เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม และเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และนายอำเภอ ร่วมประชุม
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบแนวทางการจัดทำโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) วงเงิน 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 โดยเน้นย้ำว่าต้องมีกระบวนการทำงานที่โปร่งใส ตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการ และหน่วยงานกำกับ ไม่ให้เกิดการทุจริตทุกรูปแบบ และประการสำคัญต้องเป็นโครงการที่เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูให้เศรษฐกิจกลับไปเดินได้ ซึ่งทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่มีแผนงานโครงการสร้างผลิตภาพ (Productivities) ต้องเสนอโครงการผ่านกลไกคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) เพื่อไม่ให้เกิดการหาประโยชน์ และมีขั้นตอนที่โปร่งใส เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถตรวจสอบได้ง่าย ก่อนเสนอเข้าคณะกรรมการกลั่นกรองเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
"ขอให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอโครงการที่เกิดจากความต้องการของประชาชนในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจฯ ให้เป็นไปตามแนวทางฯ ทั้งนี้ สำหรับกระบวนงานในการเสนอโครงการขอให้นำเสนอตามลำดับความจำเป็น และทำตามกรอบแนวทางและห้วงเวลาที่กำหนด และทุกขั้นตอนต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน" รมว.มหาดไทย กล่าว
ด้าน นายฉัตรชัย กล่าวว่า การขับเคลื่อนการปฏิบัติตามแนวทางการจัดทำโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ขณะนี้กระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดขั้นตอนการทำงานซึ่งได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการกลั่นกรองของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทุกโครงการที่เสนอขอรับงบประมาณต้องเป็นโครงการที่เป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยต้องจัดทำเป็นสรุปโครงการ (Project brief) ผ่านที่ประชุม ก.บ.จ.และเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองตามขั้นตอน ทั้งนี้ ต้องเป็นโครงการที่มีความพร้อม สามารถดำเนินการได้ทันที และเป็นไปตามระเบียบกฎหมายของทางราชการ และหากพบเจ้าหน้าที่หรือบุคคลแอบอ้างการช่วยเหลือของบประมาณต้องดำเนินการทั้งทางปกครองและวินัยอย่างเคร่งครัด รวมทั้งขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเร่งสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนว่ารัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างไร และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน
ขณะที่ นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ต้องสอดรับกับวัตถุประสงค์ของ “แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม” ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้กำหนดรวม 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1.ต้องช่วยสร้างรายได้จากภาคการผลิตและภาคบริการที่ทันสมัย จะเป็นในด้านภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม, การค้า/การลงทุน, ภาคการท่องเที่ยว ก็ได้ 2.ต้องช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ เช่น การพัฒนาและยกระดับสินค้า, สร้างตลาด เพิ่มรายได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน, พัฒนาฝีมือแรงงานท้องถิ่น 3.ต้องช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศ และ 4.สามารถเสนอขอรับงบประมาณที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานได้ แต่จะต้องทันสมัย แก้ปัญหาได้จริง เช่น การพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ, ระบบชลประทาน, การปรับปรุงระบบโครงข่ายคมนาคม, การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก, การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี