ศาลปค.สูงสุดพิพากษายืนเพิกถอนคำสั่งปลด “วิชัย”อดีตผอ.สำนักกม.สรรพากร มือรับโอน“หุ้นชินคอร์ป”ออกจากราชการ ชี้ป.ป.ช.ไร้หลักฐานแสดงได้รับประโยชน์แลกงดเว้นคำนวณภาษี“คุณหญิงพจมาน” ที่โอนหุ้นชินฯมูลค่า 738 ล้านให้ “บรรณพจน์ “ พร้อมสั่งให้คำสั่งเพิกถอนมีผลย้อนหลังตั้งแต่ 29 ธ.ค. 49 และให้เร่งคืนสิทธิประโยชน์โดยเร็ว
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2563 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ลดโทษนายวิชัย จึงรักเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จากไล่ออกเป็นปลดออกจากราชการ จากกรณีนายวิชัย งดเว้นการคำนวณภาษีกับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการโอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น (มหาชน)หรือชินคอร์ป 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ให้นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน เมื่อปี 2540 แต่มีคำพิพากษาแก้คำสั่งศาลปกครองกลางในส่วนระยะเวลาที่ให้คำสั่งเพิกถอนมีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่มีคำสั่งคือวันที่ 12 พ.ค. 51 เป็นให้คำพิพากษาเพิกถอนมีผลย้อนหลังไปนับตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 49 ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออกจากราชการมีผลบังคับ และให้มีการคืนสิทธิประโยชน์ที่นายวิชัยพึงมีพึงตามกฎหมายโดยเร็ว
ส่วนเหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งลดโทษนายวิชัยจากไล่ออกเป็นปลดอกจากราชการ ระบุว่า มติชี้มูลความผิดทางวินัย นายวิชัยของ ป.ป.ช. เป็นเพียงการใช้อำนาจทางปกครอง ตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติไม่ใช่การวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่เป็นการใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญอันเป็นข้อยกเว้นตามมาตรา 223 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ 50 เมื่อคดีนี้นายวิชัยขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง
ส่วนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 658/2551 ลงวันที่ 12 พ.ค 51 เรื่องลดโทษข้าราชการเฉพาะส่วนที่ลดโทษนายวิชัยจากไร่ออกเป็นปลดออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าข้อกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจการไต่สวนและวินิจฉัยของป.ป.ช.หมายถึงเฉพาะข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่การงานที่ทำเท่านั้น นอกจาก 3 กรณีดังกล่าวนี้ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจชี้มูลความผิด ดังนั้นการที่ป.ป.ชชี้มูลความผิดทางวินัยในความผิดฐานอื่นนอกเหนือจากการทุจริตต่อหน้าที่จึงไม่ผูกพันผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน ผู้ถูกกล่าวหาที่ต้องถือเอารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงและความเห็นของป.ป.ช.มาเป็นสำนวน สอบสวนทางวินัย ของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่งของพ.ร.ป.ว่าด้วย ปปช 2542
นอกจากนี้ ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมสรรพากรกระทรวงการคลัง 2540 สำนักกฎหมายที่นายวิชัยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการไม่ได้เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบ เรียกเก็บภาษีอากร แต่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการวินิจฉัยตีความกฎหมายประกาศคำสั่งและระเบียบต่างๆที่เกี่ยวกับภาษีอากร ซึ่งจากข้อเท็จจริง จากข้อเท็จจริงเห็นได้ว่าการรับโอนหุ้นของนายบรรณพจน์ สำนักตรวจสอบภาษีได้ดำเนินการตรวจสอบและมีความเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าเป็นกรณีการรับหุ้นจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ถือเป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 2( 10 )แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากร ซึ่งในการพิจารณาตอบข้อหารือของสำนักกฎหมายก็ได้พิจารณาให้ความเห็นโดยอ้างอิงในความเห็นของกรมสรรพากรและคำพิพากษาศาลฎีกาที่มีข้อเท็จจริงและความเห็นใกล้เคียงกับความเห็นของสำนักตรวจสอบภาษี เมื่อป.ป.ชไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการให้ความเห็นในกรณีนี้ นายวิชัยมีเจตนาเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้จึงไม่อาจถือว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ
สำหรับการที่นายบรรณพจน์ ดำเนินการรับโอนหุ้นจากคุณหญิงพจมาน และหรือพันตำรวจโททักษิณผ่านระบบซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จะถือเป็นการโอนหลักทรัพย์โดยอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้ซึ่งบุคคลดังกล่าวจะต้องรับผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของป.ป.ชหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องแยกพิจารณาภาระภาษีที่ผู้มีเงินได้พึงประเมินจะต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร อีกทั้ง ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดในสำนวนคดีนี้ที่พิสูจน์ได้ว่านายวิชัยได้รับประโยชน์ที่มิควรได้จากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว หรือปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบของทางราชการ ที่ทำให้กรมสรรพากรได้รับความเสียหายกรณีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าพฤติการณ์ของนายวิชัย ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา 82 วรรค 3 มาตรา 15 วรรคสองและมาตรา 98 วรรค 2 พ.ร.บระเบียบข้าราชการพลเรือน 2535 ตามที่ป.ป.ชชี้มูลความผิด การที่ปลัดกระทรวงการคลังมีคำสั่งกระทรวงคลัง ที่ 1214/2549 ลงวันที่ 29 ธ.ค. 49 ลงโทษไล่นายวิชัย ออกจากราชการและต่อมาได้มีคำสั่งกระทรวงคลังที่658/2651 ลงวันที่ 12 ธ.ค. 51 ลดโทษนายวิชัยจากไล่ออกจากราชการเป็นปลดออกจากราชการ ตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี