เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 รศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข อาจารย์สาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานเสวนา “จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 : จุดติดการเมืองพญาอินทรี X จุดพลิกระเบียบการเมืองโลก” ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. 2563 แม้ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต จะชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน แต่นโยบายกดดันจีนคงไม่เปลี่ยน เพราะสังคมชาวอเมริกันมีความหวั่นเกรงการผงาดขึ้นของจีนแล้ว
เช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีการสอบถามความคิดเห็นบรรดาผู้นำทางความคิดในสหรัฐฯ ทั้งที่เป็นนักวิจัยในสถาบันคลังสมอง อาจารย์มหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง และนักธุรกิจชั้นนำ พบว่า ร้อยละ 72 ของผู้ตอบแบบสำรวจ สนับสนุนมาตรการกีดกัน หัวเว่ย ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน สหรัฐฯ ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้จีนลอกเลียนเทคโนโลยีและต้องเอาชนะจีนให้ได้ในด้านนี้ ทั้งนี้ มีครั้งหนึ่งที่ไบเดนเคยกล่าวว่า win the competition for the future against China หรือชนะการแข่งขันกับจีนเพื่ออนาคต
ขณะที่สงครามการค้า ซึ่งเป็นวิธีที่ทรัมป์ใช้กับจีนมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าไบเดนคงยังใช้ต่อไปแม้จะมีการเจรจากับจีนมากขึ้นกว่าทรัมป์ก็ตาม เพราะในการหาเสียงครั้งหนึ่งของไบเดน มีการพูดถึงจีนว่าเป็นโจรที่จ้องแต่จะลอกเลียนแบบเทคโนโลยีหรือทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรม ท่าทีดังกล่าวสะท้อนความรู้สึกของชาวอเมริกันที่มองว่าตนเองเสียเปรียบด้านการค้ากับจีนและจะไม่ยอมเสียเปรียบด้านเทคโนโลยีอีก
“ไบเดนยังเคยวิจารณ์ทรัมป์ว่าที่ไปตกลงกับจีนไว้ ที่จีนรับปากว่าจะนำเข้าสินค้าอเมริกันเพิ่มขึ้น จีนก็ทำไม่ได้ตามที่บอกไว้ ฉะนั้นไบเดนก็ตราหน้าทรัมป์เลยว่าเป็นข้อตกลงทางการค้าที่ว่างเปล่า ไม่ได้ผลอะไร ก็หมายความว่าเขาจะต้องกดดันจีนต่อไป แต่แน่นอนวาทศิลป์ในการพูดเขาคงไม่ Aggressive (แข็งกร้าว) แบบทรัมป์ แต่ด้วยโครงสร้างการค้าของอเมริกาที่ขาดดุลกับจีนอย่างมาก อย่างไรอเมริกาก็ต้องพยายามแก้ตรงนี้” รศ.ดร.กิตติ ระบุ
รศ.ดร.กิตติ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ต้องจับตามองคือหากไบเดนได้เป็น ปธน.สหรัฐฯ คือการที่สหรัฐฯ จะชวนประเทศอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรสำคัญ ไม่ว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงชาติในกลุ่มประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่างฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และไทย ให้ช่วยสหรัฐฯ กดดันจีนอีกทางหนึ่ง เช่น อาจมีการกดดันไม่ให้ใช้เทคโนโลยีจากจีน ชาติเหล่านี้ต้องเตรียมพร้อมรับมือการกดดันจากสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็เป็นอีกประเทศที่มีความสำคัญทั้งต่อไทยและอาเซียน
ทั้งนี้ หากมองในประเทศกลุ่มอาเซียนด้วยกัน จะพบว่า กัมพูชากับลาวดูจะเอนไปทางจีนอย่างชัดเจน ส่วนเมียนมายังก้ำกึ่ง ขณะที่ฟิลิปปินส์แม้ด้านหนึ่ง โรดริโก ดูเตอเต ปธน.ฟิลิปปินส์ จะวิพากษ์วิจารณ์ ปธน.ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อย่างรุนแรงจนดูเหมือนจะพาฟิลิปปินส์ออกห่างสหรัฐฯ เอนไปทางจีน แต่อีกด้านหนึ่งการทหารก็ยังมีการซ้อมรบและความร่วมมืออื่นๆ ต่อกันอยู่ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีแต่เป็นโครงสร้างของประเทศ
“อาเซียนปีที่แล้วต้องชมบทบาทของไทย ที่สามารถผลักดัน ASEAN Outlook Asia-Pacific ออกมาได้ เรียกว่า AOIP พยายามแปลให้ Indo-Pacific Strategy เป็นความร่วมมือเน้นด้านเศรษฐกิจ ต้องให้เครดิตไทยกับอินโดนีเซีย ในการช่วยให้อาเซียนเห็นพ้องต้องกันในประเด็นเหล่านี้ เพราะมุมมองต่อมหาอำนาจมันไม่เหมือนกันทุกประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังเชื่อว่าอาเซียนหลายประเทศคงจะต้องเล็งเห็นว่ามันไม่เป็นผลดีกับใครในการเลือกข้างอย่างชัดเจน อย่างไรอาเซียนก็จะต้องมีจุดยืนไม่เลือกข้าง และเน้นความร่วมมือกับทั้งอเมริกาและจีน” รศ.ดร.กิตติ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี