‘ดร.อาทิตย์’แชร์บทความจุดอ่อน-แข็งประเทศไทย ชำแหละ‘รัฐศาสตร์มาร’ผลักปชช.‘โง่ เลว จน เจ็บ’
13 กันยายน 2563 ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้...
เมืองไทยเห็นแต่ด่ากันว่า “หนักแผ่นดิน”
ไม่รู้เหรอว่า ทุกคนที่มีน้ำหนัก “หนักแผ่นดิน” ด้วยกันทั้งนั้น
ไม่คิดเอาความหนักแผ่นดินของทุกคน มาช่วยกันสร้างสรรค์ชาติบ้านเมืองของเราที่สวรรค์ประทานมาให้อย่างวิเศษสุดอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นหรือ แทนที่จะชี้นิ้วด่าและทำลายล้างแต่คนอื่น
ที่แชร์ข้อมูลนี้ ไม่ได้มุ่งหวังที่ตะตำหนิใคร แต่แชร์เพื่อให้ได้อ่านกันและช่วยกันหาทางแก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ให้ระบบการศึกษา การปกครอง การบริหาร การบังคับใช้กฎหมาย และศักยภาพของทุกคนดีขึ้น เพื่อลดจุดอ่อน เสริมแรงจุดแข็งให้กับประเทศ
“#สู้ก็อ่านไม่สู้ก็ผ่านไป
....อยากให้อ่านให้จบทุกๆข้อความเขียนมา
ถูกต้องทุกประการ จริงทุกเรื่อง
ประเทศนี้อุดมไปด้วยมือใครยาว สาวได้สาวเอา!!
#ผมว่าคนไทยน่าอ่าน แต่ “ดันไม่อ่าน”
#ใครเขียนไม่รู้ แต่ #แต่อ่านแล้วต้องพิจารณา #ว่าเขาเขียนวิเคราะห์ไว้ถูกไหม
อยากให้อ่าน เพื่อให้คนไทย ได้รู้จักตัวตน และรู้จักจุดอ่อนจุดแข็งของประเทศไทย
คนที่รักประยุทธควรอ่าน
คนที่เกลียดประยุทธก็ต้องอ่าน
คนที่รักทักษิณยิ่งควรอ่าน
คนที่เกลียดทักษิณยิ่งต้องอ่านให้มาก
เพราะทุกคน คือ คนไทยที่จะเป็นกำลังสำคัญ ในการช่วยแก้ไขวิกฤติบ้านเมือง ที่นักการเมืองชั่ว ข้าราชการเลวได้ทำให้ขาติเกือบหายนะ แลหายนะจะเกิดแน่ ถ้าคนไทยไม่รู้ดีรู้ชั่ว เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ จนลืมความถูกต้อง ชอบธรรม ทุจริต โกงกินอย่างเมามันกันไม่หยุดหย่อน
_______________________
ทูตประเทศแถบสแกนดิเนเวีย , นอร์เวย์ , สวีเดน , ฟินแลนด์ , เดนมาร์ก วิเคราะห์ให้ฟังว่า จุดแข็ง-จุดอ่อนของประเทศไทย และบทสรุปที่น่าคิด
**จุดแข็งของประเทศไทย **
ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ๆดีที่สุดในทุกๆ ด้าน คือ
1.ที่ตั้ง:
จะว่าอยู่ใจกลางโลกก็ว่าได้ เพราะรอบข้างมีแต่ประเทศที่มีประชากรมาก เช่น อินเดีย 1,200 ล้านคน จีน 1,400 ล้านคน ญี่ปุ่น 100 ล้าน อินโดนีเซีย 400 ล้านคน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลี ล้วนแต่ 100 ล้านคน >> ซึ่งหมายถึงตลาดการค้า ตลาดอาหารและยาสมุนไพร ที่ใหญ่มหาศาลยิ่ง
2.มีสภาพพื้นที่เป็นแหลม ยื่นลงไปในทะเลระหว่างสองมหาสมุทร คือ มหาสมุทรอินเดีย และมหาแปซิฟิก เป็นทั้งแหล่งอาหาร ออกเรือหาปลาได้ถึงสองมหาสมุทร ทั้งจะติดต่อค้าขายกับทุกประเทศ ก็สะดวกยิ่งนัก
3.บนผืนแผ่นดิน ก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่หลากหลาย มีป่าไม้ แหล่งน้ำ กุ้งหอย ปู ปลา ทั้งในน้ำจืด และในทะเล ทุกพื้นที่ในป่า ในบ้าน ในสวน เต็มไปด้วยพืชอาหาร และพืชสมุนไพรมากมายเหลือเกิน เป็นทั้งครัว และคลังยาสมุนไพรของโลกไปพร้อมกันได้เลยทีเดียว
4.ใต้ผืนดินก็มีแร่ธาตุนานาชนิด มีแหล่งน้ำมันดิบ และแก๊สธรรมชาติ มากมายมหาศาลยิ่งนัก มากกว่าประเทศกลุ่มโอเป็กหลายประเทศเสียด้วยซ้ำไป
5.เรามีภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพรที่สืบทอดจากบรรพชนมากมายเหลือเกิน ที่สามารถนำมาวิจัยพัฒนาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพ เป็นยาสมุนไพรที่มีมาตรฐานในการรักษาโรคได้ไม่แพ้ยาเคมีจากต่างประเทศ สามารถส่งเป็นสินค้าออกไปขายทั่วโลกได้ สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของชาติได้อย่างดี
6.เรามีธรรมชาติที่สวยงาม มีหาดทรายยาวสองฝั่งทะเล มีน้ำตก มีถ้ำ เพิงผา ป่าไม้ ภูเขา อ่าว แหลม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีมากมาย
7.ตั้งอยู่ในเขตร้อนที่แดดจัด สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้อย่างไม่ต้องกลัวหมด มีลมบก ลมทะเล ที่สามารถแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ไม่รู้สิ้น
8.ตั้งอยู่ในเขตที่ไม่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติที่รุนแรง ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว ไม่มีภูเขาไฟที่คุกรุ่น ไม่มีลมพายุที่รุนแรง เช่น ทอร์นาโด หรือใต้ฝุ่น
9.เท่านั้นยังไม่พอ เรายังมีพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่สมบูรณ์ ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดอีกด้วย
10.เรามีคนไทยที่จิตใจดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจ มีความฉลาด เรียนรู้เร็ว สามารถพัฒนาได้ง่าย
ด้วยจุดแข็งทั้ง 10 ข้อดังที่กล่าวมาดินแดนไทยถือเป็นดินแดนสวรรค์บนดินก็ว่าได้ ใครก็ตามที่ได้เกิดในประเทศนี้ ถือได้ว่าโชคดี ไม่ต่างจากได้เกิดบนสวรรค์
คนไทยส่วนใหญ่ควรจะมีความสุขที่สุดในโลก มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไขได้ป่วย มีฐานะมั่งคั่ง รำรวย กันถ้วนหน้า
แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม
จุดอ่อน ของประเทศไทย
มีคนไทยเพียงไม่กี่ตระกูลที่เป็น
1.ขุนทหาร
2.ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
3.นักการเมืองใหญ่
4.นายทุนระดับชาติเท่านั้น
ที่ร่ำรวย ที่เสพสุขอยู่บนกองทุกข์ของประชาชนอย่างล้นเหลือ ราวกับเทพยดาเดินดินก็ไม่ปาน
แต่คนส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในขุมนรกของความยากจน ที่นับวันพวกเขายิ่งจน ยิ่งเป็นหนี้พอกพูนรุนแรง
ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ป่าไม้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ทำเกษตร ในแม่น้ำลำธารเต็มไปด้วยสารพิษทางการเกษตรตกค้าง สัตว์น้ำลดลงแทบไม่เหลือ เนื่องจากสารพิษปนเปื้อนในน้ำ ทำให้การขยายพันธุ์สัตว์น้ำลดลงมาก ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติของคนไทยลดลงอย่างน่าใจหาย คนต้องซื้ออาหารจากตลาดในราคาแพงแทบทั้งหมด
มีคนเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นโรคมะเร็งมากเป็นอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากรับสารเคมี ที่ปนเปื้อนในพืชผัก ในอาหารและน้ำ เข้าสู่ร่างกายทุกวัน เป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีโรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคอ้วน ฯลฯ
เนื่องจากขาดสภาพแวดล้อม และการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม จนคนป่วยล้นทุกโรงพยาบาล ทำให้คนไทยจำนวนมากทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย
ทั้งไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน คนชั่วไม่เกรงกลัวกฎหมาย มียาเสพติด มีอาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง คนธรรมดาอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย
การทุจริตคอรัปชั่น ยิ่งเพิ่มทวีทุกระดับ ยักษ์ใหญ่โกงใหญ่ ยักษ์เล็กโกงเล็กๆ โกงตามที่มีแรงจะโกง บ้านเมืองเข้าสู่ยุค “มือใครยาว สาวได้ สาวเอา” อย่างแท้จริง
คือ ชนชั้นนำของไทยตั้งแต่ปี 2500 ได้ใช้หลัก “รัฐศาสตร์มาร” ในการปกครองบ้านเมือง คือ การปกครองประเทศแบบ ฉ้อฉล หลอกลวง “คดในข้อ งอในกระดูก”
“มุ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอ”
ทำให้ประชาชน ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์
“โง่-เลว-จน-เจ็บ”
เพื่อให้ปกครองอย่างเอารัด เอาเปรียบ คดโกง ได้สะดวกง่ายดาย
** ข้อคิดที่น่าวิเคราะห์ ของสังคมไทย **
ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกๆ ด้าน , ปัญหาความยากจน , หนี้สิน แม้แต่ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ แม้จะดูว่าเกิดตามธรรมชาติ แต่แท้จริงปัญหาพวกนี้ล้วนแล้วแต่เติบโต และขยายใหญ่ ลุกลาม ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากโครงสร้างการปกครองที่ชั่วร้าย ที่รวบอำนาจไว้ที่คนไม่กี่คน ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจที่ดีพอ ทำให้ผู้ปกครองทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้
ผู้ปกครองกลายเป็นตัวขัดขวางการแก้ไขปัญหาทุกปัญหา เร่งให้มีปัญหา และปัญหาขยายใหญ่ขึ้นมากขึ้นทั้งสิ้น
วิธีการทำให้ประชาชน “โง่”
โดยจัดการที่หลักสูตรการศึกษาทำให้เด็กไม่รักการอ่าน ไม่ชอบการคิดหาเหตุผล ไม่สอนปรัชญาประชาธิปไตย ไม่สอนประวัติศาสตร์ วีรชนที่เป็นสามัญชนไม่สอนให้รู้จักการเอาตัวรอดในระบบทุนนิยม ไม่สอนให้รู้จักการรวมตัวกันต่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจในรูปกลุ่ม หรือสหกรณ์ ฯลฯ
วิธีการทำให้ประชาชน “เลว”
เรื่องนี้เน้นที่ปัญญาชน คนชั้นกลาง โดยจัดการที่การศึกษา จะไม่ฝึกการมีวินัย ไม่ปลูกฝังความรู้ทางศาสนาอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไม่คิด พัฒนาจิตใจตนเอง เพื่อความเป็นมนุษย์ ไม่ปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติ ให้ปัญญาชน-กีดกันการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษาปัญญาชน เพื่อทำให้ปัญญาชน เห็นแก่ตัวให้มากที่สุด เพื่อให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ตัวใคร ตัวมัน ไม่เห็นใจคนยากคนจน ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ ที่จะต้องเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ #ด้อยกว่า
ทำได้ดังนี้ ทางก็สะดวก ไม่มีใครขัดขวางการทุจริต การทำลายชาติของชนชั้นบน
แย่ถึงขนาดว่าถ้าใครพูดถึงการเมือง พูดถึงปัญหาชาติบ้านเมือง ชนชั้นกลาง ส่วนหนึ่งก็พากันต่อต้าน ไม่ให้พูด ซึ่งเท่ากับ “ปกป้องการคอรัปชั่น ปกป้องคนทำลายชาติกันเลยทีเดียว แล้วจะไม่ให้ประเทศนี้ แย่ที่สุดในโลก ได้อย่างไร ?
วิธีการทำให้ประชาชน “จน”
แค่ออกกฎหมายกีดกัน สร้างความเหลื่อมล้ำ ในการประกอบอาชีพ เช่น กฎหมายการเงินการธนาคาร การผลิตสุรา และอื่นๆที่ไม่เท่าเทียม ออกนโยบายส่งเสริมด้านอุตสาหกรรม เลิกการสนับสนุนด้านเกษตร งดเงินสนับสนุนวิทยาลัยเกษตรในต่างจังหวัด กลับไปสนับสนุนวิทยาลัยการกีฬาแทน ซึ่งไม่ได้พัฒนาอาชีพอะไร ไม่สนับสนุนการวิจัย ข้าว ยาง อ้อย พืชสวน ฯลฯ ปล่อยให้มีการบุกรุก ทำลายป่าไม้ แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และสมุนไพร
สนับสนุนปุ๋ย เคมีฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง เพื่อทำลายสัตว์น้ำในธรรมชาติ ทำลายดิน ทำให้น้ำปนเปื้อนสารพิษ
แค่นี้ เกษตรกรก็ล้าหลังแข่งขันไม่ได้ ตกเป็นเบี้ยล่างนายทุน ยา ปุ๋ย พันธุ์พืช-สัตว์ เครื่องจักรกลการเกษตร ฯลฯ
แค่นี้เกษตรกร ก็ต้องทิ้งลูก เมีย ไร่ นา ไปหางานทำ เป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ
การอ้างส่งเสริมอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว จงใจละเลยการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่นั้น ชั่วร้ายเกินที่จะกล่าว
อย่าลืมว่าคนสามัญชน 70 กว่าล้านคนของไทย ไม่มีใครมีศักยภาพพอที่จะครอบครองเทคโนโลยีสูง หรือเป็นเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม ที่ใช้เทคโนโลยีสูงได้ อย่างดีก็เป็นได้แต่ลูกจ้าง เป็นทาสนายทุน ประชาชนจะมีรายได้สูงตามที่โม้ว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร?
วิธีการทำให้ประชาชน “เจ็บ”
แค่เว้นภาษีนำเข้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า เพียงอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ซื้อของเหล่านี้ได้ถูก ทั้งที่จริงถ้านำธรรมชาติมาคิดเป็นต้นทุนแล้ว มันจะแพงแสนแพงก็ตาม
นอกจากจะทำให้นายทุนยาพิษรวย จนสะดือปลิ้นแล้ว ยาเหล่านี้ยังไปปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศ นอกจากทำให้ปลา สัตว์น้ำในธรรมชาติแทบสูญพันธุ์แล้ว ยังทำให้คนไทยทุกคนได้รับยาเหล่านี้ผ่านอาหาร สัมผัสโดยตรง ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง โรคต่างๆ สารพัด ทำให้ธุรกิจค้าความตายเหล่านี้ เติบโตสูบเงินคนไทยไปไม่ต่ำกว่าปีละเก้าแสนล้านบาททีเดียว
หลายคนอาจไม่ทราบว่าสารพิษเคมีเกษตรนั้น ปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม
แต่ จุลลินทรีย์ชีวภาพ กำจัดแมลงที่ปลอดภัย และคนไทยทำได้เอง กลับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (นีคือความคดในข้อฯของกฎหมายที่ออก โดยคนชั้นสูง ครับ)
เพื่อกีดกันด้านการค้า และเพื่อชะลอเทคโนโลยีอินทรีย์ที่ปลอดภัยและผลิตได้เองอย่างชะงัดนัก
บทสรุป สั้นๆ <<
ปัจจุบัน ประเทศของเรากำลังดิ่งลงและแย่ที่สุดเพราะ
1.ชนชั้นนำไทย ที่พยายามทำลายไทย เพื่อประโยชน์ของตน และโคตรตระกูลตนฝ่ายเดียว
2.ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เห็นแก่ความสุขสงบของตน มองการต่อต้านความอยุติธรรมของการปกครองเป็นความวุ่นวาย และพากันต่อต้านการต่อสู้ของประชาชน !!!
รอวันล่มสลาย !!!
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3254576571298822&id=100002395320303
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี