แหล่งข่าวจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ส่งจดหมายถึงแนวหน้าออนไลน์ ฉีกหน้ากาก นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่้าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถึง 4 ข้อกล่าวหา ในการบริหารงานแบบไม่โปร่งใส โดยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทย์ฯ ยังไม่มีคำตอบให้กับสื่อใดๆ ทั้งสิ้น (ฉบับเต็ม)
ฉีกหน้ากาก... วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล
รัฐมนตรีอัปยศผู้เหยียบย่ำวงการวิทยาศาสตร์ไทย
มีหลายคำถามที่นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว. กระทรวงวิทยาศาสตร์คนปัจจุบันยังไม่เคยให้คำตอบที่ชัดเจนต่อสื่อใดๆ นอกจากเฉไฉไปตอบคำถามแบบไม่ตรงประเด็น แบบไม่มีตรรกะ ซึ่งสามารถแยกเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้
1. กรณีการไม่อธิบายเหตุผลในการตัดงบวิจัยของ สวทช ลง กว่า 900 ล้านบาท
นายวรวัจน์ อ้างต่อสื่อต่างๆว่า งานวิจัยที่ถูกตัดไม่มีความชัดเจน โดยให้สัมภาษณ์ว่า “การพิจารณางบประมาณจึงดูจากโครงการที่เร่งด่วน ชัดเจน และมีผลต่อภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ” (เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม 2556) เมื่อวิเคราะห์โครงการที่ได้รับการสนับสนุนการวิจัยโดยนายวรวัจน์ กว่าครึ่งหนึ่งของงบวิจัย (ลำไย ไม้สัก เพิ่มปริมาณเมล็ดข้าว สิ่งทอ และ พืชผัก) พบว่าโครงการเหล่านี้ ไม่มีความเร่งด่วน ชัดเจน และ มีผลต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศเลย เมื่อเปรียบเทียบกับ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน หรือ สัตว์เศรษฐกิจอย่างหมู ไก่ กุ้ง ที่ประเทศไทยเป็นผู้นำเรื่องการส่งออก แต่เมื่อวิเคราะห์เชิงลึกจะเห็นได้ชัดเจนว่า โครงการแทบทั้งหมดที่นายวรวัจน์สนับสนุนมีจุดมุ่งหมายที่จะลงทุนในจังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดแพร่ ซึ่งนายวรวัจน์เป็น สส อยู่ แต่ที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้น เมื่อนักวิจัยจะลงพื้นที่จังหวัดแพร่ตามคำสั่งของรมต มีนโยบายให้ รมต กำหนดว่าต้องลงพื้นที่ส่วนไหนของจังหวัดแพร่ ถ้ามีการลงพื้นที่นอกฐานเสียงของตัวเองจะถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ทันที เงินวิจัยจำนวนมากถูกลงไปไว้ที่จังหวัดของตัวเองและพวกพ้องขณะที่นายวรวัจน์อ้างเสมอว่าทำเพื่อประเทศชาติ ถึงแม้ว่าสื่อจะมีการนำเสนอข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นที่ผิดหวังที่นายกรัฐมนตรียังเพิกเฉยต่อพฤติกรรมดังกล่าวของผู้ใต้บังคับบัญชา และที่น่าสังเกตคือไม่เคยมีการปฏิเสธในสื่อใดๆว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ ทั้งๆที่ผู้วิจารณ์ในพฤติกรรมดังกล่าวในสื่อต่างๆมากมาย
2. กรณีการใช้ญาติ พวกพ้อง ครองอำนาจในบอร์ดต่างๆของ กระทรวงวิทยาศาสตร์
เนื่องจาก ขณะนี้ คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช)ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลทิศทาง การทำงานของสวทช และ มีอำนาจอนุมัติโครงการต่างๆที่สำคัญของ สวทช ได้หมดวาระลง นายวรวัจน์ ในฐานะประธาน กวทช กำลังสรรหาคณะกรรมการชุดใหม่เพื่อขออนุมัติจาก คณะรัฐมนตรี ซึ่งน่ากังวลเป็นอย่างมาก เพราะจากการสรรหาคณะกรรมการในหน่วยงานอื่นของกระทรวงวิทย์ที่นายวรวัจน์สรรหามาในอดีตจะเห็นได้ชัดเจนว่า มีบุคคลใกล้ชิดกับนายวรวัจน์อยู่หลายคน เช่น คณะกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (กวท) ที่นายวรวัจน์ สรรหามา (http://www.tistr.or.th/tistr/indexn.php?pages=us_boardn) ได้คัดเลือกให้นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ มาเป็นประธานกรรมการ ซึ่งนายวรวัจน์แต่งตั้ง นายชัยพฤกษ์ มาเป็น เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษามาแล้วครั้งหนึ่ง ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็น รมว กระทรวงศึกษาธิการมาแล้ว เมื่อเอ่ยถึงนามสกุล “เสรีรักษ์” ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นนามสกุลที่เกี่ยวข้องกับนายวรวัจน์โดยตรง เพราะ สส. จังหวัดแพร่เป็นพี่สาวแท้ๆของ นายวรวัจน์ คือ นางปานหทัย เสรีรักษ์ ภรรยา ของนายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ นั่นเอง และที่น่าสนใจกว่านั้น กวท.ยังมีรายชื่อของนางพรรณี แสงสันต์ ซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายวรวัจน์ ที่ติดตามนายวรวัจน์ไปทุกที่ในฐานะที่ปรึกษารมว นอกจากนี้ จากมติครม เมื่อวันที่ 7 พค 56 ที่ผ่านมา ชื่อของนางพรรณี แสงสันต์ ได้ปรากฏอยู่ในรายชื่อของ คณะกรรมการบริหารสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนอีกด้วย (เดลินิวส์ วันที่ 7 พฤษภาคม 2556) จากผลงานในอดีตเมื่อครั้งนายวรวัจน์ดำรงตำแหน่งเป็น รมว กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการตัดงบประมาณของ สพฐ กว่า 1000 ล้านบาท โดยไว้วางใจให้นางพรรณีมากำกับการชี้แจงของเลขาธิการสพฐ.ต่อคณะกรรมาธิการงบประมาณ (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 15 ธันวาคม 2554) จึงเป็นที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่งว่าถ้ารายชื่อ กวทช ที่ ครม มีมติอนุมัติออกมาและมีบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ นายวรวัจน์ในทำนองเดียวกันกับ กวท หรือ บอร์ดสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน จะหมายถึง วงการวิทยาศาสตร์ของไทยจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “ทายาทอสูร” ของนายวรวัจน์อีกอย่างน้อย 2 ปี ถึงแม้ว่าจะมีการปรับรมต หรือ มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทางการเมืองเกิดขึ้น
ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับนางพรรณี แสงสันต์ คือ เธอเป็นแกนนำผู้กุมกระบวนการจัดการ นปช เสื้อแดงในจังหวัดแพร่ และ มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมฝูงชนคนเสื้อแดงในภาคเหนือ (ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 2 เมษายน 2553) และ ที่อยู่ของนางพรรณีที่แจ้งไว้กับเว็บไซต์ทางราชการ คือ 58/1 ม.1 ต.ทุ่งกวาว อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ ซึ่งเป็นที่อยู่เดียวกันกับบ้านของนายวรวัจน์ พูดง่ายๆคือ ทั้งสองคนอยู่บ้านเดียวกัน
3. กรณีไร้วิสัยทัศน์ และ ใช้ตรรกะการใช้งานบุคลากรทางวิทยาศาสตร์อย่างไม่มีเหตุผล
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม 2556 ในโอกาสที่ผู้บริหารสวทช เปิดโอกาสให้พนักงานสอบถามถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น ได้มีพนักงาน สวทช.คนหนึ่งตั้งคำถามถึง รมว.วิทยาศาสตร์ ผ่านผู้บริหาร สวทช.ว่า เคยได้ยินคำพูดของผู้มีอำนาจสมัยเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ว่าถ้าตนเองมาเป็นผู้บริหารของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ตนเองจะยุบ สวทช. ให้ได้ ( สำนักข่าวอิศรา วันที่ 24พฤษภาคม 2556) และเมื่อสอบถามพนักงาน ก วิทย์ ที่ได้ร่วมทำงานที่เกี่ยวข้องกับนายวรวัจน์ ในช่วงที่ผ่านมา ก็พบว่า ด้วยความที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มากนัก เมื่อนายวรวัจน์ไม่ได้คำตอบหรือสิ่งที่ตนต้องการ จะใช้คำขู่ลักษณะนี้ในที่ประชุมต่างๆเช่นกันว่า ถ้าตอบแบบนี้ตนจะยุบศูนย์ ฯต่างๆของสวทช เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งกล่าวเสมอว่าถ้าใครทำงานที่ตนต้องการได้ จะให้โบนัส ทำให้เห็นว่านายวรวัจน์ใช้วิธีการบริหารงานแบบไร้เหตุผล ข่มขู่และไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชา
นายวรวัจน์ยังให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า นักวิจัย สวทช ต้องทำงานวิจัยตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการลงมา โดยไม่มีข้อแม้ และยกตัวอย่างเรื่องการเพิ่มผลผลิตการเมล็ดพันธุ์ข้าว แต่อ้างว่า ผอ.สวทชไม่ยอมทำตามคำสั่งเพราะ “สวทชเป็นสัตว์บก จะไม่หากินในน้ำ” (Spring News รายการ Face time 23 พฤษภาคม 2556) วาทะทางการเมืองดังกล่าวดูเหมือนจะทำให้คนได้ยินเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า นักวิจัยของสวทชกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา แต่ถ้าผู้ฟังเข้าใจสถานการณ์ครบถ้วนแล้ว จะพบว่าปัญหาที่แท้จริงเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของเจ้ากระทรวงที่คับแคบ และ ไร้ซึ่งตรรกะ นักวิจัยเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญเชิงลึกในแต่ละสาขาวิชา งานวิจัยแต่ละชิ้นกว่าจะออกมาใช้ประโยชน์ได้จริงต้องอาศัยองค์ความรู้สั่งสมเป็นเวลานาน การเปลี่ยนหัวข้องานวิจัย หรือ ความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากในเวลาอันสั้น เพราะต้องอาศัยการเริ่มต้นใหม่จากพื้นฐาน ดังนั้นโจทย์วิจัยที่นายกรัฐมนตรีมีความต้องการวันนี้เดี๋ยวนี้คงไม่อาจทำสำเร็จได้ในเวลา 6 เดือนตามที่นักการเมืองเข้าใจ เนื่องจากบุคลากรของสวทชไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว ในทางตรงกันข้าม นักวิชาการของ กรมการข้าว และ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว และ สามารถสร้างผลได้ชัดเจนกว่าแต่กลับไม่มีการใช้งานให้ออกมาเป็นรูปธรรม เนื่องจาก นายวรวัจน์อยากสร้างผลงานเอาใจนาย(ใหญ่) จึงมองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเหมือนไม้เท้าวิเศษที่จะเนรมิตให้เกิดอะไรได้ตามต้องการ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นทำให้เขาเสียหน้า หรือ ผลงานไม่เป็นตามเป้าที่โวเอาไว้ ก็โบ้ยว่า นักวิจัย สวทช ไม่มีผลงานเป็นที่จับต้องได้ ไม่มีผลงานสู่ภาคอุตสาหกรรมชัดเจน หรือไม่สามารถนำมาใช้ปัญหาประเทศชาติได้ เป็นเหตุผลให้เขามาอ้างในการตัดงบวิจัยของสวทชอย่างไร้ซึ่งเหตุผล
4. กรณีไร้ซึ่งภาวะผู้นำ และ ไม่กล้ารับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง
ในฐานะของผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกระทรวงวิทยาศาสตร์ รมว วิทยาศาสตร์ถูกคาดหวังว่าเป็นเสาหลักที่จะนำพาองค์กรและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศให้เดินไปข้างหน้า แต่พฤติกรรมของนายวรวัจน์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งภาวะผู้นำอย่างน่าละอาย เริ่มจากการออกมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับการตัดงบวิจัยของสวทชลงกว่า 30% ก็โบ้ยไปว่าเป็นการตัดโดยสำนักงบประมาณ ทั้งที่ความจริงแล้วมีหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นการกระทำของ รมว วิทยาศาสตร์เอง ด้วยเหตุผลอะไรไม่ชัดเจนว่าทำไมถึงเกลียดชังองค์กร สวทช มากถึงขนาดนี้ เมื่อนักวิจัย สวทช ต้องการแสดงพลังไม่เห็นด้วยต่อการบริหารของรัฐมนตรีโดยการแต่งชุดดำไว้ทุกข์ แทนที่จะมีการแก้ปัญหาอย่างมืออาชีพ กลับใช้วิธีข่มขู่ห้ามปรามราวกับเผด็จการทหาร นอกจากนี้เมื่อมีโอกาสออกสื่อก็พยายามเลี่ยงประเด็นตอบคำถามที่เป็นปัญหา แต่กลบความผิดของตัวเองโดยโทษว่านักวิจัย สวทช ไม่พอใจการทำงานของตนเพราะ ไม่มีการจ่ายเงินโบนัสให้กับพนักงาน สร้างภาพว่านักวิจัยของไทยซื้อได้ด้วยเงิน พฤติกรรมเช่นนี้บ่งชี้ว่า ในหัวสมองของ รมต คนนี้คิดแต่ว่า นักวิจัยเป็นพันคนจะหุบปากและยอมก้มหัวให้ ถ้าเขายอมอนุมัติให้เศษเงิน 158 ล้านบาท เข้ามาในบัญชีเงินเดือนพนักงานแต่ละคน ความคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการดูหมิ่นวิชาชีพของนักวิจัยแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวของนายวรวัจน์สะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานทางความคิดที่ว่าทุกอย่างสามารถแก้ปัญหาและซื้อได้ด้วยเงิน บุคคลเช่นนายวรวัจน์ นี้หรือที่จะเหมาะสมที่จะมาบริหารองค์กรแห่งปัญญาของชาติ? องค์กรที่รัฐบาลที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยได้ลงทุนสร้างพนักงานระดับมันสมองของประเทศ มารวมไว้ที่สวทช หรือว่าวันนี้ มันสมองของประเทศต้องถูกทำลายหรือทำให้พิการลง ด้วยวิสัยทัศน์อันคับแคบของนักการเมืองท้องถิ่น จากเมืองแพร่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี