"จตุพร"ชี้สถานการณ์จำกัด ควรประเมินการเมืองทีละตอน เตือนจับตาเกมนอกกระดาน เชื่อขัดแย้งพรรคร่วมแค่ภาพลวงตา เผยการเมืองนอกระบบเปิดฉากซัดลำหักลำโค่นใส่กันหนัก
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ "ลมหายใจ พีซทีวีเวทีทัศน์" ว่า เมื่อรัฐบาลการประกาศขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน ถึงสิ้น มิ.ย.นั้น ส่วนตัวเชื่อว่าสัปดาห์หน้าจะมีการขยายเคอร์ฟิวออกไปอีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง คือ เที่ยงคืน ถึงตี 4 ดังนั้น เดือนมิถุนายนทั้งเดือนก็จะเป็นเรื่องของการผ่อนปรนในระยะที่ 3
นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคมต้องมีการขยายอย่างน้อย 1 เดือนแน่นอน เพราะต้องมีมาตรการการผ่อนปรนในระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะที่เสี่ยงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสนามมวย หรือสถานที่บันเทิงต่างๆ ก็จะรออยู่ในระยะที่ 4 ทั้งนี้ หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยว่า เมื่อครบมาตรการผ่อนปรน 4 ระยะแล้ว ทุกอย่างจะจบลงในเดือนกรกฎาคมหรือไม่นั้น ต้องรอดูกันและขอให้ใจเย็นๆ เพราะอาจจะมีการผ่อนคลายในแบบ ระยะที่ 4 ทับ 1 ทับ 2 ทับ 3 ก็เป็นไปได้ เพราะอย่างที่ตนได้อธิบายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้น รัฐบาลชนะอยู่มุมเดียว คือ การคุมการติดเชื้อโควิด-19 ได้ และวันนี้ก็ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มแม้แต่เพียงรายเดียว ดังนั้น เรื่องชัยชนะโควิด-19 ในทางการเเพทย์ก็สามารถกุมชัยชนะไว้ได้
ส่วนการเยียวยายังเป็นปัญหา เพราะเมื่อหมดการเยียวยากันเมื่อไหร่ วันนั้นก็เป็นวันหายนะกันอีกวันหนึ่ง เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทุกคนต่างมองเห็นปลายทางกันแล้ว นักธุรกิจซึ่งเป็นกองเชียร์รัฐบาลถึงขนาดบอกว่า เศรษฐกิจครั้งนี้หนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งถึง 10 เท่าตัว แม้พยายามเสนอประคับประคองว่าอย่าเปลี่ยนรัฐบาล แต่ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้ตนอยากบอกว่าทุกคนต่างก็เห็น เพียงแต่ว่าคิดกันทีละตอน
โดยภายใต้สถานการณ์การเมืองโดยเฉพาะซีกพรรคการเมืองที่มีนักการเมืองเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษ คือไม่เหมือนปกติ ไม่มีเวลา คิดกันเป็นตอนๆ สมาธิสั้นและมองผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก มีเพียงบางส่วนที่คิดเรื่องส่วนรวมบ้าง ดังนั้นในทางการเมือง แม้จะมีการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินจัดการโควิด-19 ซึ่งก็จะใช้เป็นเหตุผลในการกุมอำนาจของบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาย
นายจตุพร กล่าวว่า อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้จะไม่เท่าในขณะที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ก็ตาม แต่เมื่อมีประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้กับรัฏฐาธิปัตย์ ดังนั้น การกุมสภาพดังกล่าวยังสามารถจัดการโดยการใช้กฎหมายฉบัยบนี้ได้ ทั้งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จริงๆ แล้วเป็นกฎหมายที่ตราไว้ในปี 2548 โดยมีภารกิจเพื่อแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่เคยคิดจะเอามาใช้กับภารกิจอื่นใด แต่ในปี 2553 มีการนำกฎหมายฉบับนี้มาใช้ และหลังจากนั้นก็ใช้กันมาทุกฝ่าย และที่สำคัญที่สุดคือ การใช้กับการรายงานต่อสภานั้นมักจะไม่ค่อยปฏิบัติกัน
อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่เห็นมีใครออกมาพูดว่า จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ดังนั้น หากมีใครยกตัวอย่างว่า หากต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อมีวัคซีนโควิด-19 นั้น ถือว่าจบข่าว เพราะไม่รู้ว่าจะได้จริงเมื่อไหร่ แม้ว่าทางการแพทย์บางคนจะบอกว่าวัคซีนจะแล้วเสร็จใน เมษายนปีหน้านั้นที่ผ่านมามีหลายโรคที่เกิดขึ้นในโลกนี้ที่ดูเหมือนว่าจะผลิตวีคซีนกันได้ แต่สุดท้ายก็หาวัคซีนไม่ได้ และคนก็อยู่ร่วมกับโรคดังกล่าวในโลกนี้ได้ วันนี้ก็เช่นเดียวกันตนก็เชื่อว่าขอให้ทุกคนใจเย็นๆ เพราะเชื่อว่า รัฐบาลจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไป ถึงเดือนกรกฎาคมแน่นอน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การก่อตัวของบรรดานักการเมืองนั้น ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมีความอดทนต่อนักการเมือง ซึ่งตนเคยตอบสื่อมวลชนว่าการต่อสู้กับกิเลสของนักการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด และในอดีตก็มีตัวอย่างมาแล้วทั้งในยุคของพรรคมนังคศิลา ที่ถูกจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจ
รวมถึงในยุคของจอมพลถนอม ที่นักการเมืองก็คิดแต่เรื่องส่วนตัว ต่อรองตั้งแต่พิจารณางบประมาณรายจ่ายซึ่งเต็มไปด้วยเงื่อนไขต่างๆจนกระทั่ง ตัดสินใจยึดอำนาจตัวเอง แต่กรณีที่เกิดขึ้นปัจจุบันนั้นไม่ง่ายต่อการต่อสู้กับนักเลือกตั้ง เพราะนักเลือกตั้งเวลาที่ถูกยึดอำนาจก็จะตัวลีบแต่เมื่อเปิดโอกาสทางเมืองก็จะตัวพองยิ่งกว่ายักษ์
ดังนั้น แรงกระเพื่อมในพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ก็มีปัญหา โดยเฉพาะ พรรคพลังประชารัฐที่ชัดเจนว่า ซีกของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณคุมโครงสร้างทั้งหมดไว้ และไม่ต้องไปคิดว่า 3 ป.จะมีความขัดแย้งกัน เพราะเขาอยู่กันมานานเกินกว่าที่จะขัดแย้งกัน ดังนั้น เวลาอ่านกระดานทางการเมืองนั้นแม้ว่า การไปยึดโครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐ แม้จะไม่ยึดก็มีสภาพเหมือนการยึดอยู่แล้ว แต่ในทางการเมืองไม่มีนักการเมืองคนใดหรือพรรคการเมืองใดที่จะไปสนองความต้องการของนักการเมืองได้ครบ
การปรับคณะรัฐมนตรีซึ่งจะไปพร้อมกับการปรับโครงสร้างพรรคนั้นก็จะมีปัญหาขึ้นมาใหม่ คนที่อยู่ก็ไม่อยากจะไป คนที่ยังไม่ได้เข้าไปก็อยากจะเข้า เมื่อคนที่อยู่มีอันต้องเป็นไป คนที่เข้าจะมีจำนวนมากกว่า ปัญหาไม่มีวันจบ ซีกของประชาธิปัตย์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหา แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ซีกของที่ไม่เอาด้วยกับซีกรัฐมนตรีก็ทำเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาล จนบางเรื่องพูดได้ดีกว่าพรรคฝ่ายค้านเสียอีก
เหล่านี้ยังไม่นับปัญหาระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคภูมิใจไทย และพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ กับพรรคพลังประชารัฐ เป็นงูกินหางกันมา แต่จำเป็นต้องรวมกัน เพราะต้องการจะอยู่ซึ่งอำนาจ ดังนั้น เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ในช่วง 6 ปีนี้ นักการเมืองต่างก็อยู่ในสถานการณ์ที่มีความยากลำบาก ดังนั้น หากใครคิดว่าหากเกิดเหตุการณ์แล้วมีการยุบสภานั้นคงเป็นเพียงความฝัน เพราะเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ ตนมองว่าภายใต้สถานการณ์ที่จำกัดแบบนี้ต้องดูการเมืองนอกกระดาน เพราะหมากในกระดานในทางการเมืองของประเทศไทยเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ของจริงอยู่นอกกระดานทั้งสิ้น
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งที่ตนอยากบอกประชาชนในท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ว่า ให้พี่น้องคิดอ่านเผื่อในชีวิตกัน เพราะเราจะไปฝากความคาดหวังกันเอาไว้ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ต้องคิดเผื่อไว้ว่าในระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน 1 ปีนี้จะต้องวางแผนชีวิตกันอย่างไร เพราะสถานการณ์ของประเทศไทยไม่ง่ายต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตราบใดที่ยังหาความเชื่อมั่นไม่ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี