ให้ท้ายเสื้อแดงรุกศาล
ปูอ้างถ่วงดุล
ตรวจสอบทั้ง3อำนาจ
พท.ทำจม.เปิดผนึกจ่อถล่ม
“มีชัย”ห่วงบ้านเมืองวุ่นวาย
สว.หวั่นอาจถึงขั้นนองเลือด
เหลิมลั่นพาพ่อแม้วกลับบ้าน
ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปร่วมประชุมประชาคมประชาธิปไตย ครั้งที่7 ที่ประเทศมองโกเลีย เมื่อวันที่ 27 เมษายน โดยให้ท้ายกลุ่มคนเสื้อแดง ที่กำลังปักหลักชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงประกาศยกระดับการชุมนุมหากศาลรัฐธรรมนูญไม่ยกเลิกรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ตามที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ไปยื่นไว้
นางสาวยิ่งลักษณ์ ระบุว่าการชุมนุมเรียกร้อง หากอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และความสงบ ก็เป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่เจตนารมณ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญสมาชิกรัฐสภาต้องการที่จะเห็นว่าทุกอย่างเป็นตามกระบวนการที่ให้ความเป็นธรรมทั้งผู้ถูกร้องและผู้ร้อง ถือเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การสร้างสมดุลทั้ง3 เสาหลัก เป็นสิ่งจำเป็น
"ไม่ว่าจะเป็นเสาหลักในฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ทั้ง 3 เสาหลักนี้ต้องทำหน้าที่ของตนเองและภายใต้ระบอบประชาธิปไตยทั้ง 3 เสาหลักนี้ต้องมีการถ่วงดุลเพื่อให้เกิดความสมดุล มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส"นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ
กระนั้นก็ตามเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศยกระดับการชุมนุมปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญที่ถือว่าทำเกินขอบเขตของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ นส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมตอบคำถามดังกล่าว
พท.คาดยื่นจม.เปิดผนึกฯ1พ.ค.
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) แถลงว่าขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคร่างจดหมายเปิดผนึกแสดงจุดยืนไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่รับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว เหลือเพียงการตรวจสอบในขั้นตอนสุดท้ายจะนำเข้าหารือในที่ประชุมพรรควันที่30เม.ย.ก่อนยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่1พ.ค.หรือ 2พ.ค.นี้
โดยเนื้อหาสาระของจดหมายเปิดผนึกจะเป็นการยืนยันทางกฎหมายและวิชาการว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถทำได้ รวมทั้งอธิบายความจำเป็นในการแบ่งอำนาจเป็น3ฝ่ายคือฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ ยืนยันว่าการดำเนินการครั้งนี้ไม่ใช่การก้าวล่วงอำนาจศาล หรือต้องการสร้างความขัดแย้ง และไม่ได้ต้องการล้มล้างองค์กรอิสระตามที่ฝ่ายค้าน
ขู่หากเมินจะยื่นถอดถอน
"และหลังจากยื่นจดหมายเปิดผนึกแล้ว ทางพรรคเพื่อไทยจะรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีท่าทีอย่างไร หากไม่มีท่าทีตอบรับกลับมาเพื่อแสดงจุดยืนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาธิปไตย ก็จะต้องเดินหน้าต่อในกระบวนการถอดถอนต่อไป ขณะนี้มี ส.ส.ของรัฐบาลร่วมกันลงชื่อตามกฎหมายแล้วประมาณ 100 คน อย่างไรก็ตามยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้หวังไกลไปสู่การถอดถอนหรือการโค้นล้มองค์กรอิสระ เพราะเราเริ่มต้นด้วยการประนีประนอม โดยใช้จดหมายเปิดผนึกอธิบายเนื้อหาสาระข้อกฎหมายและวิชาการ"รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ย้ำ
ในตอนท้าย นายอนุสรณ์ ยังปฎิเสธข่าวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ “ท่านทักษิณไม่ได้เกี่ยว เพราะคนที่ไปชุมนุมมีประมาณ 100-200 คน หากเราจัดตั้งจริงคนจะมาเป็นหมื่นเป็นแสน
เสื้อแดงยังปักหลักหน้าศาลรธน
ด้านบรรยากาศของการชุมนุมของกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(กวป.)ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังคงปักหลักชุมนุมต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 เพื่อขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง9คนยุติบทบาทหน้าที่ได้ชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในช่วงเช้ามีคนเสื้อแดงทยอยเดินทางมาค่อนข้างบางตา ขณะที่แกนนำได้สลับกันขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีพร้อมปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ
บุกกองปราบขอดูหลักฐาน
เมื่อเวลา 14.50 น. วันที่ 27 เมษายน ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ประชาชนในนามกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 50 คน นำโดย นายชาญ ไชยะ และนายอรรถสิทธิ์ ทองอร่าม ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. และพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและขอตรวจสอบเอกสารกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความดำเนินดดีกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ขึ้นปราศรัย จำนวน 4 คน โดยกล่าวหาว่ามีการปราศรัยพาดพิงถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ได้รับความเสียหาย
ซึ่ง พ.ต.อ.ประสพโชค แจ้งว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญมาแจ้งความจริง แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ได้ ประชาชนกลุ่มดังกล่าวจึงเดินทางกลับ โดยแจ้งกับพนักงานสอบสวนว่า จะขอกลับไปรวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้วจะกลับมาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ตำรวจ บก.ป.ได้ประสานขอกำลังตำรวจจาก สน.พหลโยธิน จำนวนหนึ่งมาช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าพบพนักงานสอบสวนจนกระทั่งเดินทางกลับออกไปก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
มีชัยชี้ปฎิเสธอำนาจศาล วุ่นแน่
ขณะที่ นายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติ ได้โพสต์ตอบในเว็บไซด์ส่วนตัว กรณีที่มีคำถามว่าช่วงนี้มีกระแสข่าวเกี่ยวกับฝ่ายนิติบัญญัตินำโดย312ส.ส.และส.ว.ออกมาปฏิเสธ อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ มองว่า ฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจในการกระทำการได้หรือไม่และปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่อะไร จะส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการทำหน้าที่มากจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือหรือไม่ซึ่งนายมีชัย ได้ตอบว่า"ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มีอิสระในการพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ ทำนองเดียวกับ ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา ก็เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่มีอิสระในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เรียกว่าหน้าที่ใครหน้าที่ของคนนั้น รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ก็จะผูกพันทุกองค์กร ที่จะต้องปฏิบัติตาม ถ้าองค์กรหนึ่งปฏิเสธอำนาจของอีกองค์กรหนึ่งได้ ต่อไปก็จะกระทบกันเป็นลูกโซ่ จนบ้านเมืองไม่มีขื่อแป
ย้ำไม่ยอมรับบ้านเมืองจะเหลืออะไร
"ลองคิดดูว่า ถ้าศาลไม่เห็นด้วย กับฝ่ายนิติบัญญัติ พอออกกฎหมายอะไรมาแล้ว ก็ไม่ยอมตัดสินคดีตามกฎหมายนั้น ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายใด ก็ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ตำรวจไม่ยอมบังคับการตามกฎหมาย อัยการไม่ยอมฟ้องตามกฎหมาย พอศาลตัดสินคดีแล้ว กรมราชทัณฑ์ ก็ไม่ยอมเอาตัวไปลงโทษตามคำตัดสินหรือกรมบังคับคดีไม่ยอมบังคับคดีตามคำพิพากษาคนแพ้คดีแล้วไม่ยอม ยกพวกมาล้อมบ้านโจทก์ หรือขู่เข็ญว่าจะทำร้ายโจทก์ ตำรวจเห็นก็เฉยเสีย แล้วบ้านเมืองจะเหลืออะไร"นายมีชัย ย้ำ
สว.แฉแผนระบอบทักษิณ
นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวถึงการเคลื่อนไหวกดดันศาลรัฐธรรมนูญของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า เป็นยุทธศาสตร์ยกระดับทำลายความชอบธรรมโดยรวมศูนย์ฝ่ายการเมือง ฝ่ายมวลชน สื่อและฝ่ายวิชาการแบบจัดหนักจัดเต็ม ส่วนศาลฎีกานั้นอาจเป็นดาบต่อไป ถ้าศาลรัฐธรรมนูญหมอบราบคาบแก้วแบบดีเอสไอ งานนี้เป็นการประกาศศึกครั้งใหม่หลังจากศึก "เมษา 52"และศึก "พฤษภา 53"ล้มเหลวมาแล้ว ศึกครั้งนี้สุ่มเสี่ยงที่อาจถึงเลือดถึงเนื้อก็ได้ หรือว่าในใจลึกๆของใครบางคนที่ชะลอตัณหาของตนเองไม่ได้ จึงปรารถนาจะแตกหักชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกองคาพยพแบบให้จบเร็ว?"
“การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการลั่นกลองรบแบบพร้อมแตกหักครั้งใหม่ของฝ่ายอธรรมฝ่ายการเมืองรุกคืบไปหลายองคาพยพแล้ว ส.ส.ที่เป็นข้าทาสก็เกลื่อนกลาดเต็มสภา ส.ว.ที่สอพลอฝ่ายการเมืองก็มีหลายคน รัฐบาลถูกกดปุ่มสไกป์จากนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ทหารตำรวจก็ควบคุมได้แล้ว เหลือเพียงด่านเดียวที่เป็นปราการที่แข็งแกร่งคือศาลสถิตยุติธรรมที่เขาหักดิบไม่ได้เหมือนองค์กรอื่น”นายประสาร กล่าว
ส.ว.ผู้นี้ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีวินิจฉัยที่เป็นคุณต่อพรรคเพื่อไทยหลายกรณี เช่น พรก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท กรณีนายวราเทพ รัตนากร ศาลมีมติ 5 ต่อ 3 ไม่ถอดถอนจากตำแหน่งรัฐมนตรี กรณีคำร้อง ส.ว.เรื่องโครงการจำนำข้าวและคำร้องเรื่องตีความกรณี พรบ.ร่วมทุนเอกชน ศาลรัฐธรรมนูญก็ยกคำร้อง แล้วศาลไม่ยุติธรรมตรงไหน พฤติกรรมอันธพาลอย่างนี้ ยังมีหน้ามาเรียกหาความยุติธรรมโดยไม่อายฟ้าไม่อายดิน
แฉ3กลุ่มกดดันศาลมุ่งลดอำนาจ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากกลุ่ม ส.ส. สว. กลุ่มคนเสื้อแดง และนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ ( คอ.นธ.) ว่า การเคลื่อนไหวของทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าว ล้วนมีเป้าหมายเพื่อลดทอนอำนาจ พยาจามกำจัดของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการทำลายระบบการตรวจสอบถ่วงดุล ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเสือกระดาษ เป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องทำให้อำนาจอยู่กับฝ่ายบริหารและเสียงข้างมากโดยพยายามลดการตรวจสอบ
จี้หยุดให้ท้ายแดงบีบศาลฯก่อนป่วน
“การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่เกินเลยกรอบของกฎหมาย มีการยุให้มวลชนเข้าจับกุมตัวตุลาการ ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ข่มขู่และกดดัน มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความรุนแรง เป็นการเคลื่อนไหวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมาย ใครที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหว ควรจะออกมาดำเนินการยุติการเคลื่อนไหวและรัฐบาลต้องแสดงออกว่าไม่สนับสนุนการชุมนุมที่ไม่ถูกฎหมาย มิฉะนั้นจะถูกครหาว่าอยู่เบื้องหลัง วันนี้รัฐบาล มีภาระหน้าที่อีกมากมายในการแก้ปัญหาให้ประชาชน จึงไม่ควรเอาเวลาไปสนับสนุน สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ควรยุติก่อนที่จะปล่อยให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็นความรุนแรงเพิ่มขึ้นในสังคม” นายองอาจ ย้ำ
ซัดรัฐเมินแก้ปากท้องมุ่งการเมือง
ด้าน นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลมีความพยายาม ที่จะเดินหน้าผลักดันในเรื่องที่เป็นประเด็นการเมือง ไม่สนใจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง เช่น พรรคเพื่อไทยจะเปิดเวทีปราศรัย โดยเน้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม และการกู้เงิน2 ล้านล้านบาท ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมือง หรือผู้ที่อยู่เบื้อหลังรัฐบาล จึงเป็นเหตุให้มีการจัดเวทีบิดเบือนข้อเท็จจริงเป่าหูประชาชน เพื่อให้คล้อยตามสภาฯและยินยอมในสิ่งที่รัฐบาลจะดำเนินการในช่วงเปิดสมัยประชุมสมัยหน้า แต่ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าจัดเวทีผ่าความจริง เพื่อบอกให้ประชาชนทราบถึงสิ่งที่รัฐบาลกำลังสร้างความเสียหายกับประชาชน และเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาแก้ปัญหาให้ประชาชน เช่น ปัญหาภัยแล้ง ของแพง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
แดงอุดรคึกเหลิมโวพาแม้วกลับบ้าน
ในวันเดียวกัน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางที่สถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร บ้านหนองลีหู ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานีได้ออกรายการทีวีดาวเทียมช่องp&pchannelแจงเกี่ยวกับการจัดเวทีพาทักษิณกลับบ้านในเดือนหน้าโดยกล่าวว่า นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ตนเองถือเป็นแกนนำหลักในการช่วยพรรคหาเสียงและตอนนี้ตนเองกำลังเดินหน้า พรบ.ปรองดองแห่งชาติ 6มาตรา ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นับจากปี2549จนกระทั่งร่าง พรบ.ประกาศใช้ทุกผู้คนทุกสี ทุกหมู่เหล่าจะได้รับผลบวกจาก พรบ.การปรองดองแห่งชาติฉบับนี้ ผมเขียนหลักการไม่ได้ระบุตัวบุคคลใครอยู่ในหลักเกณฑ์ได้ประโยชน์หมด เลิกทะเลาะเบาะแว้งหันหน้ามาสามัคคีกัน ส่วนอีกเรื่องคือการเดินหน้าพาทักษิณกลับบ้านโดยในวันที่24พฤษาคมจะจัดเวทีใหญ่ ที่สนามทุ่งศรีเมือง
พร้อมย้ำว่า“เวทีปราศรัยของผมจะไปเรื่อยๆภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้และกรุงเทพฯเวทีนี้ใครขึ้นได้หมด แต่ผมมีเงื่อนไข3ข้อคือ1.อย่าไปยุ่งกับศาล2 .อย่าด่าทหาร3.อย่าพาดพิงสถาบัน เพราะผมอยากปรองดอง อะไรที่จะทะเลาะเบาะแว้งผมจะลดลง และจะรวมตัวกันเอาทักษิณกลับบ้านให้ได้ก่อน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี