โปรดเกล้าฯครม.ประยุทธ์2/2
แต่งตงรมต.7ราย
‘สุพัฒนพงษ์’รองนายกฯควบพลังงาน
บิ๊กตู่ลั่นอยู่7ปีศก.ขยับดีขึ้น
ไม่ถึงเวลากลับไปขัดแย้งอีก
วิษณุแย้ม2ช่องทางแก้รธน.
รบ.มีธงในใจ-รอฟังทุกฝ่าย
โปรดเกล้าฯครม.ประยุทธ์ 2/2 “ดอน” รองนายกฯ“สุพัฒนพงษ์” รองนายกฯควบพลังงาน “ปรีดี ดาวฉาย”นั่งคลัง “อนุชา”รมต.ประจำสำนักนายกฯ“เอนก”รมว.อว.“สุชาติ”รมว.แรงงาน ขณะที่“นฤมล”รมช.แรงงาน เพิ่มรองนายกฯเป็น 6 คน นายกฯลั่นตั้งแต่รับตำแหน่งปี’57 เศรษฐกิจขยับดีขึ้น ชี้ยังไม่ถึงเวลาจะกลับไปขัดแย้งเหมือนเก่า เปิดพื้นที่ให้เด็กมากขึ้น“วิษณุ”แย้มแก้รธน.2 แนวทาง เผยรัฐบาลมีธงในใจแล้ว รอฟังเสียงหลายฝ่ายป้องกันขัดแย้ง ยอมรับใช้งบเยอะหากจำเป็นก็ต้องทำ ยัน ไม่ห้ามตั้งส.ส.ร.
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เปิดเผยหลังเป็นประธานปาฐกถาพิเศษ ในงาน Bangkok Post Forum พลิกฟื้นประเทศไทย ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงถึงความคืบหน้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ว่า ได้ทูลเกล้าฯรายชื่อรัฐมนตรีใหม่แล้วพร้อมย้อนถามว่า”วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว”ผู้สื่อข่าวได้ตอบว่าวันที่ 6ส.ค.ซึ่งนายกฯกล่าวว่า”เดี๋ยวก็รู้ เมื่อรู้แล้ว ก็จะมีการกำหนดเวลาเข้าเฝ้าฯผมบอกแล้วว่าไม่เกินต้นสิงหาคม สบายใจแล้วกัน จะได้ทำงานกันได้”เมื่อถามย้ำว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะไม่เรียบร้อยได้อย่างไร
โปรดเกล้าฯครม.ประยุทธ์2/2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่าย ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี มีรายละเอียดระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2562 แล้วและแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562 นั้น
บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตำแหน่ง สมควรแต่งตั้ง รัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างและเพิ่มเติมบางตำแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
สุพัฒนพงษ์รองนายกฯ-พลังงาน
นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็น รองนายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งหนึ่ง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุชา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายปรีดี ดาวฉาย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2563
เพิ่มเก้าอี้รองนายกฯเป็น6คน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ครม.ประยุทธ์ 2/2 ส่วนใหญ่เป็นไปตามโผก่อนหน้านี้ เป็นคนนอก 2 คนคือ นายสุพัฒนพงษ์ กับนายปรีดี เช่นเดียวกับ นายอนุชา, นายสุชาติ , นายเอนก และ นางนฤมล ที่น่าสนใจคือ การเพิ่มตำแหน่ง รองนายกฯ ขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่ง คือ นายดอน ทำให้ปัจจุบัน มีรองนายกฯ จากเดิม ครม.ประยุทธ์ 2/1 มีเพียง 5 คน มาเป็น 6 คน ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี , นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และรมว.การต่างประเทศ , นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ,นายสุพัฒนพงษ์ รองนายกฯและรมว.พลังงาน ,นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ และนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข
บิ๊กตู่ลั่นรับตำแหน่งปี57ศก.ดีขึ้น
วันเดียวกัน ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปาฐกถาพิเศษหัวข้อพลิกฟื้นประเทศไทย :ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง” ในงานครบรอบ74 ปีหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ช่วงหนึ่งว่า การสร้างการรับรู้ข้อเท็จจริงอย่างกว้างขวาง การให้ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา สร้างสรรค์ จะสะท้อนความต้องการของประชาชน ช่วยสร้างความเข้าใจ บรรเทาความขัดแย้ง ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สิ่งเหล่านี้ ทุกคนต้องการมากที่สุดในขณะนี้ ในเวลาที่เรากำลังมีปัญหาจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพลิกฟื้นในประเทศในช่วงที่ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากวิกฤติในปัจจุบัน ทุกคนทราบดีว่าจำเป็นต้องดูแลให้เกิดความต่อเนื่อง เพราะเป็นปัญหาระยะยาวที่เราร่วมกันเผชิญหน้ามาโดยตลอด หลายรัฐบาล หลายสิบปี ที่ยังมีความเหลื่อมล้ำในเรื่องของอาชีพและรายได้ สิ่งเหล่านี้เราต้องช่วยกันทะนุบำรุงให้แข็งแกร่ง ทั้งการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก เพื่อเป็นพื้นฐานที่ดีในการพลิกฟื้นประเทศไปสู่ความมั่นคงให้ได้โดยเร็ว
“ตั้งแต่ผมเข้ามารับตำแหน่ง นายกฯเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2557จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ อัตราการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจในปี2557อยู่ที่เพียงร้อยละ 1.0 เพราะมีปัญหาความขัดแย้ง ความไม่มีเสถียรภาพ แต่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นร้อยละ3.1 และร้อยละ 3.4 ในปี2558 และ2559 จากนั้นก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก จนเมื่อถึงปี 2563 ประเทศไทยเผชิญปัญหาสำคัญ ทั้งเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ต้องเผชิญวิกฤตการณ์ ทั้งการค้า การลงทุนต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุด คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19ซึ่งความรุนแรงยังเกิดขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในต่างประเทศยังมีการแพร่ระบาดจำนวนมาก วันนี้สถานการณ์ ยังประมาทไม่ได้เลยเพราะยังมีการขยายขอบเขตไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แต่เราต้องไม่ตื่นตระหนก ต้องอาศัยความร่วมมือ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด แต่เมื่อรัฐบาลออกมาตรการต่างๆ ออกมามีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เราต้องทำคนส่วนใหญ่และคนทั้งหมดปลอดภัย และต้องช่วยกันความเข้าใจ ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้น”
ยังไม่ถึงเวลาจะกลับไปขัดแย้ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าทุกคนทราบดีว่าสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในช่วงถดถอยทั้งโลก ประเทศไทยที่ว่าแย่ แต่ก็ยังมีหลายประเทศที่แย่มากกว่า จึงขออย่าท้อแท้ เราต้องทำให้ดีและฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ ทุกคนต้องอดทนบ้าง และคาดว่าจากปีนี้จนถึงปีหน้า และปีต่อไปอีก 2 หรือ 3 ปี กว่าจะทุกอย่างจะกลับมาฟื้นฟูเข้มแข็งได้ จึงต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหา
“ความร่วมมือและความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ ลดความขัดแย้งในหลายๆ ประเด็น สร้างความมีเสถียรภาพเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งภายในและภายนอกประเทศ วิกฤตครั้งแตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา อะไรที่เกิดขึ้นแล้วสามารถแก้ไขได้ ก็ต้องทำที่ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง อะไรก็ตาม แต่เราก็เดินมาถึงวันนี้ได้ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน ผมจะเข้ามารับหน้าที่นายกฯ เราจะกลับไปสู่ที่เก่ากัน หรือ ผมคิดว่ามันยังไม่ใช่ และยังไม่ถึงเวลานี้ แต่ทั้งหมดก็สุดแล้วแต่พวกท่าน เพราะพวกท่าน คือ ผู้ที่จะตัดสินอนาคตประเทศไทย ผมเองก็ทำหน้าที่ฝ่ายบริหารของผมให้ดีที่สุด”นายกฯย้ำ
อย่างไรก็ตาม วันนี้เราได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี อีกทั้งประเทศไทยก็มีความพร้อม ขอเพียงอย่างเดียว ประเทศเราจะต้องมีเสถียรภาพ อย่าให้มีความวุ่นวาย ไม่เช่นนั้น นักธุรกิจและนักลงทุน จะรู้สึกไม่ปลอดภัยในการที่จะมาลงทุน ไม่เกิดความเชื่อมั่น ทุกฝ่ายจึงต้องช่วยกัน
พร้อมเปิดพื้นที่ให้เด็กมากขึ้น
นายกฯกล่าวอีกว่าวันนี้เราต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จะต้องทำให้เด็กรู้ว่าเรากำลังจะดูแลพวกเขาอย่างไร หลายอย่างต้องมีการแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้าง ช่วงที่ผ่านมาหลายอย่างก็มีปัญหามากพอสมควร จึงได้ให้นโยบายปรับปรุงและแก้ไขให้ได้โดยเร็วที่สุด ระหว่างนี้เราต้องให้เด็ก ให้ผู้ปกครอง ได้รับทราบว่า เรามีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง สิ่งที่ตนได้รับฟังมาเด็กหลายคนมีปัญหา เพราะเด็กของเรามักจะถูกสอน แต่เรื่องในตำราและหลักสูตร จึงทำให้เด็กไทยคิดได้ช้ากว่าประเทศอื่น คนไทยไม่ใช่ไม่เก่ง ดังนั้น เราจึงต้องหาโอกาสว่าทำอย่างไรให้เขาได้แสดงออกมาที่เป็นประโยชน์ โดยมีแนวทางและหลักการ ทั้งสิ่งที่เราทำมาแล้ว โลก และประเทศอื่นๆมาศึกษา เด็กไทยต้องอ่านหนังสือมากขึ้น วันนี้มีคนเก่งอยู่มาก ทำอย่างไรจะดึงศักยภาพเหล่านี้ออกมาให้ได้
“ในการเปิดโลกทัศน์ให้กับเด็ก จะต้องหาเวลาให้เขาได้ออกมาพูดคุยพบปะหารือ มีการถกแถลงแสดงความคิดเห็นกันบ้าง ในชั่วโมงที่มีเวลาบ้าง ให้เวลาเขาได้ออกไปดูพื้นที่นอกโรงเรียน ว่ามีอะไรเกิดขึ้นรอบตัวบ้าง เด็กก็จะมีความรักในแผ่นดินและพื้นที่ของเขา ได้รู้ถึงความยากลำบากของประเทศไทย ผมคิดว่าจำเป็นต้องปรับวิธีคิดของคนไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตาม เพื่อจะได้ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ไม่เช่นนั้นจะยืนอยู่ที่เดิมตลอด ติดกับปัญหาเดิมๆ ซึ่งทุกคนทราบดีว่าปัญหาเหล่านี้คืออะไร”
ย้ำทำให้บ้านเมืองสงบต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า”ช่วงก่อนที่ผมจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่วันนี้เมื่อเข้ามาแล้ว ก็จำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างเรียบร้อย สงบลง ความมั่นคง ก็ต้องเรียบร้อย มีเสถียรภาพ นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอด และจะทำต่อไป นอกจากนี้วันนี้โอกาสรอเราอยู่ทั้งสิ้น เราจะทำลายโอกาสของเราทำไม ถ้าทำลาย ผมก็สุดแล้ว แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดว่า ดี ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะผมก็มีแต่กฎหมายเท่านั้น ไม่อยากจะดำเนินการ ตรงนี้จึงขอให้ทุกคนคิดเอาเอง”
หมดเวลาไปขัดแย้งมีปัญหา
“รัฐบาลพยายามสร้างความมีส่วนร่วมรวมไทยสร้างชาติ เราต้องรอดวันหน้าเราต้องเข้มแข็งกว่านี้และต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เวลาเราเหลือเวลาไม่มมากแล้ว ถ้าเอาเวลาไปขัดแย้ง ไปมีปัญหา ถ้าล้มอีกเริ่มใหม่ ทุกอย่างก็กลับไปที่เดิม ผมก็ช่วยไม่ได้อีกแล้วอีก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่โทษใคร ขอทุกคนร่วมมือทั้งความมั่นคงภายในภายนอกและเศรษฐกิจภายในภายนอก วันนี้ ย้ำว่าประชาธิปไตยต้องฟังทั้งเสียงส่วนใหญ่และเสียงส่วนน้อยก็ต้องแก้ปัญหา ถ้ารวมกันทั้งหมดก็ไปไม่ได้ทุกเรื่อง”นายกฯ กล่าว
วิษณุแย้มแก้ไขรธน.2แนวทาง
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 สภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256ว่าหากต้องมีการทำประชามติจะต้องเสียงบประมาณกว่า3,000ล้านบาทว่า หากต้องมีการทำประชามติ ก็จะต้องใช้งบประมาณดังกล่าว เทียบเท่ากับการเลือกตั้ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกแก้รัฐธรรมนูญในแบบไหน ซึ่งมี 2 แนวทาง 1.การแก้ไขรายมาตรา 2 .การแก้ไขเป็นหมวด อาทิหมวด 1ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับหมวดทั่วไป หมวด 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ หรือ หมวด 15 เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงคุณสมบัติต้องห้าม องค์กรอิสระ ซึ่งการแก้ไขส่วนเหล่านี้จะต้องทำประชามติ อาจมีความยุ่งยากและใช้เวลา
ทำประชามติรอ’กกต.’เสนอ
นายวิษณุกล่าวว่าหากมีการทำประชามติทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ต้องจัดหางบประมาณ และต้องจัดทำกฎหมายประชามติ ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเคยออกกฎหมายเกี่ยวกับทำประชามติมาแล้ว แต่ออกตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนและยกเลิกไปเพราะเมื่อรัฐธรรมนูญเปลี่ยน กฎหมายการลงประชามติ ก็ใช้ไม่ได้ โดยกกต.เคยส่งร่างกฎหมายประชามติ มายังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 เมื่อปี 2562 ซึ่งรัฐบาลเตรียมที่จะเสนอสู่รัฐสภาแต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)หมดวาระ และเปลี่ยนรัฐบาล กกต.จึงขอนำร่างกฎหมายประชามติไปปรับปรุงจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ส่งกลับมา ตนได้รื้อดูกฎหมายประชามติเก่าว่าจะสามารถนำกลับมาใช้ได้หรือไม่ พบว่าไม่ได้ เนื่องจากติดล็อคกับรัฐธรรมนูญอื่น หลังจากนี้ กกต.จะเป็นผู้ดำเนินการ และก็ต้องปรับปรุงจากบทเรียนที่พบในการทำประชามติที่ผ่านมา
ใช้งบเยอะถ้าจำเป็นก็ต้องทำ
นายวิษณุ กล่าวว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมี 2 ทางเลือกดังกล่าว ข้อเสนอให้แก้ไขมาตรา 256ก็คือการแก้หมวด15ซึ่งอยู่ในวิธีที่ 2 ตนไม่ขอตอบว่าการทำประชามติโดยใช้งบประมาณกว่า3พันล้านบาท จะคุ้มค่าหรือไม่ เพราะหากมีความจำเป็นต้องแก้ไข ก็ต้องคุ้ม เหมือนกับที่ฝ่ายค้านให้ความเห็นว่า หากมีเหตุผลที่ต้องเสีย มีความจำเป็นก็ต้องทำ แต่อีกฝ่ายหนึ่ง มองว่าเป็นการสิ้นเปลืองเงินในยุคนี้หากไม่จำเป็นจริงๆและไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่นำไปสู่การทำประชามติ ไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียว เพราะหากมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ก็ต้องนำไปลงประชามติอีกครั้ง
รอรับฟังทุกฝ่ายป้องกันขัดแย้ง
รองนายกฯ ยอมรับว่าแนวทางของการแก้รัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560สภาผู้แทนราษฎร ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน ยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่นายกฯได้พูดในที่ประชุมครม.ว่าอยู่ระหว่างรอข้อเสนอให้ส่งมาว่าจะแก้ไขรายมาตรา หรือ แก้ไขทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลมีความคิดอยู่แล้วว่า จะทำอะไร แต่ขอรอฟัง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เท่าที่ทราบฝ่ายค้านคิดจะแก้อย่างหนึ่ง รัฐบาลคิด จะแก้อีกอย่างหนึ่ง และพรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่ได้คิดตรงกัน ขณะที่ ส.ว.ก็คิดจะแก้ไขเช่นกัน
ชี้ต้องถกประเด็นแก้ไขให้ชัด
“เมื่อเข้าสู่สภาต้องใช้ 2 สภา ส.ส.บวก ส.ว.ประมาณ 750 คน การโหวตจะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินครึ่งถึงจะผ่านคือ 375 เสียง ซึ่งเป็นการลงคะแนนแบบเปิดเผย และการนับคะแนน เสียงของ ส.ว.250 ต้องมีเสียงเห็นชอบกับแก้รัฐธรรมนูญเข้ามาด้วย1ใน3หรือประมาณ 80 เสียง และ หากเข้าสู่วาระ 3 ก็จะย้อนไปนับเสียงของฝ่ายค้าน ต้องมีเสียงเห็นชอบด้วยและหากได้ข้อสรุปว่า จะแก้ในรูปแบบไหน เป็นวิธี 1 ก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่หากเป็นวิธีที่ 2ก็จะต้องไปทำประชามติ ซึ่งต้องตกลงกันให้เข้าใจก่อน ไม่เช่นนั้น จะเกิดปัญหาในสภา ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือว่าจะแก้ในรูปแบบใด” นายวิษณุ กล่าว
เผยรัฐบาลมีธงในใจอยู่แล้ว
นายวิษณุ ยังระบุว่า นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็น ต้องยึดข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ ชุดของนายพีระพันธุ์ทั้งหมด นายกฯ เพียงอยากทราบว่าจะแก้ในประเด็นอะไรบ้าง แต่หากถามใจรัฐบาล มีธงอยู่แล้วว่าจะแก้อะไร เพราะเมื่อบริหารงานมาตั้งแต่ปี 60 ก็พบปัญหา พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นปัญหาตรงกัน โดยเฉพาะ ม.144 เพราะไปเปลี่ยนอำนาจ ส.ส.ในการพิจารณางบประมาณ ซึ่งเชื่อว่าหากจะแก้มาตรานี้ก็จะมีเสียงเห็นชอบอย่างท่วมท้น
ยัน ไม่เคยห้ามแต่งตั้งส.ส.ร.
เมื่อถามว่าการตั้งสสร.นั่นหมายถึงการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญหมวด15ไม่ได้พูดถึง สสร. ดังนั้น การตั้ง สสร.เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ คือ เท่ากับไปแก้ ม.256ในหมวด15แต่หากมีการแก้แค่บทเฉพาะกาลก็ไม่ต้องนำไปสู่การทำประชามติ พร้อม ยังยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยพูดว่าไม่ต้องการให้มีการตั้ง สสร.
ไม่คิดตั้งคณะทำงานถกแก้รธน.
เมื่อถามว่ารัฐบาลจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่ายังไม่ได้คิด เพราะยังไม่รู้จะรับมือในเรื่องใด ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการรับฟัง และใช้ความเห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลเป็นหลัก คิดว่าจะมีการพิจารณากันในสมัยประชุมหน้า เพราะสมัยประชุมนี้เหลือระยะเวลาอีก 1 เดือน ซึ่งเป็นการประชุมร่วม และต้องใช้เวลาในการพิจารณางบประมาณและอีกหลายเรื่อง
พปชร.พร้อมแก้รธน.รอสรุปกมธ.
ที่รัฐสภา น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงข้อเรียกร้องของนิสิต นักศึกษาให้มีการแก้ไข รธน.2560ว่า พปชร.ยืนยันว่า สิ่งใดที่ทำแล้วจะเกิดประโยชน์กับประชาชนเราพร้อมมุ่งมั่นดำเนินการ ซึ่งการแก้ไข รธน. ต้องรอรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560สภาผู้แทนราษฎร เมื่อรายงานดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว พรรคจึงจะนำหารือว่าแนวทางการแก้ไขจะเป็นการแก้แบบรายมาตราหรือแก้ไขทั้งฉบับโดยให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)และจะต้องนำรายงานของคณะกมธ.ฯหารือกับคณะกรรมการประสานสานงานพรรคร่วมรัฐบาลด้วย เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อถามถึงจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐต่อข้อเรียกร้องให้มีการยกเลิก ส.ว. น.ส.พัชรินทร์ กล่าวว่า ยังไม่มีหารือเรื่องนี้ แต่เชื่อว่า ส.ว.ก็ทำหน้าที่ไปตามกลไกอยู่แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี