ศาลฎีกานักการเมืองสั่งคุกอ่วม"เสี่ยไก่-วัฒนา"99ปี "เสี่ยเปี๋ยง-กี้ร์ อริสมันต์"เรียกรับเงินโครงการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรของการเคหะ แถมใช้เงินคืนอ้วก ก่อนที่ศาลจะให้"เสี่ยไก่"ประกัน วงเงิน10ล้าน-ห้ามออกนอก ยังมั่นใจอุทธรณ์คดีต่อ
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 24 กันยายน 2563 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.42/2561 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อายุ 62 ปี อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) , นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตกรรมการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการปี 2548–2549, นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน), นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือกี้ร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย และกลุ่มเอกชน รวม 14 ราย เป็นจำเลย
ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 157, ฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91
คดีนี้ศาลฎีกาฯเริ่มพิจารณาไต่สวนพยาน ตั้งแต่ปี 2562 เรื่อยมาจนเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 26 ส.ค.2563 ขณะที่จำเลยที่ 6-7, 10-12 หลบหนีคดี ศาลสั่งออกหมายจับไว้แล้ว พวกจำเลยให้การปฏิเสธ
องค์คณะพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่านายวัฒนา จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่ง รมว.พัฒนาสังคมฯ (พม.) มีหน้าที่รับผิดชอบกำกับกิจการการเคหะแห่งชาติ ดูแลผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ซึ่งมีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์หรือนโยบายโครงการบ้านเอื้ออาทรใหม่ โดยแก้ไขการยื่นข้อเสนอทำบ้านเอื้ออาทร ให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องยื่นหลักประกัน และให้กคช.มีมติอนุมัติโครงการ ซึ่งพยานโจทก์มีความเห็นต่างกันถึงข้อดีและข้อเสียเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ใหม่
การที่จำเลยที่ 1 มีบันทึกแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ก็เกี่ยวเนื่องกับผู้ปกระกอบการต้องปฏิบัติ ลำพังเหตุเพียงเท่านั้นยังไม่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 157 แม้จะไม่มีการเรียกรับ แต่ก็ไม่ได้เป็นผลโดยตรง เนื่องจากผู้ประกอบการมีคุณสมบัติตามประกาศที่แก้ไขใหม่อยู่แล้ว จึงยังบ่งชี้ไม่ได้ว่าจำเลยที่1ใช้อำนาจแทรกแซงคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ
ทั้งนี้ ยังมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลมอบให้หรือหามาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 หรือไม่ องค์คณะเห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่ามีความเกี่ยวข้องแค่นโยบายเท่านั้น แต่ลักษณะการกระทำผิดคดีนี้เป็นไปไม่ได้ที่นายอภิชาติ หนือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 4 และน.ส.รุ่งเรือง จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะกระทำได้เอง โดยเฉพาะจำเลยที่ 4 ไม่อาจแสดงตนว่า เป็นที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของจำเลยที่ 1 ได้เอง และที่นายพรพรหม จำเลยที่ 3 จัดส่งเอกสารการประชุมให้น.ส.รัตนา จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 จะส่งเองได้ อีกทั้งได้ความจากพยานว่า จำเลยที่ 1 สั่งจำเลยที่ 3 ให้จัดส่งเอกสาร แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ติดตามสนใจโครงการบ้านเอื้ออาทรอย่างใกล้ชิด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เห็นเรื่องการเรียกรับเงิน การที่จำเลยที่ 1 ปล่อยให้จำเลยที่ 4 แสดงตนอย่างไม่เป็นทางการ และอ้างว่าผู้ประกอบการไปติดต่อจ่ายเงินกับจำเลยที่ 4 เอง เพื่อให้ตนพ้นผิดหาได้ไม่ พฤติการณ์จำเลยที่ 1 จึงเป็นการเอื้ออำนวยให้จำเลยที่ 4 โดยอาศัยอำนาจของจำเลยที่ 1 แสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้จำเลยที่ 5-7 เป็นผู้ติดตามทวงเงินผู้ประกอบการ อีกทั้งพฤติการณ์บ่งชี้ว่าเป็นการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการจ่ายเงินให้จำเลยที่ 4 แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1เข้าไปมีส่วนเรียกรับทรัพย์ผู้ประกอบการแต่ละรายล่วงหน้า เพื่อตอบแทนการอนุมัติโครงการ
ส่วนการเรียกรับและการเรียกเงินโดยตรงแม้ทางไต่สวนจะเชื่อมโยงกับจำเลยที่ 1 จะเรียกเงินเองก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เนื่องจากหลักฐานชี้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนรู้เห็นเป็นใจให้มีการนำเงินมามอบให้ ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 148 จึงไม่จำเป็นต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายอญามาตรา 157
ส่วนจำเลยที่ 4 มีผู้ประกอบการเบิกความว่า จำเลยที่ 4 แนะนำตัวเป็นที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของจำเลยที่ 1 มีความเชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษาโครงการอสังหาริมทรัพย์ สามารถช่วยดำเนินการให้อนุมัติก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรได้ เมื่อผู้ประกอบการจ่ายเงินให้จำเลยที่ 4 ก็จะได้รับการอนุมัติก่อสร้างทุกราย แม้บางรายจะได้รับการอนุมัติหลังปิดโครงการไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่า มีการทำสัญญา ประกอบกับไม่มีผลงานแสดงให้เห็นสมเหตุสมผลกับเงินที่จ่ายให้จำเลยที่ 4 ถึง100 กว่าล้านบาท อีกทั้งผู้ประกอบการรายอื่นมีประสบการณ์ธุรกิจก่อสร้างมาก่อน ย่อมมีประสบการณ์มากกว่าจำเลยที่ 4 ที่มีความชำนาญเพียงการค้าข้าว และไม่มีธุรกิจก่อสร้างจริงจัง ถ้าจำเลยที่ 4 ไม่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีเหตุที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องว่าจ้างจำเลยที่ 4 เพียงรายเดียว ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 มีความชำนาญด้านการก่อสร้าง เงินที่จ่ายเป็นค่าที่ปรึกษาก็เป็นข้ออ้างให้ผู้ประกอบการสามารถลงบัญชีได้
ส่วนจำเลยที่ 5-7 ร่วมกันเปิดบัญชีเพื่อประสานงานและติดตามทวงเงินจากผู้ประกอบการ โดยเฉพาะจำเลยที่ 5 หากไม่รู้เห็นก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยที่ 4 จะให้เข้ามาทำงาน เพราะจะทำให้งานเสียหาย และเป็นการเปิดเผยแผนการให้คนนอก จากพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5-7 มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนงานให้สำเร็จ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 5-7ร่วมกับจำเลยที่ 4 กระทำผิดด้วบ
สำหรับนายอริสมันต์ จำเลยที่ 10 ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุกฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด 1 กระทง จึงถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ซึ่งองค์คณะเสียงข้างมากเห็นว่า แม้จะไม่ปรากฏว่าผู้หญิงที่รับเงิน 40 ล้านบาท เป็นใครและมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 10 อย่างไร แต่คำเบิกความของพยานเป็นการซักถามถึงการจ่ายเงินด้วยความระมัดระวัง
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 10 เป็ยการยุยงส่งเสริมให้พยานตัดสินใจจ่ายเงิน 40 ล้านบาท เพื่อให้โครงการได้รับการอนุมัติ ประกอบกับเช็คที่จ่ายไปถึงจำเลยที่ 7-8 ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับขบวนการในคดีนี้ แม้ผู้กระทำผิดจะรู้ถึงความช่วยเหลือของจำเลยที่ 10 หรือไม่ก็ตาม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 10 ก็ถือเป็นการสนับสนุน
ส่วนของนายมานะ จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงยังไม่แน่ชัดว่า จำเลยที่ 2 มีการเรียกรับทรัพย์สินหรือรู้เห็นด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่น่ามีส่วนร่วม แค่เป็นเพียงการประสานให้จำเลยที่ 11 ยื่นเอกสารให้ทันเท่านั้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นเป็นใจสนับสนุนจำเลยที่ 1
สำหรับนายพรพรหม จำเลยที่ 3 เดิมเป็นข้าราชการ ที่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 ช่วยประสานงาน พยานไม่เห็นว่าจำเลยที่ 3 ทำงานนอกเหนือการประสานงานทั่วไป ส่วนกรณีที่ให้จัดส่งเอกสารตามที่จำเลยที่ 5 ร้องขอ ก็เป็นการประสานในกรอบหน้าที่ธุรการ ขณะที่มีพยานบอกเล่ากลับคำให้การ ทำให้คำให้การมีน้ำหนักลดน้อยลง ไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วย
ส่วนประเด็นของจำเลยที่ 9, 11-14 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 9, 11-14 เป็นฝ่ายที่ถูกข่มขืนใจให้นำเงินมามอบให้ ทั้งที่มีคุณสมบัติอยู่แล้วศาลเห็นว่า เป็นฝ่ายถูกจูงใจ ไม่ถือเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนในการทำความผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดเป็นตัวการ จำเลยที่ 9, 11-14 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุน
ศาลจึงพิพากษาว่า นายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ 1 มีความผิดฐาน ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 รวม 11 กระทง จำคุกกระทงละ 9 ปี รวมจำคุก 99 ปี แต่โทษจำคุกให้จำคุกสูงสุดได้ 50 ปี จำคุก นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยงเปี๋ยง จำเลยที่ 4 นักธุรกิจค้าข้าว รวม 11 กระทง กระทงละ 6 ปี รวม 66 ปี แต่ให้โทษจำคุกสูงสุดไว้ 50 ปี
น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง จำเลยที่ 5 ลูกน้องคนสนิทของเสี่ยเปี๋ยง จำคุก 4 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 20 ปี น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว จำเลยที่ 6 พนักงานบริษัท เพรสซิเด้นอะกริ เทรดดิ้ง จำกัด มีความผิด 11 กระทงๆ ละ 4 ปี รวมจำคุก 44 ปี น.ส.รุ่งเรือง คุณปัญญา จำเลยที่ 7 พนักงานบริษัทเพรซิเดนท์ฯ ความผิด 8 กระทง กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 32 ปี นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง จำเลยที่ 10 อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ให้จำคุก 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 8 บริษัท เพรซิเดนท์ อะ กริ เทรดดิ้ง จำกัด โดยมี นายปกรณ์ อัศวีนารักษ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน ปรับเงินกว่า 275,000 บาท
รวมทั้งให้นายวัฒนา จำเลยที่ 1 , นายอภิชาติ จำเลยที่ 4 , น.ส.กรองทอง จำเลยที่ 6 และ บริษัท เพรซิเดนท์ฯ จำเลยที่ 8 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1,323,006,750 บาท น.ส.รัตนา จำเลยที่ 5 จำนวน 763 ล้านบาทเศษ น.ส.รุ่งเรือง จำเลยที่ 7 จำนวน 1,056 ล้านบาท นายอริสมันต์ จำเลยที่ 10 จำนวน 40 ล้านบาท ทั้งนี้โทษปรับให้ดำเนินการชำระเงินภายใน 30 วัน หากไม่ดำเนินการจะยึดทรัพย์
พิพากษายกฟ้อง นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตบอร์ดการเคหะแห่งชาติ(กคช.)และอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการฯ จำเลยที่ 2 , นายพรพรหม วงศ์วิวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงินบริษัทปริญสิริจำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3 , บริษัทจิวเวอร์รี่อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด จำเลยที่ 9 , และบริษัท พาสทิญ่าไทย จำกัด จำเลยที่ 11 , บริษัท นามแฟทท์ คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 12, บริษัท พรินซิพเทค ไทย จำกัด จำเลยที่ 13 และ น.ส.สุภาวิดา คงสุข กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน บริษัท ไทยเฉนหยูฯจำเลยที่ 14 และให้ออกหมายจับน.ส.กรองทอง วงศ์แก้วจำเลยที่ 6 , นางสาวรุ่งเรือง ขุนปัญญา จำเลยที่ 7 และนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง จำเลยที่ 10 เพื่อนำตัวมารับโทษตามคำพิพากษา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยทั้ง 14 ราย ประกอบด้วย 1.นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมฯ , 2.นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตบอร์ด กคช. และอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการระหว่างวันที่ 9 ก.ย. 2548 - 19 ก.ย.2549 3.นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ อดีต ผอ.ฝ่ายการเงิน บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) 4.นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่ 5. น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง ลูกน้องคนสนิทเสี่ยเปี๋ยง 6. น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว พนักงาน บจก.เพรซิเดนท์อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด, 7.น.ส.รุ่งเรือง ขุนปัญญา พนักงาน บจก.เพรซิเดนท์ฯ, 8.บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด โดยนายปกรณ์ อัศวีนารักษ์ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน, 9.บริษัท ซิลเวอร์ อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท ไทย เฉน หยู อินเตอร์เนชั่นแนลคอนสตรัคชั่น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) โดยนางพิมพ์วรา รัชต์ธนโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน, 10.นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือกี้ร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย, 11.บริษัท พาสทิญ่าไทย จำกัด, 12.บริษัท นามแฟทท์ คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย, 13.บริษัท พรินซิพเทค ไทย จำกัด ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี