คนส.หวด‘เอนก’หมดศรัทธาประชาธิปไตย ยื่น3ข้อปกป้องเสรีภาพทางวิชาการอาจารย์-นศ.
18 สิงหาคม 2563 เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึง ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เรียกร้องให้รับประกันสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพทางวิชาการของบุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แม้ว่าตัวของ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก จะเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าหมดศรัทธาในประชาธิปไตยแล้วก็ตาม ดังนี้
จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เรื่อง ขอให้ปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความเห็นของอาจารย์ นิสิตนักศึกษา และบุคลากร
หลังจากที่เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ได้ออกแถลงการณ์ในวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนและปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการการแสดงออกของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน และมีอาจารย์และนักวิชาการทั่วประเทศร่วมลงชื่อเบื้องต้นจำนวน 353 คนนั้น คนส. ได้รับแจ้งจากเครือข่ายคณาจารย์จากหลายมหาวิทยาลัยและจาก ‘ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ ว่ามีอาจารย์หลายท่านถูกผู้บริหารข่มขู่คุกคามไม่ให้ร่วมลงชื่อ และกระทั่งกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งบริหาร คนส. ขอให้กำลังใจและยืนเคียงข้างคณาจารย์ผู้แสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมในบรรยากาศที่หดหู่เช่นนี้ พร้อมทั้งขอประณามการกระทำของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเหล่านั้น
การกดดันหรือกระทั่งข่มขู่คุกคามคณาจารย์ดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับข้อเท็จจริงที่น่าตระหนกและน่าละอายอย่างยิ่งว่า ตาม งดัชนีเสรีภาพทางวิชาการ’ (Academic Freedom Index) ในปี 2563 มหาวิทยาลัยไทยมีสถานะย่ำแย่อยู่ในกลุ่มที่ตกต่ำที่สุดในโลกร่วมกับมหาวิทยาลัยในอีก 15 ประเทศ เช่น คิวบา ซีเรีย ซิมบับเว และเกาหลีเหนือ ‘ดัชนีเสรีภาพทางวิชาการ’ นี้ไม่ได้วัดเฉพาะการผลิตผลงานวิชาการ หากแต่ยังครอบคลุมเสรีภาพในการแสดงออกทางวัฒนธรรมและการเมืองด้วย
ทว่าต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม 2563 นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กลับเรียกผู้บริหารมหาวิทยาลัยเข้าพบภายหลังจากเข้ารับตำแหน่ง 1 สัปดาห์ เพื่อกำชับให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเข้มงวดกับการชุมนุมของนิสิตนักศึกษารวมทั้งกำหนดว่าอาจารย์ควรอบรมสั่งสอนนิสิตนักศึกษาอย่างไร ซึ่งล้วนแล้วแต่ขัดกับหลักสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นในระบอบประชาธิปไตย รวมถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและการเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อหาคำตอบให้กับสังคม
ในห้วงเวลาที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา กำลังตื่นตัวในการแสดงความเห็นและเสนอแนะทางออกให้กับสังคม และเพื่อยกระดับสถานะของมหาวิทยาลัยไทยให้ทัดเทียมมหาวิทยาลัยโลก คนส. จึงเรียกร้องต่อนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดังนี้
1) ต้องให้การรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของอาจารย์ นิสิต นักศึกษา และบุคลากรตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแสดงออกอย่างมีเหตุมีผล ตามครรลองของกฎหมาย พันธกิจของมหาวิทยาลัยไม่ใช่เพียงการผลิตบัณฑิตและผลงานวิชาการ หากแต่ยังต้องปกป้องและส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองและวัฒนธรรม อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและเป็นรากฐานของสังคมประชาธิปไตย
2) ต้องให้หลักประกันว่าอาจารย์และคณะหรือวิทยาลัยต่างๆ จะมีอิสระในการกำหนดเนื้อหาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนดังที่เป็นมา กระทรวง อว. จะไม่ลิดรอนอิสระทางวิชาการด้วยการกดดันหรือสอดใส่อคติหรือค่านิยมทางการเมืองเฉพาะกลุ่ม เฉพาะตน เข้ามาเผยแพร่ในหลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ตามหลักสากลของการให้อิสระทางวิชาการของมหาวิทยาลัย
3) ต้องให้ความเชื่อมั่นต่อประชาคมวิชาการและประชาชนว่าจะยึดมั่นต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะแม้ท่านได้แสดงท่าทีต่อสาธารณะว่าได้หมดความนิยมต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้วและหันไปให้ความนิยมต่อผู้นำเผด็จการมากกว่า ทว่า คนส. และประชาคมวิชาการก็ยังหวังว่าท่านจะไม่นำทัศนะทางการเมืองส่วนตัวนี้ไปลิดรอนเสรีภาพการแสดงออกของอาจารย์ นิสิต นักศึกษา และบุคลากรในมหาวิทยาลัย
อนึ่ง ด้วยความที่ท่านเคยได้รับการบ่มเพาะจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก อีกทั้งยังเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมาก่อน คนส. เชื่อว่าท่านย่อมตระหนักดีว่า เสรีภาพการแสดงออกบนข้อเท็จจริงอย่างมีเหตุมีผลภายใต้กรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญคือรากฐานสำคัญของความก้าวหน้าทางวิชาการและสันติธรรมของสังคม
ซึ่งสาเหตุที่ตอนหนึ่งในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวมีการระบุว่า ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก หมดความนิยมต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คาดว่ามาจากการกล่าวในงานเสวนาปฏิรูปประเทศ เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2561 ณ จ.เชียงใหม่ ว่า ตอนที่ตนมีส่วนร่วมอยู่บ้างในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้น ตนคิดว่า ถ้ารู้ว่าประชาธิปไตยจะเป็นแบบนี้ ตนปล่อยให้จอมพลถนอม กิตติขจร ปกครองต่อไปดีกว่า ถึงแม้ว่าจะมีอะไรไม่ดี แต่คิดว่าความเลวร้ายของระบบเลือกตั้งที่เราได้มามันเลวร้ายกว่าเสียอีก
สำหรับ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นั้น เคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่ของนิสิต-นักศึกษาทั้ง 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเหตุการณ์หลังนี้ทำให้ต้องหนีเข้าป่านานถึง 4 ปี กระทั่งความตึงเครียดทางการเมืองคลี่คลายลงจึงได้ออกจากป่ากลับมาศึกษาต่อโดยเปลี่ยนจากคณะแพทยศาสตร์เป็นคณะรัฐศาสตร์ ส่วนผลงานทางวิชาการที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างนั้นคือทฤษฎี “2 นคราประชาธิปไตย” ว่าด้วยความขัดแย้งทางการเมืองของประชาชน 2 กลุ่มที่มีมุมมองไม่เหมือนกัน โดยขณะนั้นหมายถึงคนชนบทตั้งรัฐบาล ส่วนคนเมืองล้มรัฐบาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี