“โรม” จวกจนท.รัฐปกป้องอาคารรัฐสภามากกว่าม็อบชุมนุม จี้ตร.ตอบหลังพบอุปกรณ์เสพยาไอซ์ กราด “สิระ” ปรักปรำ
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมของกลุ่มราษฎรที่บริเวณด้านหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามเจรจาประสานกับตำรวจ เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง ซึ่งถามว่า การที่กำหนดว่าห้ามเข้าใกล้เขตพื้นที่รัฐสภาเกิน 50 เมตรนั้นมีจุดประสงค์อะไร ถ้าต้องการให้ผู้ชุมนุมบุกเข้ามาในอาคารรัฐสภา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีประวัติการก่อความวุ่นวายหรือยึดสถานที่ราชการ ดังนั้นการที่จะปฏิบัติต้องสมเหตุสมผล แต่สิ่งที่เห็นจากการอยู่หลังแนวแบริเออร์มีการฉีดน้ำแรงดันสูงตลอดเวลา มีการใช้แก๊สน้ำตา ตนพยายามพูดคุยกับตำรวจที่เขาเสนอมาว่ามาพักเบรกคุยกัน 30 นาทีก่อน และพยายามจะเดินเข้าไปคุยกับผู้ชุมนุม แต่ไม่สามารถพูดคุยได้ เพราะเจอละอองแก๊สน้ำตา ฉะนั้นสภาพแบบนี้มีแต่ทำให้มีความขัดแย้ง และความรู้สึกที่ไม่พอใจระหว่างผู้ชุมนุมที่มีต่อตำรวจและตำรวจที่มีต่อผู้ชุมนุมมากขึ้น จึงไม่แปลกที่เวลาผ่านไปเราจึงเห็นการทำลายทรัพย์สินราชการอและความรุนแรงบางอย่างที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อไหร่ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงก่อนก็มีแต่ความรุนแรงที่ตอบกลับมา
เมื่อถามว่า ทางบ.ชน.ชี้แจงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมพยายามตัดรั้วลวดหนามและทำลายแบริเออร์ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เป็นธรรมชาติของการชุมนุมทางการเมืองที่มีการตั้งเป้าว่าจะมาที่อาคารรัฐสภา แต่เมื่อมีการขวางก็พยายามหาทางมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นการชุมนุมใช้กดดันผู้มีอำนาจไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ชุมนุมต้องการคือเห็นรัฐสภารับร่างหลักการของประชาชน จึงมีการชุมนุมหน้ารัฐสภาเกิดขึ้น แต่เมื่อไปขวางเขาไม่ให้แสดงออกสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความรุนแรง ทั้งนี้การชุมนุมมีหลายกลุ่ม สิ่งที่เห็นคือการปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่รัฐปกป้องอาคารรัฐสภามากกว่าปกป้องผู้ชุมนุมที่มาใช้สิทธิ์ของตนเองในการแสดงออก ที่มาพูดเช่นนี้เพราะกรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มราษฎรกับกลุ่มเสื้อเหลือง คำถามคือตำรวจอยู่ที่ไหน ทำไมปล่อยให้มีการปะทะขึ้น เรามีตำรวจเป็นพันนายที่มารักษาความปลอดภัยอาคารรัฐสภา ทำไมไม่สามารถแบ่งตำรวจ100-200 คนไปช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงระหว่างผู้ชุมนุมสองกลุ่มได้ ส่วนที่มีความรุนแรงช่วงกลางคืนที่มีตำรวจในเครื่องแบบและตำรวจสันติบาลที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมไม่สามารถป้องกันให้เกิดความรุนแรง และที่มีการยิงกัน รวมถึงไม่สามารถระบุหรือจับกุมคนร้ายได้ เราเห็นความหย่อนยานการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้ชุมนุมได้อย่างแน่นอน
เมื่อถามถึงกรณีพบอุปกรณ์เสพยาไอซ์บนรถตำรวจ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนยังไม่อยากเชื่อว่าเป็นของตำรวจ แต่เมื่อปรากฏบนรถตำรวจ ทางตำรวจต้องรีบหาคำตอบให้กับสังคมที่ตั้งคำถาม ซึ่งรูปที่ปรากฏเจ้าหน้าที่ของตนเป็นคนถ่ายเองไม่ใช่เอามาจากอินเตอร์เน็ต ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการจัดฉาก ตนก็อยากเชื่อแบบนั้น แต่มีปรากฏภาพแบบนั้น คำถามคือเราจะปล่อยผ่านหรือให้ตำรวจหาคำตอบเพื่อสร้างความกระจ่าง และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่คงไม่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ระหว่างการควบคุมการชุมนุม
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐสวมเครื่องแบบข้าราชการขึ้นปราศรัยโจมตีบนรถเครื่องขยายเสียงของกลุ่มเสื้อเหลืองจะมีการหารือถึงความเหมาะสมหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ยังคิดอยู่ว่าจะนำเรื่องเข้าหารือกับกมธ.กฎหมายหรือไม่ แต่ยืนยันว่าแม้เป็นส.ส.ก็ยังมีความเป็นพลเมือง แต่ถ้านายสิระประสงค์ไปชุมนุมทางการเมืองก็คงไม่เอาเรื่อง แต่ถ้ามีเนื้อหาคำพูดบางช่วงบางตอนที่มีการพูดถึงความเป็นลูกครึ่งหรือต่างชาติน่าจะเป็นการเหยียดผิวและเหยียดชาติ ตนก็เป็นลูกครึ่งจะบอกว่ามีหัวใจรับใช้ต่างชาติมากกว่าคนไทยหรือ เป็นการปรักปรำที่เกินไป ส่วนหนึ่งที่นายสิระพยายามพูดหมายถึงนายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการไอลอว์ที่เป็นลูกครึ่งเหมือนกัน แต่วันนี้ส.ว.และส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะเป็นไอโอกันทุกคนใช่หรือไม่ หรือไม่พูดเนื้อหารัฐธรรมนูญ แต่ปรักปรำว่ารับทุนต่างชาติ ท้ายสุดร่างรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาโดยประชาชนจึงไม่มีความสำคัญ ไม่แตกต่างอะไรกับอินเตอร์เน็ต ดังนั้นอย่างมาเป็นส.ส.หรือส.ว.เลย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี