"อลงกรณ์"ห่วงวิกฤตการเมืองบานปลาย เสนอ"3กลไก3หลักการ" เดินหน้าแนวทางคกก.สมานฉันท์ คู่ขนานแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง "3กลไก3แนวทางแห่งการสมานฉันท์ : ก้าวแรกยากแต่ต้องเริ่มให้ได้" โดยระบุว่า ต้นสัปดาห์นี้ รัฐสภาจะมีการประชุมเรื่องรัฐธรรมนูญในขณะที่ความพยายามคลี่คลายปัญหาการเผชิญหน้าและความขัดแย้งด้วยแนวทางคณะกรรมการสมานฉันท์ยังเดินหน้าและเผชิญอุปสรรคบางประการ
สำหรับ มุมมองของผม ในฐานะคนไทยคนหนึ่งมองว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ขยายตัวเป็นความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายต่อเนื่องมา 15 ปี ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2563 แม้จะมีความพยายามดับไฟไม่ให้บานปลายขยายตัวเป็นสงครามกลางเมืองเหมือนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศเช่นลิเบีย อียิปต์ และซีเรียจนบ้านแตกสาแหรกขาดเป็นบทเรียนที่เราต้องถอดรหัสเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีความพยายามของหลายฝ่ายที่ช่วยกันแสวงหาทางออกเช่นข้อเสนอเรื่องคณะกรรมการสมานฉันท์ที่ท่านประธานรัฐสภากำลังขับเคลื่อนตามข้อมติของรัฐสภาซึ่งทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและรัฐบาลรวมทั้งพรรคการเมืองส่วนใหญ่แสดงจุดยืนเห็นพ้องในแนวทางดังกล่าว
แม้ยังมีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยหรือยังไม่เข้าร่วมแต่ก็นับเป็นความพยายามที่ได้จุดประกายความหวังในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองและควรสนับสนุนให้เดินก้าวแรกและก้าวต่อไปให้ได้
ข้อเสนอเรื่อง "3 กลไก 3 แนวทางแห่งการสมานฉันท์ : ก้าวแรกยากแต่ต้องเริ่มให้ได้" นี้ ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ที่ผมเคยเป็นคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนตะวันออกกลางของสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศ (IPU : Inter-Parliamentary Union) รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการปรองดองและสมานฉันท์ คณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.6 สมัย เป็นรัฐมนตรี เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 4 สมัย ในช่วง 30 ปี ของชีวิตการเมือง รวมทั้งประสบการณ์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สมัยเป็นนักเรียน , 6 ตุลาคม 2519 สมัยเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ และพฤษภาทมิฬ พ.ค.2535
ทั้งนี้ ส่วนตัวมีข้อเสนอเรื่อง "3 กลไก 3 หลักการแห่งการสมานฉันท์" เพื่อเติมเต็มแนวทางคณะกรรมการสมานฉันท์ ได้แก่
1. กลไกการปรึกษาหารือแบบ "4 ตา" (Four Eyes principle) หรือ 2 คน 2 ฝ่าย คลี่ความคิดออกมาหารือในทุกประเด็นทั้งประเด็นหลักประเด็นย่อย
2. กลไกไตรภาคี 3 คน 3 ฝ่าย นำประเด็นจากกลไกแรกมาหาจุดร่วมเดินหน้าในประเด็นที่ทำได้ก่อนจากนั้นส่งต่อไปกลไกที่ 3
3. กลไกคณะกรรมการสมานฉันท์ของทุกฝ่าย
ความยากของการประชุมเจรจาคือการเริ่มจากการรวมทุกฝ่ายซึ่งมักไม่ได้ผลเพราะขาดความไว้วางใจและมีความแตกต่างในข้อเสนอและจุดยืนอย่างมาก ดังนั้น การเริ่มจากการเจรจาหารือระหว่าง 2 ฝ่าย และขยับเป็น 3 ฝ่ายไตรภาคีจะเริ่มต้นได้ง่าย และเมื่อเริ่มก้าวแรกได้ก็จะมีก้าวต่อไปเปลี่ยนจาก "การเผชิญหน้าเป็นการพบหน้ากัน" จากนั้นก็เป็นการประชุมคณะกรรมการสมานฉันท์โดยการร้อยเรียงประเด็นที่ผ่านการหารือตกผลึกมาแล้วโดยประเด็นใดที่เห็นพ้องก็เดินหน้าต่อไปส่วนประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อสรุปก็หารือระดับ 2 ฝ่าย และ 3 ฝ่าย ตามลำดับต่อไป โดยทำงานคู่ขนานกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ แต่ละฝ่ายต้องยึดหลักการ 3 ข้อ
1. ยึดหลัก แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างคือเริ่มต้นจากประเด็นง่ายไปสู่ยาก
2. ยึดหลักสร้างความไว้วางใจ (Confidence Building)
3. ยึดหลักประโยชน์แห่งชาติเหนือประโยชน์ส่วนตัวหรือกลุ่มหรือพรรค
สถานการณ์ในอดีตรุนแรงและร้ายแรงกว่าในปัจจุบันถึงขั้นจับอาวุธต่อสู้กับอำนาจรัฐด้วยแนวคิดปฏิวิติพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ดังนั้นการแก้ไขปัญหาในขณะนี้จึงยังมีความหวังที่จะช่วยกันนำประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้โดยสันติวิธี ขอให้ใช้ขันติธรรมเมตตาธรรมและความยุติธรรมนำทางการแก้ปัญหาเป็นสำคัญก็จะมีความคืบหน้าและบรรลุผลตามที่คนไทยทุกคนคาดหวัง
"ทุกปัญหามีทางออก ถ้ามีกุญแจดอกที่ใช่ ก้าวแรกยากแต่ต้องเริ่มให้ได้"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี