"จตุพร"ปัดตอบเห็นด้วยหรือไม่ปมนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง เหตุเป็นผู้มีส่วนได้เสีย แนะผู้รู้ศึกษาเปรียบเทียบ ป.วิอาญากับวิธีพิจารณาคดีความทางการเมือง ย้ำการต่อสู้ทางการเมืองไม่ควรจะมีใครต้องติดคุกเเม้แต่วันเดียว เชื่อไทยกำลังเจอวิกฤตขั้นรุนแรงเปรียบเสมือนคนป่วยระยะสุดท้าย พร้อมยกมรณสติทางการเมือง ข้อคิดเตือนใจ ขอทุกฝ่ายร่วมมือฝ่าวิกฤตชาติ
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2563 ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงหลักมรณสติทางการเมือง ว่า สถานการณ์ปัจจุบันกำลังจะไปถึงจุดเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีภัยทางสงคราม แต่ปรากฏการณ์โควิด-19 และก่อนโควิด-19 ได้สร้างความพินาศย่อยยับให้เกิดขึ้น
รวมทั้งย้ำว่า สถานการณ์ประเทศไทยขณะนี้กำลังเดินไปถึงจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย และเชื่อว่าบรรดาแวดวงต่างๆที่ตนได้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อมูลประเมินสถานการณ์ของประเทศไทยอย่างเป็นจริง ไม่เข้าข้างใดหนึ่งฝ่ายใดหรือมโนไปเอง ก็พบว่าเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 ปีจะสามารถดีดขึ้นมาได้
นายจตุพร เชื่อว่า กว่าจะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใช้เวลาอย่างน้อยก็ปลายปี 2564 แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ อะไรที่เป็นการพึ่งพาต่างประเทศโดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวนั้น ตายแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เหล่านี้คือสถานการณ์ของความเป็นจริง หากทีมเศรษฐกิจยังมีแนวคิดแบบเดิมๆ ก็จะเจอกับความหายนะทั้งปวง
ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรี หากเอาตามเงื่อนเวลาของนายกรัฐมนตรีที่บอกจะเริ่มปรับในวันที่ 4 กุมารไปลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐนั้น แต่ในเวทีการไปพบกองบรรณาธิการสื่อสารมวลชนก็ระบุชัดว่า รอให้งบประมาณผ่านสภาก่อน ดังนั้นหากดูงบประมาณปี 2564 ต้องใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ และโดยปฏิทิน กว่าจะผ่านสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงวุฒิสภา คาดว่ากินเวลาไปถึงปลายเดือนกันยายนนี้
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้อยู่ท่ามกลางความอึมครึม คนที่อยู่รอจะพ้นจากตำแหน่งก็ไม่มีจิตใจที่จะทำงาน ดังที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ บอกว่า ถอดใจมาหลายปีแล้ว ทั้งที่ควรจะบอกมาหลายปีก่อนว่าถอดใจ การที่เอาคนถอดใจมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในยามที่ประเทศประสบปัญหาวิกฤต แบบนี้ไม่ได้ เพราะตัวนายสมคิดเองก็รู้สภาพทั้งหมดก็เกิดความรู้สึกถอดใจกับความหายนะและปัญหาใหญ่ของประเทศ
ดังนั้น ควรเอาคนที่มีแนวความคิดใหม่ๆเข้ามา แต่ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางความอกแตก เพราะคนจะมาใหม่ไม่ได้คิด แต่ให้คนเก่าไปทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 เมื่อคนใหม่มาจะทำอะไรได้ เพราะสุดท้ายแล้วต้องทำตามกรอบงบประมาณ
รวมทั้งกล่าวว่า เมื่อวานนี้หากใครได้ฟังบทสัมภาษณ์ของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับฉายาว่า ขงเบ้ง ที่มองปรากฏการณ์หลายชั้น ซึ่งตนเชื่อว่า ที่พลเอก ชวลิต พูดถึงคำว่า 10 ปีนั้นเป็นท่วงทำนองของการตอบคำถามแบบประชดประชัน แต่รายละเอียดทางการเมืองที่บอกว่า 88 ปี ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงนั้นคือคำตอบ
“พลเอก ชวลิต เป็นเจ้าของคำที่ว่าการเมืองไทยเป็นวงจรอุบาทว์ คือ มีเลือกตั้งก็มีการยึดอำนาจ มีการต่อสู้ของประชาชนและบาดเจ็บล้มตายแล้วก็เลือกตั้ง แล้วก็ยึดอำนาจ อย่างที่เราได้พูดกันทุกครั้งว่าการสลับเข้ามามีอำนาจ ก็อยู่ระหว่างทหารกับนักการเมืองและทหารก็เป็นส่วนใหญ่ นักการเมืองเป็นส่วนน้อย ประเทศไทยอยู่ในสถานะลุ่มๆดอนๆมาโดยตลอดแต่ฝ่ายที่ตายคือประชาชน และไม่ว่าทหาร หรือ นักการเมือง เข้ามามีอำนาจ ประชาชนก็ยังเป็นประชาชนอยู่วันยังค่ำนี่เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยน”
ดังนั้น หากไม่คิดกันอย่างครบถ้วนในการต้องระดมคนดีมีฝีมือไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม ก็ยากที่จะฝ่าฟันทุกสถานการณ์นี้ไปได้ แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ความขัดแย้งที่ร้าวลึกมาอย่างยาวนานนั้น มันยาก เพราะหลักใหญ่ใจความคือเราอยู่ในสถานการณ์ที่ความรู้สึกแตกต่างกันอยู่เหนือปัญหาชาติ การต่อสู้วันนี้เอาคดีเดิมๆ ตายกลับกี่ชาติก็ไม่รู้จะครบหมดหรือไม่ แต่ความรู้สึกเดิมๆที่ประสบการณ์มานั้นสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในแต่ละเวลาไม่เหมือนกัน พฤษภา 35 เราไม่เกิดปัญหาภาวะทางเศรษฐกิจแต่เรามีปัญหาทางการเมือง
นายจตุพร กล่าวว่า การชุมนุมแต่ละครั้งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อาจจะกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจบ้าง แต่ไม่เลวร้ายจนถึงทุกวันนี้ถึงขั้นที่จะเป็นวิกฤติอย่างรุนแรงและตนได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าปีนี้งบขาดดุลกว่า 6 แสนล้านบาท ปีหน้าจะขาดดุลมากกว่านี้ เมื่อเดินมาถึงจุดนี้แล้ว จะอยู่กันแบบเดิม แบบนี้และปล่อยให้ประเทศพังพินาศย่อยยับหรือไม่
“บางครั้งการทะเลาะเบาะแว้งไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อเห็นสภาพบ้านเมืองที่เปรียบเสมือนคนอยู่ในอาการที่เรียกว่า ระยะสุดท้ายซึ่งแปลว่าความตายอยู่เบื้องหน้าความหายนะอยู่เบื้องหน้าทั้งสิ้นแต่ยังเดินกันอยู่เหมือนเสมือนหนึ่งว่ายังแข็งแรงอยู่”
ดังนั้น หากยังคิดกันแบบเดิมไม่มีทางจะพาประเทศไทยไปรอดได้และตนก็ไม่รู้อีกกี่วัน คุกก็จ่อรออยู่ข้างหน้า ทั้งนี้ตนได้สอบถามเพื่อนในเรือนจำก็เป็นห่วง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์และนายแพทย์เหวง โตจิราการ ไม่รู้เมื่อไหร่เรือนจำจะส่งตัวไปยัง โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะสังขารไม่เอื้ออำนวย
ทั้งนี้ ตนมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกับคนที่มีมุมมองทางการเมืองแตกต่างกัน มีการยกตัวอย่างกรณีว่าในประเทศไทยในการพิจารณาคดีความทางการเมืองนั้น ประเทศไทยไม่มีวิธีพิจารณาความทางการเมือง จึงนำวิธีพิจารณาความทางอาญามาใช้พิจารณาความทางการเมือง ดังนั้น โทษก็จะเป็นโทษทางอาญา
“การต่อสู้ทางการเมืองนั้นผมยืนยันว่า ไม่ควรจะมีใครต้องติดคุกเเม้แต่วันเดียว เนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองเป็นทัศนคติทางการเมือง แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีวิธีพิจารณาความคดีทางการเมือง ก็ไปใช้ประมวลวิธีพิจารณาความทางอาญา”
นายจตุพร กล่าวถึงเรื่องนิรโทษกรรมในคดีการเมือง ว่า ตนไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้เพราะเป็นผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องแต่ดูข้อมูลในประเทศไทย พบว่ามีการนิรโทษกรรม 23 ครั้งแบ่งเป็นพระราชบัญญัติ 19 ฉบับ และพระราชกำหนด 4 ฉบับ ตั้งแต่ยุคสมัยคณะราษฎร์จนถึงฉบับที่ 23
“ส่วนตัวไม่สามารถพูดได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่ แต่จะบอกว่า โทษถึงตายกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ของประเทศขณะนี้ต้องกลับไปคิดว่า เราจะพกความขัดแย้งอย่างรุนแรงต่อไปอีกหรือไม่ เพราะประเทศไทยเดินมาถึงจุดที่กำลังจะเกิดวิกฤตสูงสุด”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี