‘บิ๊กตู่’ แจงสถานการณ์ประเทศ รับปากพร้อมเดินหน้าสู่อนาคต แต่ต้องไม่ลืมรากเหง้า-อดีตไทย ชี้หลายสิบล้านคนไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแบบวุ่นวาย-อลหม่าน ยันดูแลม็อบชุมนุมดีที่สุด ยึดกม. ผ่อนปรนอะลุ่มอล่วย ป้องพวกฉวยโอกาสซ้ำรอยวังวนเดิม
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 26 ตุลาคม 2563 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี(ครม.) ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา) ครั้งที่1 สมัยวิสามัญ เพื่ออภิปรายทั่วไปตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม โดยก่อนการประชุมประธานได้แจ้งต่อที่ประชุมรับทราบพระราชโองการโปรดเกล้าฯประกาศพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2563
นายชวน กล่าวว่า เรื่องนี้มีที่มาเกิดจากการหารือร่วมกันภายในไม่เป็นทางการท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนมีความกังวล ห่วงใยบ้านเมือง แม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร แต่ฝ่ายนิติบัญญัติในฐานะตัวแทนประชาชนระดับหนึ่ง มีส่วนใดที่เข้าไปสนับสนุนการแก้ปัญหา ให้คลายกังวลของประชาชนได้บ้าง ก็สมควรดำเนินการ แม้จะเปิดสมัยประชุมในเวลาอันใกล้นี้คือวันที่1พ.ย.นี้ จึงมีความเห็นร่วมกันอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ ให้มีการเปิดประชุมดังกล่าวในวันนี้(26ต.ค.) ดังนั้นญัตติที่เสนอในวันนี้มีเป้าหมายคือการมีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษากับรัฐบาล เพื่อบรรเทาปัญหา ไม่ใช่การสร้างปัญหา หรือเพิ่มปัญหา ความกังวลแก่ประชาชน
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชี้แจงว่า ขณะนี้มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ครม.จึงมีมติรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภา ตามมาตรา 165 โดยข้อเท็จจริงดังนี้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 มีผู้ป่วย เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยมีการตรวจสอบพบในพื้นที่ควบคุมของรัฐ แต่เราสามารถควบคุมได้เป็นที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทางจากต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้ามาลงทุนทางธุรกิจ การท่องเที่ยว แข่งขันกีฬา การใช้บริการสาธารณสุขในประเทศ ซึ่งเป็นรายได้ที่สำคัญ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัส รัฐบาลกำลังหามาตรการในการผ่อนปรนเพื่อให้มีผลทั้งด้านสุขภาพ และเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นทั้งในกทม. และต่างจังหวัด มีการแออัด ประชิดตัวอยู่บ่อยครั้ง ก็อาจมีปัญหาด้านสุขภาพ และยังมีปัญหาอุทกภัยที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้เราต้องระมัดระวังในการเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างไรต่อไป จะเดินหน้าลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆได้อย่างไร เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร หลายอย่างมีความก้าวหน้าดีขึ้นตามลำดับ วันนี้เราต้องสร้างความเชื่อมั่นทั้งใน และต่างประเทศด้วย
สำหรับสถานการณ์ชุมนุมทีมีต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อวันที่ 14ต.ค.ที่ผ่านมา เราทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ตนคงไม่กล่าวในที่นี้ และไม่สมควรเกิดขึ้น การชุมนุมมีการพักค้างคืนบ้าง มีการกำหนดเวลาอยู่บ้าง ส่อให้เห็นว่าอาจจะมีความยืดเยื้อ รัฐบาลเกรงว่าอาจมีความผิดตามพ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ.2558 อาจมีผู้ฉวยโอกาสเข้ามาแทรกซึมทำให้เกิดความวุ่นวายได้ ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเหล่านี้เราเคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ประเทศมาแล้วก่อนปี 2557 เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงอาศัยอำนาจออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กทม. ตั้งแต่เมื่อวันที่15ต.ค.ที่ผ่านมา และมีมติให้ครม.รับทราบ แต่ต่อมารัฐบาลได้ประกาศยกเลิกสถานการณ์ดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พยายามดูแลสถานการณ์ให้ดีที่สุด มีการใช้กฎหมายทุกประการในลักษณะที่อะลุ่มอล่วยผ่อนผันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการห้ามปราม เตือน หยุดยั้ง ชี้แจงข้อกฎหมายต่างๆ แต่การชุมนุมได้มีการขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เราพยายามหยุดยั้งการชุมนุมที่แม้ว่าจะมีเสรีภาพได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 44 วรรคแรก แต่การใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐในการควบคุมการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ได้รับข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 วรรคสอง
“วันนี้มีการชุมนุมเกือบทุกวัน ใช้เทคโนโลยี ดิจิทัลที่ทันสมัยมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือ 3 ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม และข้อเรียกร้องให้ปล่อยผู้ถูกควบคุมตัว ตนทราบดี หลายเรื่องอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการอยู่แล้ว หลายครั้งแม้การชุมนุมจะเรียบร้อย แต่มีบางแห่งมีความรุนแรงเกิดขึ้น ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่สมควร ผมก็เป็นห่วงตรงนี้ รัฐบาลก็เห็นชอบร่วมกัน จนเกิดการประชุมในวันนี้ เราไม่อยากให้เกิดการปะทะกัน เกิดการจลาจลในบ้านเมือง รัฐบาลพยายามรักษาสิทธิของคนไทยทุกคนทั้งประเทศ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ตนมั่นใจว่าวันนี้คนไทยทุกคนไม่ง่าเราจะมีมุมมองการเมืองอย่างไร แบบไหน แต่เชื่อว่าทุกคนรักชาติ รักวัฒนธรรม รักรากเหง้า และคุณค่าความเป็นไทย ขณะเดียวกันเรารู้ว่าเราต้องการอนาคตที่ดี และการรักในรากเหง้าของประเทศ สำหรับประชาชนและประเทศชาติ รัฐบาลก็พยายามดำเนินการอยู่มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น อย่างมีหลักการ เหตุผล เป็นไปตามกฎหมายทั้งสิ้น เราต้องไม่ทำลายอดีตที่มีคุณค่าสำหรับเรา เพื่อที่จะได้สังคมที่แข็งแรง สังคมที่มีรากเหง้า ที่หยั่งรากลึกเข้าไปในหัวใจของคนไทยทุกคน และมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ตนในนามรัฐบาล ทราบดีว่าทุกอย่างอาจต้องเปลี่ยนไปตามโลก แห่งปัจจุบัน โลกแห่งเทคโนโลยี ดิจิทัล แต่เราต้องยอมรับว่าประชาชนในประเทศไทยจำนวนหลายสิบล้านคนไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เกิดความวุ่นวาย สับสนอลหม่าน ทุกคนมีความเชื่อของตัวเอง เขาเห็น เขาเชื่อมาตลอดชีวิตของเขา เพราะฉะนั้นเราต้องมีความสมดุลระหว่างความต้องการตัวเอง และความต้องการของคนอื่นๆในสังคมอย่างสร้างสรรค์
“ผมหวังว่าจะใช้โอกาส2วันนี้ในรัฐสภาปรึกษาหารือ ท่ามกลางสภาวการณ์ที่จะมีการหยิบยกหลายเรื่องขึ้นมาหารือกัน จะต้องรวบรวมสติปัญญาทั้งหมดที่มี ความคิด ความสามารถ และหัวใจทุกคน รวมทั้งเลือดรักชาติทุกหยดในตัวของพวกเรา ร่วมกันคิดทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ทำให้ประเทศเดินหน้าไปอย่างแข็งแรง มั่นคง ยั่งยืน ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์กับคนไทยในระยะยาว เพื่อนำพาประเทศไปพร้อมกับอนาคตที่ดี แต่ก็ต้องปกป้องอดีตอันมีคุณค่าไว้ด้วย รัฐบาลจึงเห็นสมควรฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หากสมาชิกรัฐสภามีข้อเสนอใดที่นำมาปฏิบัติได้ เป็นประโยชน์ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่แทรกซ้อนตามมา รัฐบาลจะรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ผมเชื่อว่าพื้นฐานสังคมไทยคือการเป็นห่วงใยซึ่งกันและกัน เมื่อเราทำแบบนั้นได้ การเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวเดียวกันครอบครัวประเทศไทย แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกันบ้างแต่เราก็ยังจะรักกันได้ตลอดไป” นายกฯ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี