ์ในช่วงนั้น กปปส.ชุมนุมซัดดาวน์กรุงเทพยึดเยื้อยาวนานตั้งแต่ปลายปี 2556 ถึง พ.ค.2557 จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจนำทหารทำรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.2557
ส่วน นปช.นั้น หลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ ก.ค.2554 และพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงนี้ขบวนการเสื้อแดงเริ่มอ่อนแอลงตามลำดับ ขณะเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (สมัยนั้น) ได้จัดตั้งขบวนการต่อต้านย้อนรอยเอาแบบอย่างกลุ่มคนเสื้อแดง จนนำไปสู่การชุมนุมคัดค้านการออก พรบ.นิรโทษกรรมสุดซอยเมื่อปลายปี 2556 แล้วขยายผลรุกไล่โค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นผลสู่การรัฐประหาร 2557
ทั้งนี้ การกล่าวเช่นนี้ เพื่อต้องการจะบอกว่า แม้การต่อสู้เพื่อชัยชนะเป็นเรื่องยาก แต่การต่อสู้เพื่อรักษาชัยชนะกลับยากที่สุดยิ่งกว่า เนื่องจากมิตรที่เคยร่วมต่อสู้กันมากลับกลัวกลุ่มคนเสื้อแดงเหมือนกับศัตรูกลัว กระทั่งนำไปสู่คนเสื้อแดงจึงอ่อนแอลงในที่สุด
ดังนั้น การยึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค.2557 นั้น คณะรัฐประหารชุดนี้จะไปดูแคลนไม่ได้ เพราะได้บทเรียนการเสียของจากยึดอำนาจเมื่อปี 2549 จึงแก้ไขไม่ให้บทเรียนเสียของเกิดซ้ำขึ้นอีก โดยทางจิตวิทยาได้บริหารความรู้สึกของคนไทยครบถ้วน ทางการทหารควบคุม สกัดฝ่ายต่อต้านจนขยับตัวไม่ได้ ซึ่งสะท้อนถึงระบบคิดที่เตรียมการมาเสร็จ ทั้งการบริหารจัดการ ผ่อนคลาย และร่างรัฐธรรมนูญ มี ส.ว.มาค้ำอำนาจรัฐบาล เพื่อไม่ให้พรรคการเมืองอีกฝ่ายสู้ได้เลย
ตนคิดเรื่องเหล่านี้ และเห็นว่า พรรคการเมืองต้องคิดการเลือกตั้งแบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวกันใหม่ แม้พรรคเพื่อไทยจะได้เสียง ส.ส.มามาก แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ อีกทั้งการออกแบบตั้งพรรคหลายพรรคมาสู้ก็ยังลำบาก และเอาชนะได้ยาก
ทั้งหมดนั้น เราเห็นบทเรียนแล้วว่า การสูญเสียประชาธิปไตยรอบนี้ยากที่จะเอาคืน และการเลือกตั้งภายใต้กติกา รธน.2560 แม้ชนะในสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าเป็นรัฐบาลก็จะแพ้ในวุฒิสภา ประเทศนี้จะแก้ไขปัญหาชาติใดๆไม่ได้เลย รวมทั้งการแก้ รธน.แทบเป็นไปไม่ได้
ในสถานการณ์การเมืองขณะนี้ ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เราต่างซึมซับ และฝ่ายผู้ยึดอำนาจมีทักษะรักษาอำนาจแยบยล ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็มีบทเรียน แต่การเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าไม่แก้ไขกติกาแล้ว ถึงชนะเลือกตั้งก็จะเป็นรัฐบาลเป็ดง่อย ถึงมีอำนาจแต่ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ เราต้องช่วยกันคิดให้ข้ามพ้น เพื่อหลุดจากวังวนจากช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เมื่อวิเคราะห์ปัญหาประเทศแล้ว พบว่ามี 2 ปัญหาหลัก คือ โควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจปากท้อง
"สำหรับรัฐบาลขณะนี้ ต้องรักษาชัยชนะสำคัญคือ โควิด-19 แต่ปัญหาทางเศรษฐกิจไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังนั้น พรก.ฉุกเฉิน กับโควิด และการเยียวยาปากท้อง ในที่สุดจะพบทางตันมากขึ้น และคนไทยจะยิ่งยากลำบาก"
นายจตุพร เชื่อว่า ความยากลำบากทั้งของรัฐบาลและคนไทยนั้น เกิดจากระยะยาวปัญหาจะมาบรรจบกัน เพราะงบประมาณรายจ่ายกับเงินกู้รวมกันเกินกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ถึงจะปรับทีมเศรษฐกิจก็แก้ปัญหาประเทศไม่ได้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หลังจากไม่มีเงินเยียวยา 5 พันบาทแล้วคนไทยจะอยู่กันอย่างไร
"ในช่วงครบรอบ 6 ปีนั้น สิ่งหนึ่งที่ยังดำรงอยู่คือ ต่างฝ่ายต่างยึดความเชื่อของตัวเองเป็นหลัก และไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอความเห็น ดังนั้น ผมเห็นว่า ความทุกข์โดยร่วมของประเทศอาจเป็นหนทางให้ความคิดของคนแต่ละฝ่ายเปลี่ยนแปลงกันไปได้ เพราะความทุกข์จากความหิวโหย แม้มีความคิดทางการเมืองต่างกัน แต่เป็นความหิวที่เหมือนกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งสองฝ่าย"
ส่วนทางออกของประเทศจะเกิดได้อย่างไรนั้น ในฝ่ายประชาชนมีความยากลำบากเมื่อประเทศถึงจุดอับจน จึงต้องคิดใหม่เหมือนการแก้ปัญหาการบินไทย แต่ประเทศจะฟื้นได้หรือไม่ ตนเห็นทางเดียวคือ ต้องก้าวข้ามกับดักกติกาตาม รธน.2560 ไปให้ได้
"กติกาตาม รธน.ใหม่นั้น ต้องมาคุยออกแบบกันหรือไม่ จะแสวงจุดร่วมกันอย่างไรที่จะเป็นทางออกให้ประเทศอย่างแท้จริง เพราะถ้าไม่แก้ไข รธน. 2560 ปัญหาบ้านเมืองไม่จบ เพราะการยุบสภาไม่ใช่ทางออกของประเทศ ดังนั้น การสูญเสียประชาธิปไตยรอบนี้ ถือว่าเจ็บลึกที่สุด"
นายจตุพร ย้ำว่า หากฝ่ายประชาธิปไตยคิดกันแบบเดิมแล้ว จะไม่มีทางพาประเทศข้ามพ้นวิกฤตไปได้ ยิ่งวันข้างหน้าในระยะอันใกล้นี้ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และแก้ไขได้ยากยิ่ง
ตลอดจน สภาพทุกอย่างไม่เอื้ออำนวยให้ประเทศไทยได้ฟื้นตัวเลย ดังนั้น ต้องอาศัยความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นทั้งในประเทศและเพื่อนบ้านอาเซียนเพื่อช่วยกันประคับประคองและอยู่ร่วมกับโควิด-19 ให้ได้กันเป็นปี หากรอให้สิ้นโควิดคนไทยอาจตายกันหมดก็ได้ ด้วยเหตุนี้ ทางรอดคือ ตั้งแต่วันนี้เราต้องมีชีวิตอยู่พร้อมๆกับโควิด-19 ให้ได้ ซึ่งใครก็รอใครไม่ได้
"ครบรอบ 6 ปี 22 พ.ค.2557 นั้น ผมเชื่อว่าคนไทยคงเข็ดหลาบไปตามๆกัน และเราได้บทเรียนที่ทรงคุณค่าที่สุด และที่สำคัญฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่เข้าข้างตัวเองทุกเวลา ผมบอกว่า ขบวนการเสื้อแดงเริ่มอ่อนแอตั้งปี 2554 เป็นต้นมา และปี 2557 แทบไม่เหลือสภาพแล้ว การต่อสู้จึงยากลำบาก เราต้องไม่โกหกตัวเองกัน อะไรที่ใช่ก็คือใช่"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี