“ก้าวไกล” แถลงการณ์ 4 ข้อจี้ “บิ๊กตู่” ลาออก-ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน-พรรคร่วมรบ.ถอนตัว-เปิดประชุมวิสามัญ ปัดอยู่เบื้องหลังม็อบ อัดพรรคร่วมรัฐบาลล้าหลัง เลิกดูละครน้ำเน่า หันมาดูซีรี่ย์เกาหลี
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 20 ตุลาคม 2563 ที่รัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค พร้อมด้วยนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรค , นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ร่วมกันแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ถึงข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อสถานการณ์การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในปัจจุบัน
น.ส.สุทธวรรณ อ่านแถลงการณ์ ระบุว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา ได้เกิดการชุมนุมประท้วงของประชาชนจำนวนมาก ที่ไม่พอใจต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 ที่มีการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อยื้อเวลาในการลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกไปอีก 30 วัน และปัจจุบันยังได้ขยายเวลาของคณะกรรมาธิการนี้ออกไปอีก ประชาชนจึงทราบโดยสิ้นข้อสงสัยแล้วว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่มุ่งสืบทอดอำนาจจากเผด็จการ โดยใช้รัฐธรรมนูญ 60 ส.ว. 250 คน และองค์กรอิสระ ที่มาจากกลไกการแต่งตั้งของ คสช. เป็นเครื่องมือในการค้ำจุนอำนาจของตน เพื่อให้ตนและพวกสามารถครอบงำ และปกครองประเทศ เอาไว้เพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
เมื่อเกิดการประท้วงต่อต้านโดยประชาชน แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะสำนึกว่าตนเองกำลังหลงใหลมัวเมาในอำนาจ เสพติดความเป็นเผด็จการ และกำลังกระทำให้นิติรัฐของประเทศพังทลายลง กลับไม่เคยสำนึกผิดอะไรเลย หนำซ้ำยังใช้ความรุนแรงที่ขัดกับหลักสากล ในการสลายการชุมนุมของประชาชน และยังลุแก่อำนาจ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อย่างขาดสติ ใช้กฎหมายในการคุกคามประชาชนไม่จบไม่สิ้น ประกอบกับความไร้ประสิทธิภาพ และการไม่ใส่ใจในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จนทำให้ปากท้องของประชาชน เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า สิ้นหวัง มองไม่ให้เห็นอนาคตของประเทศ
ณ บัดนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้หมดความชอบธรรมในการบริหารราชแผ่นดินแล้ว พรรคก้าวไกล จึงขอเสนอข้อเรียกร้อง ที่เป็นทางออกของประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อยุติความเสียหายทางสังคม และเศรษฐกิจของประเทศไปมากกว่านี้ ดังนี้
1. พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และปล่อยประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยทันที
2. พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
3. พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต้องถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของวุฒิสภา
4. ต้องมีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีสาระสำคัญ คือ การตั้ง ส.ส.ร. ที่มาจากประชาชน ยุติอำนาจของวุฒิสภา ในการเลือกนายกรัฐมนตรี และลงมติกฎหมายปฏิรูปประเทศ รวมถึงการออกแบบระบบการเลือกตั้งที่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ พรรคก้าวไกล ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลหยิบยกเอาประเด็นในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ มาใช้สร้างสถานการณ์ ยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความเกลียดชังในหมู่ประชาชน เพื่อให้รัฐบาลนำมาใช้เป็นเหตุในการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง ชาติ คือ ประชาชน
จากนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ความเป็นไปได้ของช่องทางกฎหมาย ที่จะให้นายกรัฐมนตรีประกาศยุติการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงว่า ต้องยอมรับว่า ตัวกฎหมายนี้เป็นกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจฝ่ายบริหาร และเป็นกฎหมายที่ตัดเรื่องการตรวจสอบของศาลปกครอง ทั้งนี้ ในอดีตเคยมีกรณีที่ศาลแพ่งให้ความคุ้มครองม็อบกลุ่มหนึ่ง ซึ่งดูเสมือนว่าศาลสามารถเข้ามาดูได้ แต่ปัญหาทางกฎหมายไม่สามารถตอบได้ว่า กรณีแบบนี้ ถ้าจะลองยื่นไปจะสามารถทำได้หรือไม่ ต้องยอมรับว่าม็อบสมัยนั้น กลับม็อบสมัยนี้ ไม่เหมือนกัน เพราะมีสาระบางอย่างที่มีความแตกต่างกันอยู่ แต่คิดว่าการจะทดลองใช้กลไกของศาลเพื่อเข้าไปดูการใช้อำนาจตามประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่าก็น่าลองดู อย่างน้อยเป็นโอกาสที่ดี จะได้มีการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในระดับหนึ่ง
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า การประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงไม่มี หากไปดูจุดประสงค์ของกฎหมายฉบับนี้ ต้องเข้าข่ายกรณีก่อการร้าย มีภัยสงคราม เป็นเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายต่อการทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชนจำนวน กรณีเช่นนี้จึงจะสามาระประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงได้ แต่รัฐบาลนี้อ้างถึงการชุมชนทางการเมืองว่ามีความรุนแรง ซึ่งเป็นความรุนแรงทางความคิด ไม่ได้เป็นความรุนแรงทางกายภาพ ซึ่งเป็นความคิดเรียกร้องต่อการปฏิรูปสถาบันต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลจะตอบสนองได้หรือไม่ได้ ก็ควรจะใช้หนทางของการเจรจา การไปใช้กฎหมายพิเศษเพื่อจัดการกับการชุมนุม ท้ายที่สุดจะไม่สร้างทางออกอะไรเลย นอกจากสร้างความขัดแย้ง สร้างความเจ็บปวดไปมากว่าเดิม ตนคิดนอกจากระบวนการทางศาลแล้ว
ถ้ารัฐบาลสำนึกหรือตระหนักเรื่องนี้ได้ จึงคิดว่ารัฐบาลควรยกเลิกพ.ร.กฉุกเฉินนี้ ก็จะทำให้ประเทศเดินต่อไปได้ นอกจากนั้นพรรคก้าวไกล ได้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย เสนอร่างพ.ร.บ.ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้ามีการบรรจุวาระและรัฐสภาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่ให้อำนาจฝ่ายบริหาร แต่จะเพิ่มเติมการตรวจสอบถ่วงดุลโดยสภา เพราะก่อนที่จะประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องมาขอสภาว่าจะให้ประกาศหรือไม่
ด้านนายณัฐชา กล่าวว่า ขอเรียกร้องต่างๆ ของพรรคก้าวไกล ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา มุ่งมั่นติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม และข้อเสนอทางออกของประเทศของพรรคก้าวไกลใกล้เคียงกัน สิ่งที่ทำได้ และตัดสินใจได้ทันทีนั้นคือ การลาออกของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ข่าวที่ออกมาระบุว่าพล.อ.ประยุทธ์ ตอบหลังจากข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมเรื่องการลาออก แต่พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่ลาออก พร้อมคำถามพวงว่าผิดอะไร นี่คือเครื่องยืนยันว่า เป็นการหลงระเริงในอำนาจกว่า 6 ปีที่ผ่านมา ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าสถานการณ์ตอนนี้ตัวเองทำถูกหรือทำผิด มาถึงขนาดนี้ จนพี่น้องประชาชนออกมาเรียกร้องทั่วประเทศโดยไม่มีแกนนำ หรืออุปกรณ์ใดๆ แต่เรียกร้องเพื่อหาทางออกให้ประเทศอย่างเดียว ฉะนั้นคิดว่าความจริงใจเท่านั้น ที่จะทำให้ข้อเรียกร้องของพรรคก้าวไกลเป็นจริงได้
ขณะที่นายวิโรจน์ กล่าวถึงการปิดกั้นสื่อว่า นี่คือปัญหาของการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพ และกรอบรัฐธรรมนูญ ทั้งหมดเป็นการเติมฟืนลงในไฟ ตั้งแต่การสลายการชุมนุมที่ขัดต่อหลักสากล แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าเป็นไปตามหลักสากล แต่จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ ต้องดูที่สากลให้การยอมรับหรือไม่ ซึ่งวันนี้พิสูจน์แล้วว่า ยูเอ็น ก็ยืนยันว่าสิ่งที่รัฐบาลกระทำไม่ถูกต้อง และไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งขัดต่อหลักสากลโดยสิ้นเชิง และที่ผ่านมามีพฤติกรรมที่ย้อนแย้งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการปิดกั้นสื่อ ซึ่งสถานการณ์ปกติในบรรยากาศประชาธิปไตยไม่อาจทำได้ อีกทั้งสมัยก่อนคราวที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผบ.ทบ. ก็ได้เคยพูดกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสมันนั้นว่า การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยิ่งจะทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น
“ผมอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อปี 2557 นั่งไทม์แมชชีนมาเตือนพล.อ.ประยุทธ์ ปี 2563 ด้วย และอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ในปี 2557 มาเข้าฝันพล.อ.ประยุทธ์ ในปี 2563 เตือนสติเขาให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และสำนึกในโทษานุโทษของตัวเอง ลาออก และคืนสังคม เศรษฐกิจที่เป็นความหวังให้กับประชาชนได้แล้ว” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลกล่าวหาว่าตนอยู่เบื้องหลังจ้างวาน บงการม็อบ มีการจัดระเบียบตั้งแถวผู้ชุมนุม จึงอยากฝากถึงพรรคร่วมรัฐบาลให้ไปดูตอนเขาซื้อบัตรคอนเสิร์ต แฟนมีตติ้ง หรือซื้อบัตรจับมือ มีการเตรียมร่ม เสื้อกันฝน และเอาเก้าอี้ไปด้วย พวกคุณล่าหลังกาละมังเต่าถุย อยากให้ไปดูคอนเสิร์ตเกาหลีบ้าง เลิกดูเถอะละครน้ำเน่า ตบจูบ มาดูซีรีย์เกาหลีสนุกๆ มาฟังเพลง Say Yes ดีกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี