“ส.ว.” เริ่มต้นพิจารณางบฯปี64 ห่วงขาดดุล-ผูกพันสูงต่อเนื่อง แนะกระชับองค์กร ลดข้าราชการ-รายจ่ายประจำ
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงินไม่เกิน 3.3 ล้านบาท โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อที่ประชุมวุฒิสภา
โดยนายสุพัฒนพงษ์ ชี้แจงหลักการว่า คือการนำยุทธศาสตร์ชาติ แผนเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมแห่งชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ มาดำเนินการเชื่อมโยงให้การดำเนินงานของรัฐบาลสำเร็จเป็นรูปธรรม โดยสอดคล้องและสนับสนุนเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและไม่ซ้ำซ้อน ให้ความสำคัญกับการดำเนินภารกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับประชาชน ส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดบริการด้านคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำทางการคลัง การใช้จ่ายและการจัดเก็บรายได้, และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณให้ครอบคลุม โดยให้หน่วยรับงบประมาณที่มีรายได้นอกนำเงินมาใช้ได้ก่อนนำมาใช้ดำเนินการ และนำงบประมาณที่มีอยู่มาใช้กับนโยบายที่จำเป็นและเร่งด่วนก่อนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ
ขณะที่นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 โดยแบ่งผลการพิจารณาออกเป็น 4 ส่วนได้แก่ โครงสร้างเศรษฐกิจและความท้าทาย เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิดทำให้เศรษฐกิจในประเทศหดตัว -12% และในปีหน้าจะฟื้นขึ้น 4-5% ความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศคือ กับดักรายได้ปานกลาง ที่รัฐบาลต้องกำหนดนโยบายเพิ่มรายได้ ขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจดับไปหลายตัว รัฐบาลต้องหาเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเติบโตที่ไม่สมดุลเนื่องจากที่ผ่านมาพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจจากภายนอกประเทศ ความยกจนและความเหลื่อมล้ำสังคมผู้สูงอายุ ภาระการคลัง
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ทาง กมธ. มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะว่า รายจ่ายประจำภาครัฐมีจำนวนมาก โดยเฉพาะค่าจ้างบุคลากร รัฐบาลต้องกระชับองค์กร และใช้เทคโนโลยีกับการจ้างคนนอกเข้ามาทดแทน รายจ่ายลงทุน รัฐบาลควรพิจารณาแหล่งลงทุนอื่นไปควบคู่กับงบประมาณรายจ่ายเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง รายจ่ายชำระต้นเงินกู้ ควรตั้งการชำระเงินกู้ 3.5 % ของงบประมาณแต่ละปีเพื่อไม่ให้เป็นภาระดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามการกำหนดรายการใช้จ่ายงบประมาณส่วนใหญ่มีเพียงกรอบไว้ แต่มีการกำหนดวัตถุประสงค์และการประเมินยาก องค์กรที่มีเงินอุดหนุนนอกงบประมาณควรชี้แจงให้ชัดเจนเพื่อสามารถรีดไขมันส่วนนี้มาใช้ได้ การจัดสรรงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินอุดหนุนจากรัฐเพิ่มขึ้น แต่รายได้จากการจัดเก็บภาษีลดลง ทำให้ อปท. พึ่งพาตนเองไม่ได้ ดังนั้นต้องเพิ่มช่องท่างการหารายได้ให้อิสระมากขึ้น กระจายอำนาจ ไม่ใช่กระจายแต่งาน แต่ต้องกระจายคนและงบ ผ่อนคลายข้อจำกัด ควรดึงคนวัยเกษียณที่ยังมีพลังเข้ามาทำงานเพื่อให้เข้ากับสังคมสูงวัย คนชราไม่เป็นภาระของภาครัฐ, ส่งเสริมการให้ความรู้และเทคโนโลยีกับประชาชน และส่งเสริมการทำเกษตรแบบ Zoning ส่วนปัจจัยความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ คือ สงครามการค้า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ภัยธรรมชาติ การควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณให้โปร่งใส ต้องลำดับความสำคัญ ขณะเดียวกันประเทศมีงบผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ และการตั้งงบประมาณขาดดุลก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี