เตรียมคลายล็อกระยะ3
ลดเคอร์ฟิว
เริ่มตั้งแต่เทียงคืน-ตี4
ศบค.ต่อพรก.ฉุกเฉิน
เล็งเปิดเดินทางข้ามจว.
ไทยป่วยเป็นศูนย์/ไร้ตาย
สธ.ชี้ชาย72ติดเชื้อจากรพ.
ศบค.เห็นชอบขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือนถึงสิ้นมิถุนายนตาม สมช.ชี้แจง 3 เหตุผลสำคัญ ยึดความจำเป็นเพื่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขเป็นหลัก รองรับการคลายล็อกเฟส 3–4 ที่มีเสี่ยงสูงจึงต้องใช้เครื่องมือเข้มข้น เปิดไทม์ไลน์ผ่อนปรนระยะ 3 ก่อนมีผล 1 มิถุนายน เตรียมลดเวลาเคอร์ฟิวจากห้าทุ่มถึงตีสี่ เป็นเที่ยงคืนถึงตีสี่ พร้อมเปิดให้เดินทางข้ามจังหวัดได้ หวังกระตุ้นศก.ชุมชน ด้านโฆษก ศบค.เผยไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีตายเพิ่ม เหลือรักษาตัวใน รพ. 71 ราย ขณะที่ สธ.เผยผลสอบสวนโรค ลุง 72 ติดโควิด-19คาดรับเชื้อจาก รพ.มากกว่า แต่สั่งปิดร้านตัดผมชั่วคราว กักพนักงาน 14 วัน
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ชุดใหญ่ โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวก่อนประชุมว่า ขณะนี้ทุกคนเริ่มเข้าใจถึงการใช้ชีวิตแบบปกติใหม่หรือ new normal และรู้จักเสียสละ ที่ช่วยสนับสนุนข้าวของช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานที่ได้รับผลกระทบ นอกเหนือจากระเบียบราชการที่ให้การช่วยเหลือ ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาเพิ่มเติมอยู่ ทั้งนี้ ขอชื่นชมการปฎิบัติหน้าที่ของทุกคนจนได้รับความชื่นชมจากหลายประเทศ
ศบค.ไฟเขียวต่อพรก.ฉุกเฉินอีก1เดือน
นายกฯกล่าวต่อว่า การประชุมวันเดียวกันนี้รับทราบรายงานสถานการณ์โควิด 19 หลังผ่อนคลายในระยะ 2 และพิจารณาข้อเสนอของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช. )ให้ขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือนครอบคลุมเดือนมิถุนายน เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้มีประสิทธิภาพก่อนคลายล็อกระยะ 3 และระยะ 4 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุม ศบค.วันนี้ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง โดยไม่ได้หารือมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 และเรื่องเวลาเคอร์ฟิว
ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามที่สมช.เสนอให้ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน
นายกฯห่วงเปิดเทอมย้ำดูแลระยะห่าง
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์หลังประชุม ศบค.ว่า ที่ประชุมศบค.เห็นชอบตามที่ เลขาฯสมช.เสนอต่ออายุเคอร์ฟิวไปอีก 1 เดือน จากนี้ต้องเสนอเข้าที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาวันอังคารที่ 26 พฤษภาคม ส่วนการผ่อนปรนมาตรการระยะที่สามนั้น เลขาฯสมช. จัดประชุมวันที่ 27-28 พฤษภาคม และในที่ประชุมนายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงเรื่องการเปิดเทอม โดยรมว.ศึกษาธิการรายงานที่ประชุมว่าจะมีโรงเรียนลักษณะโรงเรียนประจำ และโรงเรียนนานาชาติ เช่นโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ที่จะทดลองเปิดเรียนก่อนวันที่ 1 มิถุนายนนี้ ส่วนวันเปิดเทอมอย่างเป็นทางการที่กระทรวงศึกษาธิการขอไว้ก็คือ 1 กรกฎาคม ซึ่งนายกฯเป็นห่วงภาพรวมเรื่องการดูแลเรื่องเว้นระยะห่างของเด็ก และสัดส่วนครูต่อนักเรียนเดิม 20:1 ก็จะปรับให้เหลือ 7:1
เล็งลดเวลาเคอร์ฟิว/เที่ยงคืนถึงตี4
“ส่วนเรื่องการลดเวลาเคอร์ฟิวนั้น สมช.ต้องพิจารณา ไทม์ไลน์การผ่อนปรนระยะที่สาม ซึ่งนายกฯมอบให้เลขาฯสมช.ในฐานะประธานกลั่นกรองไปพิจารณา โดยบอกให้พิจารณาเรื่องท่องเที่ยวชุมชนให้ด้วย ซึ่งรองนายกฯสมคิดก็สนับสนุนเพราะเรื่องเศรษฐกิจจะได้ฟื้นฟู อยากผ่อนปรนในประเทศให้ได้มากขึ้น และตั้งตุ๊กตา ให้เป็นโจทย์ไปพิจารณา เรื่องลดเวลาเคอร์ฟิวลง อาจเป็นเที่ยงคืนถึงตี 4 เพราะเห็นว่าประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และทางการแพทย์ก็คืบหน้า”นายอิทธิพลกล่าว
ผ่อนระยะ3จ่อไฟเขียวเดินทางข้ามจว.
และว่า นายกฯยังบอกว่าเรื่องความมั่นคง ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงตำรวจทหารอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องความมั่นคงทางสาธารณสุข จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์ความมั่นคงว่าปัจจุบันด้านสาธารณสุขต้องควบคู่กันไปกับเรื่องทหารตำรวจ ประเด็นการผ่อนปรนระยะที่สาม ให้พิจารณาเรื่อง เดินทางข้ามจังหวัด การเข้าพักโรงแรม เปิดห้องพัก เพื่อให้เศรษฐกิจไหลได้ จึงมอบให้เลขาสมช.ไปลงรายละเอียด
มอบทีมโฆษกศบค.ปรับเวลาแถลง
นอกจากนี้ ในที่ประชุมนายกฯได้ถามหาพญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ที่ปรึกษารองนายกฯ ที่จะมาทำหน้าที่ผู้ช่วยโฆษกศบค. เพื่อจะให้ได้มาแนะนำตัวต่อที่ประชุม แต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมวันนี้ เนื่องจากอยากให้มาสลับแถลงข่าวกับนพ.ทวีสิน วิษณุโยธิน โฆษกศบค. เพราะเห็นว่าไม่ได้ไปไหนเลยตลอด 7วัน โดยนายกฯเห็นว่าสถานการณ์รุนแรงอาจลดลงแล้วก็จะให้แถลงข่าวระยะเวลากระชับขึ้น โดยให้แถลงข่าวทุกวัน ส่วนเสาร์-อาทิตย์โฆษกศบค.หรือรองโฆษกศบค.จะเป็นผู้แถลงนั้นให้พิจารณาตามความเหมาะสม ให้ไปหารือกันเอง เพื่อให้แบ่งเบากัน
ติดเชื้อเป็นศูนย์-ไร้ตายรอยืนยัน2
จากนั้นนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ประจำวันว่า ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมยังอยู่ที่ 3,037 ราย หายป่วยสะสม 2,910 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัว 71 ราย และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมยังอยู่ที่ 56 ราย อย่างไรก็ตาม การไม่มีรายงานผู้ป่วยในวันนี้ ไม่ได้เป็นศูนย์เสียทีเดียว เพราะขณะนี้ยังรอผลตรวจเป็นทางการอีก 2 ราย ซึ่งเป็นคนไทยที่กลับมาจากอียิปต์และอินเดียที่อยู่ในสถานกักตัวของรัฐ แต่ 2 รายนี้หากยืนยันว่าติดเชื้อก็เป็นเชื้อที่มาจากต่างประเทศ ไม่ได้เป็นการติดเชื้อในประเทศ
วางใจไม่ได้2อาทิตย์-ติดเชื้อในปท.25คน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8-21 พฤษภาคมหรือ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ 45 ราย โดยกลับมาจากต่างประเทศและอยู่ในสถานกักตัวของรัฐ 15 ราย อยู่ในศูนย์กัก 5 ราย สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 11 ราย จากการค้นหาเชิงรุกและในชุมชน 6 ราย ผู้ป่วยที่ไปในสถานที่ชุมนุมชุน 5 รายอาชีพเสี่ยง 3 ราย ดังนั้น จะเห็นว่ามีผู้ติดเชื้อภายในประเทศถึง 25 ราย จึงยังเบาใจและวางใจไม่ได้
ชี้เกาหลีใต้เปิดเรียนพบนร.ติดเชื้อ
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ระบาดทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อ 5,194,210 ราย เสียชีวิต 334,621 ราย ถ้าดูจากสถานการณ์โลกวันนี้กราฟผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้น ไทยเคยมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตขึ้นและลดลง แต่ของโลกยังเป็นขาขึ้น ยังไม่ถึงจุดสูงสุด ศบค.จึงต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการพิจารณา ส่วนสถานการณ์ที่เกาหลีใต้ หลังเปิดเรียนวันที่ 20 พฤษภาคม แต่ต้องปิดเรียนทันทีภายในไม่กี่ชั่วโมง เนื่องจากพบว่านักเรียน 2 รายติดเชื้อ ตนไม่มีคำอธิบายอะไร แต่เรียนให้เห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้น
สอบสวนโรคร้านตัดผมประชาชื่น
ส่วนผลการลงทะเบียนแพลตฟอร์ม www.ไทยชนะ.com นั้น นพ.ทวีศิลป์เปิดเผยว่า มีร้านค้าลงทะเบียนแล้ว 81,149 ร้าน ผู้ใช้งาน 7,470,609 คน ตรงนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับใช้ติดตามสอบสวนโรค หากสถานที่ใดพบผู้ติดเชื้อขึ้นมา อย่างกรณีพบผู้ป่วยชายไทย อายุ 72 ปี ที่มีประวัติไปร้านตัดผมย่านประชาชื่น มีคนสอบถามเข้ามามากว่าเป็นร้านใด แต่ตนไม่สามารถบอกได้ แต่หากใช้แพลตฟอร์ม www.ไทยชนะ.com จะบอกสถานที่ได้ชัดเจน เพื่อให้ทีมสอบสวนโรคเข้าไปดูแลและซักประวัติได้ ขณะนี้ทีมสอบสวนโรคลงพื้นที่ร้านตัดผมย่านประชาชื่นหลายร้านเพื่อไปสอบสวนโรคแล้ว พร้อมให้คำแนะนำการปฏิบัติตัว
ชื่นชมไทยคุมโควิดดีระดับต้นๆโลก
นพ.ทวีศิลป์ยังกล่าวถึงผลประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีนายกรัฐมนตรี นฐานะ ผอ.ศบค. เป็นประธานว่า นายกฯแจ้งที่ประชุมว่าทั่วโลกชื่นชมประเทศไทย ที่ป้องกันการแพร่ระบาดและให้ความรู้ประชาชนจนควบคุมการแพร่ระบาดได้ระดับต้นๆของโลก และยังถึงกล่าวถึงความคืบหน้าการผลิตวัคซีนว่า ให้ระวังการสื่อสารเรื่องการผลิตวัคซีน ที่อาจทำให้เกิดความหวังในประเด็นที่ไม่สอดคล้อง ขณะนี้เราประสบความสำเร็จในการทดลองกับสัตว์ แต่ยังทดลองอีกหลายระดับ ยังใช้เวลาเป็นปี ย้ำว่าไทยเราเพียงเริ่มต้น
5.1พันกิจการไม่ทำตามมาตรการ
ขณะที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)รายงานที่ประชุมถึงความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนว่า ไทยมีผู้ที่ทำเรื่องวัคซีน 6 เทคโนโลยี ล้วนแต่เป็นระดับสุดยอดของไทย และเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับการพัฒนาวัคซีนของโลก แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร ทั้งที่ผลิตเองและจองสั่งซื้อ หากเราผลิตไม่ทัน ต้องสั่งจองล่วงหน้าโดยใช้เวลาเป็นปี แต่ไทยสนับสนุนและเจรจาระดับรัฐบาล เพื่อให้เชื่อมโยงกับต่างประเทศ โดยมีส่วนช่วยเขาทั้งสนับสนุนงบและเงินทุนประเดิมลงไป ให้กลุ่มอาเซียนช่วยวิจัย เรื่องนี้เราเป็นจุดเริ่มต้น อีกทั้ง ยังสนับสนุนการดำเนินงานระดับชาติเพื่อเอาคนเก่งขึ้นมาทำงาน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวอีกว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้รายงานผลตรวจกิจการ/กิจกรรม ตามมาตรการหลัก 5 ข้อตั้งแต่วันที่ 3-21 พฤษภาคม ตรวจทั้งสิ้น 353,495 กิจการ/กิจกรรม ปฏิบัติตามมาตรการครบ 304,946 กิจการ/กิจกรรม ปฏิบัติตามมาตรการไม่ครบ 43,415 กิจการ/กิจกรรม ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 5,134 กิจการ/กิจกรรม หรือคิดเป็นเพียง 1.5%
ยันพรก.ฉุกเฉินจำเป็นผ่อนเฟส3-4เสี่ยงสูง
ขณะที่เลขาฯสมช.เสนอวาระพิจารณาขยายการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 1-30 มิถุนายน พร้อมชี้แจงเหตุผล 3 ข้อคือ 1.ยังจำเป็นต้องบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะต้องการเอกภาพ ความรวดเร็ว ความต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานกลางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อไม่เพียงพอ ต้องประกอบกฎหมายอีกกว่า 40 ฉบับมาอยู่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถึงจะปฏิบัติการป้องกันโรคได้ นายกฯย้ำว่าการขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขเป็นจุดหมายหลัก
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า 2.เป็นการรองรับในระยะต่อไป เพราะประเทศไทยอยู่ระหว่างการกำหนดมาตรการผ่อนปรน ที่จะมีระยะที่ 3 และ 4 จะมีความเสี่ยงสูงกว่าการผ่อนปรนในระยะที่ 1 และ 2 ดังนั้น เมื่อมีความเสี่ยงสูง แต่ตัวกำกับกลับหย่อนลงก็จะลำบาก เราจึงต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องให้มีมาตรการทางกฎหมายเพื่อกำหนดการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับการผ่อนปรนระยะต่อไป และ3.สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคยังไม่สิ้นสุด หลายประเทศยังแพร่ระบาด ติดเชื้อสูง แม้ไทยจะผ่อนปรนครบทั้ง 4 ระยะแล้วก็ยังต้องความพร้อมเปิดประเทศ มาตรการทางกฎหมาย แผนบริการจัดการวิกฤติเพื่อรองรับความเสี่ยงที่จะกลับมาของโรค ถ้าไม่มีกฎหมายควบคุมตัวเลขที่สูงในต่างประเทศจะไหลมาที่ไทยได้ ที่ประชุม ศบค.จึงเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขยายประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก 1 เดือน
เปิดไทม์ไลน์คลายล็อคระยะ3ดีเดย์1มิย.
สำหรับการผ่อนปรนระยะที่ 3 กำหนดขั้นตอนไว้ ดังนี้ วันที่ 23-24 พฤษภาคม การจัดเตรียมข้อมูลเพื่อประชุมคณะทำงานกลั่นกรองกิจการ/กิจกรรม ตามมาตรการผ่อนคลาย จากนั้นวันที่ 25-26 พฤษภาคมจะประชุมคณะทำงานกลั่นกรองกิจการ/กิจกรรมตามมาตรการผ่อนคลาย ส่วนวันที่ 27 พฤษภาคมจะประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันโควิด-19 ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคมจะประชุม ศบค.ขออนุมัติ และวันที่ 1 มิถุนายน จะมีผลบังคับใช้มาตรการผ่อนคลายระยะที่ 3 ส่วนกิจการ/กิจกรรมที่จะได้รับการผ่อนคลายระยะที่ 3 มีอะไรบ้างนั้น ยังไม่มีรายละเอียด แต่เป็นกิจการ/กิจกรรมที่เสี่ยงปานกลางไปถึงสูงในการติดเชื้อ อาจเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ที่มารวมกันมากในการผ่อนคลายครั้งนี้ ถ้าหลุดออกจากตรงนี้ต้องไปอยู่ระยะที่ 4 ส่วนกรอบเวลาเคอร์ฟิวนั้น ที่ประชุมยังไม่ได้หารือกัน แต่ ผบ.ทสส.ระบุว่า ถ้าประชาชนร่วมมือ ไม่ดื่มไม่ชุมนุมด้านไม่ดี หรือออกจากเคหสถานโดยไม่จำเป็นก็มีโอกาสที่ ศบค.จะลดเวลาเคอร์ฟิวลงในการผ่อนคลายในระยะที่ 3 แต่กี่ชั่วโมง ต้องรอประชุม ศบค.ครั้งต่อไป
เปิดตัว’หมอบุ๋ม”ผช.โฆษกศบค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนพ.ทวีศิลป์ รายงานสถานการณ์ประจำวันของผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ได้เปิดตัวผู้ช่วยโฆษก ศบค.คนใหม่คือ พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล หรือหมอบุ๋ม ซึ่งกล่าวแนะนำตัวกับประชาชนในฐานะผู้ช่วยโฆษกฯว่า จากนี้จะมาพบประชาชนทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อรายงานสถานการณ์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ประจำวัน
ผลสอบสวนโรคชาย72ติดเชื้อจากรพ.
วันเดียวกัน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ติดเชื้อไวรัสโควิด –19 โดยตอนหนึ่งได้เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนโรคผู้ติดเชื้อ 2 ราย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมว่า ผลสอบสวนโรคกรณีผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พ.ค. ชายคนดังกล่าวไปรับยาที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนไปตัดผมที่ร้านแห่งหนึ่งย่านประชาชื่น หลังจากนั้นมีไข้ ไอ มีเสมหะ พบว่าผู้ป่วยระวังตนเองค่อนข้างดีมาก เพราะเป็นกลุ่มมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าคนทั่วไป จึงใช้หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยประจำ
สำหรับที่ร้านทำผมขณะที่ผู้ป่วยใช้บริการไม่มีลูกค้ารายอื่น มีเพียงพนักงานของร้าน แต่ทุกคน รวมถึงตัวผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย ถือว่าความเสียงต่ำ ลดโอกาสเสี่ยงแพร่เชื้อฯ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ร้านทำผมดังกล่าวปิดให้บริการชั่วคราว และให้พนักงานทั้ง 8 คนเฝ้าระวังโรค 14 วันแล้ว ส่วนที่รพ.บุคลากรที่ดูแล ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย จึงถือว่าไม่ได้มีความเสี่ยงสูงมากนัก สำหรับสมาชิกในครอบครัวมี 2-3 คนที่อยู่ระหว่างตรวจหาเชื้อ จะทราบผลวันที่ 23 พฤษภาคม แต่ไม่มีใครมีอาการป่วย ส่วนคำถามว่าได้รับเชื้อจากที่ไหน เพราะไปใช้บริการที่รพ.ก็เป็นไปได้ที่ผู้ป่วยจะมีโอกาสรับเชื้อจากรพ. ซึ่งต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นรพ.แห่งใดและกิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรายนี้
หาผู้สัมผัสชาวเยอรมันชัยภูมิ-กทม.
นพ.โสภณกล่าวต่อว่า ส่วนอีก 1 ราย เป็นชายชาวเยอรมันอายุ 42 ปี มาเมืองไทยปลายเดือนมกราคม และไปบ้านภรรยาที่จ.ชัยภูมิ กรณีนี้ไม่มีอาการ แต่เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนตัวกำลังจะไปสมัครงานจึงไปตรวจร่างกายจึงพบว่าติดเชื้อโควิด-19 กรณีนี้ได้มีการตรวจภรรยาและลูกแล้วไม่พบการติดเชื้อฯ ดังนั้นความเสี่ยงของคนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปถือว่าเสี่ยงต่ำ อย่างไรก็ตาม อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อให้ได้รายชื่อผู้สัมผัสทั้งที่ชัยภูมิ และกรุงเทพฯ และนำคนที่ยังไม่ได้รับการตรวจมาตรวจหาเชื้อด้วยสำหรับพฤติกรรมส่วนตัวของผู้ป่วยชาวเยอรมัน ใช้หน้ากากผ้าอยู่บ้าง แต่ไม่สม่ำเสมอ ส่วนการล้างมือยังต้องดูในรายละเอียดว่าจะเหมือนคนไทยหรือไม่ แต่เชื่อว่าเนื่องจากสมาชิกในครอบครัวเป็นคนไทย จึงน่าจะมีการดูแลพฤติกรรมสุขภาพไปในทิศทางใกล้เคียงกัน แต่ระยะต่อไปทุกคนยังต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย เพราะเราพบผู้ป่วยผู้ติดเชื้อเป็นระยะ เพื่อความปลอดภัย
ห่วงคนไทยการ์ดตกใส่แมสลดฮวบ
ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไปยังกล่าวอีกว่า ผลสำรวจพฤติกรรมคนไทยล่าสุด พบสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยลดลงเหลือ 69% จากเดือนเมษายนที่สวมหน้ากากสูงถึง 95% ทำให้เราคุมการระบาดได้ รวมถึงการล้างมือก็ลดลงเหลือ 78% ดังนั้น ขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในเปอร์เซ็นต์สูงๆ ระดับ 95% ขึ้นไป อย่าการ์ดตก ซึ่งช่วยลดทั้งโควิด-19 และโรคทางเดินหายใจด้วย เพราะหน้ากากอนามัยเป็นปราการด่านสุดท้ายที่จะป้องกันเชื้อเข้าร่างกาย ในช่วงที่ประเทศผ่อนปรนคนออกมาตามสถานที่ต่างๆ มากขึ้น รวมถึงต้องล้างมือและเว้นระยะห่างกันด้วย
ไฟเขียวแรงงานเมียนมากลับปท.เฟส2
วันเดียวกัน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) รับแจ้งแนวทางปฏิบัติการเดินทางกลับประเทศของแรงงานชาวเมียนมาผ่านช่องทางจังหวัดชายแดน ซึ่งที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการมาตรการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ (ศปก.กต.) เห็นชอบ และเสนอศบค.เห็นชอบหลักการให้แรงงานเมียนมาเคลื่อนย้ายไปจังหวัดชายแดนไทย – เมียนมา กลับประเทศ จึงส่งหนังสือแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วันนี้ ช่วงแรกจะใช้ช่องทางจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมาข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 อ.แม่สอด จ.ตาก แห่งเดียวก่อน
“ทั้งนี้ ผู้เดินทางต้องแสดงหนังสือรับรองการเดินทางที่ออกโดยสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย สำนักงานแรงงานเมียนมาในจ.เชียงใหม่ หรือสำนักงานแรงงานเมียนมาในจ.ระนอง และสำเนาหนังสือหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์จากโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต่อเจ้าหน้าที่ และผู้เดินทางต้องออกเดินทางตามกำหนดวันและช่องทางผ่านแดนที่ระบุไว้ในหนังสือรับรอง โดยถึงจุดผ่านแดนก่อนเวลา 15.00 น. ของทุกวัน ผู้เดินทางเดินทางได้ด้วยตนเอง หรือเดินทางกับรถบัสของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จากสถานีขนส่งหมอชิต” นายฉัตรชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี