ปธ.ศาลฎีกาแนะแก้ปัญหาสถานการณ์การเมืองให้ทุกฝ่าย ใจเย็นๆ มีสติ หาคนกลางเจรจา ศาลต้องได้รับการตรวจสอบก่อน มีจุดเกาะเกี่ยวผู้แทนประชาชน ก.ต.-ก.บ.ศ.ต้องมีวาระ หนุนคลื่นลูกใหม่พัฒนา เตือนอย่าเป็นผู้พิพากษา24 ชั่วโมงเคารพผู้อาวุโส สร้างจริยธรรม การใช้สื่อโซเชียลของผู้พิพากษา อย่าใช้ว่าร้ายใส่กัน ลดช่องว่างกับประชาชนได้
เมื่อเวลา 13.45 น. วันที่ 29 ก.ย. ที่ห้องประชุมศาลฎีกา สนามหลวง นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา แถลงผลการดำเนินงานตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา ก่อนเกษียณหมดราชการภายใต้ชื่องาน “ความยุติธรรม ไม่มีวันหยุด” พร้อมถ่ายทอดผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพไปยังศาลยุติธรรมทั่วประเทศ
นายไสลเกษ ได้แถลงผลการดำเนินงานตามนโยบาย 5 ด้าน 1.ยกระดับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาและจำเลย โดยคำนึงถึงเหยื่ออาชญากรรม และความสงบสุขของสังคม ได้แก่ การพัฒนาระบบการปล่อยชั่วคราว โดยพิจารณาการประกันตัวในวันหยุด มากถึง 10,346 เรื่อง แบ่งเป็นคำร้องที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต 8,312 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 80.3 ให้โอกาสการปล่อยชั่วคราว ให้จำเลยทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับฯ จำนวน 10,482 คน คิดเป็นวันทำงาน 243,219 วัน เป็นการทำงานแทนค่าปรับ 121,609,500 บาท การพัฒนาแบบคำร้องใบเดียวที่ไม่ต้องเสนอหลักประกัน เป็นต้น
2.ยกระดับมาตรฐานการพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อให้ความยุติธรรมเป็นที่ประจักษ์ มุ่งเน้นการพัฒนาแบบประเมินตนเองฉบับศาลยุติธรรมไทย ตามแนวคิดของกรอบสากลเพื่อความเป็นเลิศทางการศาล (International Framework for Court Excellence) ของสมาคมระหว่างประเทศเพื่อความเป็นเลิศทางการศาล
3.นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการอำนวยความยุติธรรม การพิจารณาพิพากษาคดี และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยคำนึงถึงช่องทางอื่นที่สะดวกและประหยัดสำหรับประชาชนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ ได้แก่ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการช่วยสนับสนุนการพิจารณาคดีของศาล ทั้งในเรื่องการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความ การติดต่อกับประชาชน การให้ความรู้แก่ประชาชน และแจ้งสิทธิต่าง ๆ ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกคุมขังทราบ
ทั้งนี้ ประธานศาลฎีกาได้ออกระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาในคดีอาญาที่ศาลฎีกา โดยจัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพ พ.ศ.2563 และออกข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2563 เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการอำนวยความยุติธรรมให้มากขึ้นโดยมีสถิติการยื่นฟ้องคดีออนไลน์ ผ่านระบบ e-filing ของศาลยุติธรรมมากถึง 198,661 คดี ในช่วงเดือนม.ค.ถึงเดือนก ย.ที่ผ่านมา โดยอัตราการฟ้องคดีผ่านระบบออนไลน์ดังกล่าวสูงมากถึง ร้อยละ 250 ในช่วงเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์การการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกเดือน
4.เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการบริหารงานบุคคลด้วยการสร้างสมดุลระหว่างจริยธรรมและระบบอาวุโส และความรู้ความสามารถ เน้นย้ำให้บุคลากรศาลยุติธรรมทุกคนตระหนักถึงการทำหน้าที่ในฐานะผู้ให้บริการแก่ประชาชน และมีการดูแลบุคลากรให้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างระบบการตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้พิพากษาทุก 5 ปี
และ5.สนับสนุนบทบาทของศาลในการบังคับใช้กฎหมายที่ส่งเสริมรักษาสิ่งแวดล้อม และที่ไม่ก่อภาระหรือเป็นผลร้ายต่อประชาชนและสังคม มีการกำหนดแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการศาลยุติธรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการ “Green Court ศาลยุติธรรมยุคใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” โดยจัดทำทะเบียนต้นไม้ในเขตพื้นที่ศาลทั่วประเทศ จำนวน 9,664 ต้น และปลูกป่าหรือต้นไม้เพิ่มเติมในเขตพื้นที่ศาลยุติธรรมทั่วประเทศ จำนวน 5,106 ต้น รวมทั้งหมด 14,770 ต้น
นายไสลเกษ กล่าวช่วงท้ายด้วยความห่วงใยถึงอนาคตของศาล โดยเตือนศาลอย่าประมาท หลายคำถามที่มาสู่ศาลเราจะทำอะไรได้บ้าง ศาลต้องได้รับการตรวจสอบ เราต้องมีจุดเกาะเกี่ยวกับผู้แทนของประชาชน เพื่อลดข้อครหาศาลตรวจสอบไม่ได้ รวมถึงระบบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ควรถ่วงดุลกันระหว่างตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งและที่มาโดยตำแหน่ง และควรมีวาระที่แน่นอนชัดเจน ผู้พิพากษาควรมีการเปลี่ยนถ่ายเลือดโดยธรรมชาติ ถึงวาระต้องพัก ให้ท่านอื่นเข้ามา ลดการสร้างบารมีต่อเนื่อง ผู้พิพากษาทุกคนมีความรู้ความสามารถแทนกันได้ คลื่นลูกใหม่ไล่ลูกหลัง คือคลื่นพัฒนา เราไม่พ้นการตรวจสอบข้างนอก ต้องตรวจสอบปรับปรุงตัวเราเองก่อน
ประธานศาลฎีกา ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า เราหนีไม่พ้นโซเชียลมีเดีย ต้องสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ถึงเวลาบรรจุเรื่องการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีจริยธรรม ในประมวลจริยธรรมผู้พิพากษา ให้ใช้ด้วยความระมัดระวัง ให้เกียรติกัน เคารพผู้อาวุโส สร้างสรรค์ ไม่ทำลาย ไม่ให้ร้ายกัน ตนพูดจากความรู้สึกอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา เราเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นส่วนราชการที่ให้บริการประชาชน อย่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ตลอดเวลา อยู่บนบัลลังก์บังคับใช้กฎหมาย ลงจากบัลลังก์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐให้บริการประชาชน อย่าเป็นผู้พิพากษา 24 ชั่วโมง จะลดช่องว่างกับประชาชนได้
ต่อมานายไสลเกษ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองว่า จากประสบการณ์ที่ท่านเคยเป็นนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์และผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองมาก่อน อยากจะบอกอะไรกับน้อง ๆ นักศึกษาที่ออกมาประท้วงในช่วงนี้ ผมมองว่าก็ไม่ได้แตกต่างจากนักศึกษาในยุคนี้หรอก เพียงแต่บริบทของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ช่วงที่เป็นนักศึกษาก็รู้สึกว่าอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ สิ่งที่ท้าทาย เราต้องการเรียนรู้ หลายเรื่องที่เราไม่เคยเข้าใจ
สมัยตนเข้าเรียน ม.ธรรมศาสตร์ปี 2515 ในช่วงหลังเปลี่ยนแปลง 14 ต.ค.2516 นักศึกษามีความคิดทางสังคมเยอะ สมัยตนอ่านตำราทุกอย่าง ทั้งมาร์กซิสต์ เลนิน เหมา เยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งเราต้องการเรียนรู้ว่าจริง ๆ มันคืออะไร เพราะเราไม่รู้ไง ในที่สุดประสบการณ์ก็จะสอนเราเรื่อยๆว่า อันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่ ประสบการณ์การล่มสลายของประเทศคอมมิวนิสต์ และประเทศจีน ที่มีเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรม เช่น เด็กรังเกียจผู้ใหญ่ มองว่าพ่อแม่หรือผู้บุพการีล้าหลัง ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงสังคมแล้วก็ปฏิบัติกับผู้บุพการีหรือผู้ใหญ่ในแบบหนึ่ง ก็เรียนรู้ ในที่สุดการปฏิวัติวัฒนธรรมเกิดขึ้น
"ผู้หลักผู้ใหญ่กลุ่มอนุรักษ์นิยมถูกขัดขวางออกจากสังคม และแล้ววันเวลาก็พิสูจน์ว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนล้มเหลว เขาทำลายทรัพยากรผู้ใหญ่ ทำลายทรัพยากรของบ้านเมือง ไม่มีการเชื่อมต่อเปลี่ยนถ่ายอย่างสันติ แล้วต่อมากลุ่มคนที่ปฏิวัติวัฒนธรรมก็ถูกปฏิวัติวัฒนธรรมอีกครั้งหนึ่ง จนไม่มีที่ยืนในสังคม คิดว่าถ้าจะมาเทียบกับสังคมในขณะนี้ เราต้องสอน เราต้องให้โอกาสเยาวชนของเราให้เขาได้เรียนรู้ได้เข้าใจ สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่า ความก้าวร้าว ความรุนแรง ความไม่ให้เกียรติกันนี้แหละจะเป็นอันตรายต่อสังคม ทำอย่างไรจะทำให้การเปลี่ยนถ่ายจากรุ่นสู่รุ่น เป็นไปด้วยสันติวิธี ทุกคนมีความสุข รับได้ คนรุ่นเก่าต้องยอมรับคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ก็ต้องยอมเราคนรุ่นเก่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ยาก ตอนนี้ผมไม่มั่นใจว่าสถานการณ์สังคมไทย จุดนี้เกิดขึ้นหรือเปล่า อยากให้ทุกๆฝ่ายใจเย็น มีสติ มีคนกลางคอยเจรจา"นายไสลเกษ กล่าว
เมื่อถามว่า ถ้าแกนนำนักศึกษาต้องถูกดำเนิน ศาลต้องใช้กฎหมายเป็นหลัก แต่ตัวกฎหมายเองก็มีความยืดหยุ่นที่ศาลสามารถจะใช้ดุลยพินิจได้ นายไสลเกษ กล่าวว่า ตนว่ายุคนี้ศาลจะต้องสร้างความเข้าใจ ปัจจุบันศาลได้ผลักดันให้เกิดการประณีประนอม การเจรจาไกล่เกลี่ยมากขึ้น คิดว่าวิธีพิจารณาของศาลก็เปิดช่องเช่นนี้ เป็นไปได้ไหมที่จะให้คนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ที่มีข้อพิพาทกันได้สร้างความเข้าใจกันให้มากขึ้น ลองนั่งคุยกันอย่างมีสติ แต่ต้องหาคนกลางในการที่จะทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้คุยกัน
เมื่อถามว่า มองว่าในสถานการณ์ทางการเมืองนี้ ม.ธรรมศาสตร์ควรจะมีบทบาทอย่างไรนั้น นายไสลเกษ กล่าวว่า ตนสงสารผู้บริหารม.ธรรมศาสตร์ ตนว่าท่านก็พยายามสร้างความเข้าใจ แต่เนื่องจากประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด แล้วด้วยความเชื่ออย่างนี้ หลายคนก็คิดว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงให้รวดเร็วก็ไปตั้งต้นที่ม.ธรรมศาสตร์ แต่มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้ และมธ.ก็พยายามรอมชอมลดความรุนแรง แต่เนื่องจากวิธีคิดมันอาจจะไม่เจอกันเสียทีเดียว วันเวลาอีกสักระยะหนึ่ง ตนเชื่อว่าน้องๆ ก็จะเข้าใจผู้ใหญ่ว่า ไม่ได้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น แต่ห่วงใยเด็กๆ เสียด้วยซ้ำ ผู้เห็นใจผู้บริหารม.ธรรมศาสตร์ มุมหนึ่งก็อยากให้น้องๆ ได้เดินไปข้างหน้า ได้แสดงความเห็น แต่ก็ต้องให้เกิดความพอดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี