วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ คค. รับความเห็นของ อว. สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้จัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เรียกโดยย่อว่า “สทร.” และให้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Rail Technology Development Agency (Public Organization) เรียกโดยย่อว่า “RTDA”เพื่อศึกษา วิเคราะห์ วิจัยและประเมินความต้องการด้านเทคโนโลยีระบบรางในการวางแผนวิจัยด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อเสนอแนะนโยบายและแผนงานในการกำหนดทิศทางงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบการทดสอบและทดลอง รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านระบบราง โดยมีคณะกรรมการสถาบันทำหน้าที่วางนโยบายกำหนดกฎ ระเบียบ และกำกับดูแล รายละเอียดดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า “เทคโนโลยีระบบราง” “สถาบัน” “คณะกรรมการ” “กรรมการ” “ผู้อำนวยการ” และ “เจ้าหน้าที่” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้
2. กำหนดให้สถาบันมีวัตถุประสงค์ในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยและประเมินความต้องการด้านเทคโนโลยีระบบรางในการวางแผนวิจัยด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อเสนอแนะนโยบายและแผนงานในการกำหนดทิศทางงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบการทดสอบและทดลอง รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านระบบราง วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่งทางราง บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมมือกับองค์กรในประเทศและต่างประเทศด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง
3. กำหนดทุนและทรัพย์สินในการดำเนินงานของสถาบันประกอบด้วยเงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม เงินอุดหนุนทั่วไป เงินอุดหนุนจากเอกชน ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือรายได้จากการดำเนินกิจการ รวมถึงดอกผลหรือรายได้จากทรัพย์สินของสถาบัน
4. กำหนดให้มีคณะกรรมการสถาบัน ประกอบด้วยประธานกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 4 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกิน 5 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยมีผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง
5. กำหนดให้ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เว้นแต่เป็นผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ และมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี เมื่อพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้
6. กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลสถาบันให้ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมถึงกำหนดนโยบายการบริหารงาน การจัดหาทุน และให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานของสถาบัน อนุมัติงบประมาณประจำปี งบการเงิน แผนการลงทุน และการดำเนินโครงการตามที่คณะกรรมการกำหนด ออกระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด หรือประกาศเกี่ยวกับสถาบัน และให้ความเห็นชอบในการกำหนดค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน และค่าบริการในการดำเนินกิจการของสถาบัน
7. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลงาน โดยกำหนดให้การบัญชีของสถาบันให้จัดทำตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี และต้องจัดให้มี การตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและการพัสดุของสถาบัน และให้ผู้ปฏิบัติงานของสถาบันทำหน้าที่ เป็นผู้ตรวจสอบภายในให้รับผิดชอบขึ้นตรงต่อคณะกรรมการตามที่กำหนด และการแต่งตั้ง โยกย้าย เลื่อนเงินเดือน และลงโทษวินัยของผู้ตรวจสอบภายใน ให้ผู้อำนวยการและคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาร่วมกันแล้วเสนอให้คณะกรรมการให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
8. กำหนดบทเฉพาะกาล ในวาระเริ่มแรก ให้มีคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบัน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ผู้แทน คค. และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสามคน เป็นกรรมการ และให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการ เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ปฏิบัติหน้าที่ไปจนกว่าจะมีคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ซึ่งต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวและกำหนดประเภทอาคารที่การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารให้มีการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวเพิ่มเติม รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวใหม่ ให้มีความทันสมัยและมีความปลอดภัยแก่ประชาชนในการเข้าใช้อาคารมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม ดังนี้
1.1 แก้ไขบทนิยาม
“บริเวณที่ 1” หมายความว่า บริเวณหรือพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าอาคารอาจได้รับผลกระทบทางด้านความมั่นคงแข็งแรงและเสถียรภาพเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ได้แก่ จังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง จังหวัดนครพนม จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดเลย จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดหนองคาย
“บริเวณที่ 2” หมายความว่า บริเวณหรือพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาคาร อาจได้รับผลกระทบทางด้านความมั่นคงแข็งแรงและเสถียรภาพในระดับปานกลางเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดชัยนาท จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดอุทัยธานี
1.2 เพิ่มบทนิยาม
“บริเวณที่ 3” หมายความว่า บริเวณหรือพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาคารอาจได้รับผลกระทบทางด้านความมั่นคงแข็งแรงและเสถียรภาพในระดับสูงเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง จังหวัดลำพูน จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุตรดิตถ์
“ผู้ออกแบบ” หมายความว่า ผู้ออกแบบงานสถาปัตยกรรม หรือออกแบบและคำนวณงานวิศวกรรม
“ผู้คำนวณออกแบบ” หมายความว่า วิศวกรตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรซึ่งทำหน้าที่จัดทำรายการคำนวณ แบบแปลน และรายละเอียดในการก่อสร้างอาคารด้านวิศวกรรม
2. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบอาคาร โดยให้ผู้ออกแบบคำนึงถึงการจัดรูปแบบเรขาคณิตของโครงสร้างอาคารเพื่อให้มีเสถียรภาพในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวสำหรับอาคารที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ 2 ซึ่งเป็นอาคารสูง และบริเวณที่ 3 ให้ผู้ออกแบบคำนึงถึงส่วนประกอบของอาคารด้านสถาปัตยกรรมให้มีความมั่นคง ไม่พังทลาย หรือไม่ร่วงหล่นได้โดยง่าย
3. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคาร ดังนี้
3.1 ให้ผู้ออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ 2 หรือบริเวณที่ 3 จัดโครงสร้างทั้งระบบ และกำหนดรายละเอียดปลีกย่อยชิ้นส่วนโครงสร้าง และบริเวณรอยต่อระหว่างปลายชิ้นส่วนโครงสร้างต่าง ๆ อย่างน้อยให้มีความเหนียวเป็นไปตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคารประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา หรือหลักเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าวที่จัดทำโดยส่วนราชการอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนั้น
3.2 กรณีที่ยังไม่มีประกาศของรัฐมนตรีและยังไม่มีหลักเกณฑ์การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่จัดทำโดยส่วนราชการอื่นที่มีหน้าที่และอำนาจในเรื่องนั้น การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคาร ให้กระทำโดยนิติบุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือได้รับการรับรองโดยนิติบุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม โดยนิติบุคคลนั้นต้องมีวิศวกรระดับวุฒิวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา และลงลายมือชื่อรับรองวิธีการคำนวณนั้นด้วย
3.3 การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารประเภทใดที่รัฐมนตรียังไม่มีการประกาศกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคาร เพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวสำหรับอาคารประเภทนั้นไว้ และยังไม่มีหลักเกณฑ์การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่จัดทำโดยส่วนราชการอื่นที่มีหน้าที่และอำนาจในเรื่องนั้น การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารดังกล่าว ให้กระทำโดยนิติบุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือได้รับการรับรองโดยนิติบุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม โดยนิติบุคคลนั้นต้องมีวิศวกรระดับวุฒิวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา และลงลายมือชื่อรับรองวิธีการคำนวณนั้นด้วย ทั้งนี้ การออกแบบและคำนวณระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวของอาคารให้ผู้ออกแบบและคำนวณใช้ค่าระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหว ไม่ต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ในประกาศของรัฐมนตรี
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ อว. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ อว. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติส่งเสริมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2551 มาตรา 3 บัญญัติให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมประกอบด้วย 4 สาขา ได้แก่ (1) สาขานิวเคลียร์ (2) สาขาการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านวิทยาศาสตร์และการควบคุมมลพิษ (3) สาขาการผลิต การควบคุมและการจัดการสารเคมีอันตราย และ (4) สาขาการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์และการใช้จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค โดยมาตรา 6 บัญญัติให้สามารถกำหนดวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมเพิ่มเติมได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และมาตรา 7 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมได้โดยไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งในปัจจุบันได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพและเทคโนโลยีควบคุม พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมใน 4 สาขาดังกล่าว
2. ต่อมาได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม พ.ศ. 2563 ขึ้นใช้บังคับ ซึ่งกำหนดให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาขาธรณีวิทยา และสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม เป็นวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมเพิ่มเติม และมาตรา 2 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว กำหนดให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (มีผลใช้บังคับ 20 ธันวาคม 2563) ดังนั้น เพื่อให้การกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมมีความสอดคล้องกับการกำหนดให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาขาธรณีวิทยาและสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อมเป็นวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม อว. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ขึ้นเพื่อกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมสาขาธรณีวิทยาและสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ อว. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และในคราวประชุมคณะกรรมการสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562 ได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
3. เนื่องด้วยพระราชกฤษฎีกากำหนดสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม พ.ศ. 2563 จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 20 ธันวาคม 2563 จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรากฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลบังคับใช้สอดรับกับพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมสาขาธรณีวิทยา ฉบับละ 1,000 บาท
2. กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม ประเภทผู้ชำนาญการ ฉบับละ 3,000 บาท และประเภทผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ฉบับละ 1,000 บาท
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง แนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าวโดยการจ้างเหมาเอกชนดำเนินการให้บริการรับคำขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (e-WorkPermitOS) ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ รง. รับความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
รง. รายงานว่า
1. จำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานและแจ้งการทำงานตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมระหว่างปี พ.ศ. 2560 – 2562 รวมทั้งหมด 2,935,231 ราย ดังนี้
ปี พ.ศ. |
จำนวนคนต่างด้าว (ราย) |
2560 |
774,065 |
2561 |
1,077,802 |
2562 |
1,083,364 |
รวม |
2,935,231 |
2. กรมการจัดหางาน รง. มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตให้กับคนต่างด้าวเพื่อประกอบอาชีพ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้
2.1 นายจ้างยื่นแบบคำร้องขอนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ด้วยตัวเอง
2.2 เจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดพิจารณาคำร้องขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวและอนุมัติคำขอใบอนุญาตทำงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
2.3 นายจ้างพาคนต่างด้าวไปตรวจลงตราวีซ่าและรับใบอนุญาตทำงาน
2.4 นายจ้างแจ้งการเข้าทำงานและแจ้งออกจากงานของคนต่างด้าว
3. กระบวนการในการให้บริการการทำงานของคนต่างด้าวในปัจจุบันมีปัญหาหลายประการ เช่น ผู้รับบริการยังต้องเข้ารับบริการด้วยตัวเองเฉพาะในเวลาราชการ การบริการโดยการยื่นแบบคำขอพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดกระบวนการเป็นเวลา 3 วัน (ไม่รวมเวลาที่ผู้ใช้บริการต้องแก้ไขหรือส่งเอกสารเพิ่มเติมในกรณีที่เอกสารไม่ครบถ้วน) รง. (กรมการจัดหางาน) จึงได้มีแนวคิดการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการด้านการทำงานของคนต่างด้าว โดยจ้างเหมาเอกชนดำเนินการให้บริการรับ คำขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (e-WorkPermitOS) สรุปรายละเอียดได้ ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
อำนาจหน้าที่ |
1. หน้าที่ของเอกชน : การจัดเตรียมสถานที่ อุปกรณ์ วัสดุ และบุคลากรในการให้บริการ ดังนี้ 1.1 จัดหาที่ตั้งศูนย์ให้บริการใบอนุญาตทำงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 1.2 นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตด้วยแอปพลิเคชันในอุปกรณ์โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน (Smartphone) หรือแท็บเล็ต (Tablet) 1.3 จัดหาและพัฒนาระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย (1) ระบบสารสนเทศที่ให้บริการทั่วไป เช่น ระบบนัดหมาย ระบบติดตามผลการอนุญาต ระบบชำระคืนค่าธรรมเนียม ออกใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น (2) ระบบสารสนเทศส่วนสนับสนุนการปฏิบัติงาน เช่น ระบบติดตามงาน ระบบตรวจสอบยืนยันหรือรับรองตัวบุคคล เป็นต้น (3) ระบบสารสนเทศที่ใช้งานโดยเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียน เช่น ระบบนายทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูล ระบบฐานข้อมูลการอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว เป็นต้น 2. หน้าที่ของรัฐ : กำหนดนโยบาย วิธีปฏิบัติ และควบคุมการดำเนินงานของเอกชน โดย นายทะเบียนควบคุมระบบสารสนเทศเพื่อการให้บริการ เป็นผู้อนุญาต/ไม่อนุญาตให้มีการปฏิบัติงานของเอกชน สามารถสังเกตการณ์การทำงานของเอกชนแบบออนไลน์ (On-line) ในระหว่างปฏิบัติงาน สามารถเข้าถึงหรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับระบบที่เอกชนกำลังใช้ปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา |
ระยะเวลาดำเนินการ |
10 ปี หรือกำหนดตามจำนวนใบอนุญาตทำงานที่ออกให้กับคนต่างด้าว จำนวน 15 ล้านใบอนุญาต แล้วแต่ว่ากรณีใดถึงก่อนเป็นเกณฑ์กำหนดระยะเวลาสัญญา |
แหล่งงบประมาณในการจ้างเหมาเอกชน |
1. ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บได้ตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) อนุญาตให้นำไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินจากเงินกองทุนเพื่อการบริหารจัดการการทำงานของ คนต่างด้าว 2. ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บที่ผู้รับบริการต้องชำระเป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2558 |
4. การปรับปรุงกระบวนงานและรูปแบบการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าว โดยการจ้างเหมาเอกชนดำเนินการ จะส่งผลให้เกิดการปฏิรูประบบการบริหารจัดการและการบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความทันสมัย เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ เกิดการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูล กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ และเกิดการให้บริการในรูปแบบใหม่โดยใช้เทคโนโลยี ดังนี้
หัวข้อ |
การให้บริการออกใบอนุญาตทำงานระบบปัจจุบัน |
การให้บริการออกใบอนุญาตทำงานแบบจ้างเหมาเอกชน (Outsource) |
1. สถานที่ให้บริการ |
สำนักงานจัดหางานจังหวัด 87 ศูนย์ |
ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ 45 ศูนย์ |
2. เทคโนโลยีสารสนเทศ |
ใช้ Mobile Application ในขั้นตอนการแจ้งเข้า – แจ้งออกจากงานของคนต่างด้าว |
ใช้ Mobile Application ในทุกระบบการอนุญาต |
3. ฐานข้อมูล |
มีฐานข้อมูลต่างด้าวหลายฐาน |
มีฐานข้อมูลคนต่างด้าวฐานเดียว |
4. การตรวจสอบบุคคล |
- ข้อมูลภาพใบหน้าคน - ข้อมูลเลขบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย |
- ข้อมูลชีวมาตร (Biometrics Data) ได้แก่ ภาพใบหน้าและภาพม่านตา - การพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลแบบ 1 : 1 และ การระบุตัวบุคคล แบบ 1 : N* |
5. ใบอนุญาตทำงาน |
4 รูปแบบ ได้แก่ บัตรพลาสติก แบบดิจิทัล แบบเล่ม และ แบบกระดาษ |
2 รูปแบบ ได้แก่ บัตรพลาสติก และแบบดิจิทัล มี QR-Code และ Barcode |
6. การเชื่อมโยงข้อมูล |
ข้อมูลคนต่างด้าวไม่สามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนได้กับทุกหน่วยงาน |
หน่วยงานด้านความมั่นคงสามารถใช้ข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น รง. (กรมการจัดหางาน) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เป็นต้น ได้ |
7. ความสะดวกในการบริการ |
เข้ารับบริการด้วยตนเองที่สำนักงานจัดหางานเฉพาะในเวลาราชการ |
การบริการผ่านระบบให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ตลอด 24 ชั่วโมง
|
8. การใช้ระบบทะเบียน |
อธิบดีและพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแต่งตั้ง |
- เป็นระบบที่เจ้าหน้าที่จะต้อง Login เพื่อมอบหมายสิทธิ์ให้ผู้รับจ้างปฏิบัติงาน - นายทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์สามารถควบคุม กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานได้ตลอดเวลาผ่านการโต้ตอบออนไลน์ |
9. การใช้ลายเซ็น |
ลายเซ็นปากกา (ใบอนุญาตทำงานแบบเล่ม) |
- ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างจากอัตลักษณ์ของนายทะเบียนและคนต่างด้าว - กรณีบัตรพลาสติก ลายเซ็นของนายทะเบียนอาจลงรูปลักษณ์เหมือนลายเซ็นจากปากกา หรือซ่อนลายเซ็นไว้สามารถตรวจสอบได้ |
10. ความโปร่งใส |
- ผู้ขอรับบริการตรวจสอบผ่านโทรศัพท์ ณ สำนักงานจัดหางานโดยตรง - การตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ |
สามารถตรวจสอบการปฏิบัติงานทุกขั้นตอนย้อนกลับได้ ผ่านระบบฐานข้อมูลที่บันทึกเก็บไว้
|
11. ระบบเอกสาร |
เอกสารรูปแบบกระดาษ |
เอกสารรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ |
*หมายเหตุ : การพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลแบบ 1 : 1 เป็นการตรวจพิสูจน์ยืนยันกับต้นแบบที่เคยลงทะเบียนไว้เท่านั้น และการระบุตัวบุคคล แบบ 1 : N เป็นการตรวจพิสูจน์ยืนยันกับต้นแบบที่อยู่ในระบบทั้งหมด
5. แนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าวฯ ยังมีความจำเป็นต้องเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้การดำเนินการออกใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างถูกต้อง รวมถึงหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลของแรงงานต่างด้าวได้อย่างรวดเร็วทันเวลา ซึ่งจะสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐทั้งในด้านการปกครองความมั่นคง และสาธารณสุข
5. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนสิงหาคม 2563 สรุปได้ดังนี้
1. การจัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 อปท. ทุกแห่ง ได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบถ้วนและบันทึกรายชื่อผู้สมัครในระบบรายงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Report) ของกรมการปกครองแล้ว 446,004 คน (เป้าหมาย 377,500 คน) และได้จัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ใน 64 จังหวัด 1,976 อปท. โดยมีผู้ผ่านการอบรมแล้ว จำนวน 102,665 คน
2. การฝึกทบทวนหลักสูตรจิตอาสา 904 (Upgrade) โรงเรียนจิตอาสาพระราชทานกำหนดให้มีการฝึกทบทวนหลักสูตรจิตอาสา 904 (Upgrade) จำนวน 7 รุ่น ระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม – 30 กันยายน 2563 ให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 แล้ว ได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตน เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน มีความเสียสละ มีระเบียบวินัย มีความเป็นผู้นำ และเป็นแกนหลักให้กับประชาชนในการทำหน้าที่ของจิตอาสา
3. การจัดกิจกรรมจิตอาสา 904 พบปะผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ ในการประชุมติดตามงานของศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.พระราชทาน) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563 ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) จัดกิจกรรมจิตอาสา 904 พบปะผู้นำชุมชน ประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ในทุกจังหวัด เพื่อเป็นเครือข่ายพัฒนาพื้นที่ร่วมกับจิตอาสาภาคประชาชน ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้พิจารณาจัดกิจกรรมที่มีความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ เช่น เทศกาลสำคัญของหมู่บ้าน การประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ ซึ่ง มท. ได้แจ้งให้จังหวัดดำเนินการจัดทำทำเนียบผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 ของทุกหน่วยงานในจังหวัด และจัดให้มีกิจกรรมจิตอาสา 904 ของจังหวัด พบปะผู้นำชุมชน ประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
4. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 มีจิตอาสาลงทะเบียน รวม 6,685,007 คน [จำแนกตามพื้นที่ (ภูมิลำเนา) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จำนวน 455,430 คน ส่วนภูมิภาค จำนวน 6,229,577 คน และจำแนกตามเพศ ได้แก่ เพศชาย จำนวน 2,974,775 คน เพศหญิง จำนวน 3,710,232 คน] และมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา จำนวน 51,276 ครั้ง กิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติ จำนวน 643 ครั้ง
6. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2563 โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
1.1 ความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติและการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
สาระสำคัญ
- แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการปฏิบัติที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบด้วย (1) จัดทำรายละเอียดโครงการสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ (2) จัดทำร่างแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ให้ทันต่อการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และ (3) จัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ให้แล้วเสร็จและนำเข้าระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ภายในเดือนกันยายน 2564 รวมทั้งจัดทำและนำเข้าแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และนำเข้ารายละเอียดข้อมูลโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในระบบ eMENSCR ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อใช้ประกอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานตามระเบียบว่าด้วยการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2562 ต่อไป
- จัดการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 พ.ศ. 2564 - 2565 ฉบับสมบูรณ์ จากกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เช่น ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเมือง ซึ่งได้รับความเห็น 529 ความเห็น สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (1) ควรเพิ่มเติมรายละเอียดของประเด็นการพัฒนาในแต่ละประเด็นให้ครอบคลุมกับมิติการพัฒนา เป้าหมายและแนวทางการพัฒนา (2) ควรเพิ่มเติมตัวชี้วัดให้ครอบคลุมและสะท้อนความก้าวหน้าของการดำเนินงาน รวมถึงความเหมาะสมของการปรับค่าเป้าหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ (3) ควรเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการคัดเลือกโครงการสำคัญในแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ และ (4) ควรให้ความสำคัญกับการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ โดยเน้นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน/โครงการ และการกำหนดกลไกการติดตามประเมินผลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ สศช. ได้นำความเห็นต่าง ๆ มาประมวลผลเพื่อประกอบการจัดทำร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ฉบับสมบูรณ์ และเสนอคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 คณะ พิจารณาแล้ว มีความเห็นให้ สศช. พิจารณาเพิ่มเติมความเหมาะสมของการปรับแนวทางให้มีความครอบคลุมสามารถรองรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การยกระดับภาคการเกษตร การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ความมั่นคงทางอาหาร และความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดย สศช. ได้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนพฤศจิกายน 2563 ต่อไป
- รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานการประชุมแนวทางแก้จนและความเหลื่อมล้ำในระดับพื้นที่โดยใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2563 ณ จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อรับทราบผลการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์จากระบบ TPMAP จากจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม ประกอบด้วย จังหวัดสมุทรสงคราม ขอนแก่น เชียงราย นครพนม นครศรีธรรมราช และอุทัยธานี และนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบคำสั่งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) เพื่อเป็นกลไกเชิงนโยบายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการและเป็นรูปธรรม
1.2 ความก้าวหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ
- ที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะได้มีมติเห็นชอบร่างแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ทั้ง 13 ด้าน โดยร่างแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) จะบรรจุเฉพาะกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ที่สามารถดำเนินการและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมในช่วงปี 2564 – 2565 และยังคงเป็นแผนระดับที่ 2 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติตามหลักความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลเพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติของแต่ละช่วงเวลา 5 ปี
1.3 ผลการดำเนินการอื่น ๆ
- คาดว่าจะรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาในช่วงเดือนธันวาคม 2563 โดยในการรายงานครั้งต่อไป สศช. จะปรับรูปแบบการรายงานเป็นการรายงานเฉพาะกิจกรรมปฏิรูปประเทศ ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock)
- พัฒนาเว็บไซต์ ThaiME เพื่อเผยแพร่ข้อมูลความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตาม และตรวจสอบการดำเนินโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 นอกจากนี้ เว็บไซต์ ThaiME ได้เผยแพร่ข้อมูลให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ได้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- สร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ เช่น (1) กิจกรรมสร้างสรรค์ภาพด้วยเทคนิคดิจิทัลอาร์ตสำหรับนักเรียน นักศึกษา โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมแข่งขัน จำนวน 183 ผลงาน สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองและความคิดต่อประโยชน์ของยุทธศาสตร์ชาติในการเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศไทย เช่น เกษตรกรกับการผลิตแบบใหม่ การเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภาครัฐแห่งความโปร่งใส และแรงงานคุณภาพ และ (2) จัดทำสื่อวีดีทัศน์การสร้างความตระหนักรู้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มวัยที่อยู่ในช่วงอายุ 10 – 30 ปี
2. ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ
- ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ คือ การจัดสรรงบประมาณที่สอดคล้องกับการดำเนินการที่สามารถขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ โดย สงป. สามารถใช้ข้อมูลห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทยเพื่อประกอบการพิจารณาและวิเคราะห์โครงการที่ควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณ โดยเฉพาะองค์ประกอบและปัจจัยของห่วงโซ่คุณค่าของเป้าหมายแผนแม่บทย่อยที่ยังไม่มีโครงการสำคัญรองรับ
7. เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 (จำนวน 10 เรื่อง) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2538 ที่ให้ถือว่าการประชุม กก.วล. เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีเรื่องสิ่งแวดล้อม และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 (เรื่อง มติ กก.วล. ครั้งที่ 10/2548 ครั้งที่ 11/2548 และครั้งที่ 12/2548 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548) ที่ให้นำมติ กก.วล. เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่สำคัญ และเรื่องที่ กก.วล. พิจารณาได้ข้อยุติแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ สรุปได้ดังนี้
เรื่อง |
มติ กก.วล. |
เรื่องเพื่อทราบ (จำนวน 1 เรื่อง) |
|
1. รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2562 |
รับทราบรายงานสถานการณ์มลพิษฯ ตามที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเสนอ โดยการจัดทำรายงานฯ ในปีถัดไปให้ ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) เพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา เช่น สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ตามความเห็นของ กก.วล. ด้วยและมอบให้ ทส. กำกับ ดูแล ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคได้อย่างปลอดภัย |
เรื่องพิจารณา (จำนวน 9 เรื่อง) |
|
2. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (จำนวน 7 โครงการ) |
|
2.1) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ (FSRU) ไปยังโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |
ข้อ 2.1 – 2.6 เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้ง 5 โครงการ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ ดำเนินการ ดังนี้ 1) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ อย่างเคร่งครัด และ 2) ให้ตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขฯ และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบฯ ตามที่กำหนดไว้ เห็นชอบตามความเห็นของ คชก. ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ดังนี้ 1) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขฯ ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ อย่างเคร่งครัด และ 2) ให้ตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขฯ และมาตรการติดตามตรวจสอบ ผลกระทบฯ ตามที่กำหนดไว้ |
2.2) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ของการรถไฟแห่งประเทศไทย |
|
2.3) โครงการถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนแยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 205-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 226 จังหวัดนครราชสีมา ของกรมทางหลวง |
|
2.4) รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (บริเวณศูนย์บริการทางหลวง) ของกรมทางหลวง |
|
2.5) โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานตรัง ของกรมท่าอากาศยาน |
|
2.6) โครงการอาคารเช่าสำหรับข้าราชการผู้มีรายได้น้อย จังหวัดสกลนคร ของการเคหะแห่งชาติ |
|
2.7) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 และ 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) |
1) เห็นชอบตามความเห็นของ คชก. ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ โดยให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขฯ รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบฯ ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ อย่างเคร่งครัด และให้ตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขฯ และมาตรการติดตามตรวจสอบ ผลกระทบฯ ตามที่กำหนดไว้ 2) เห็นชอบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตามความเห็นของ คชก. และกก.วล. ดังนี้ 2.1) ให้กระทรวงคมนาคม (คค.) ผลักดันให้มีการเก็บเงินค่าธรรมเนียม Noise Charge และ Air Pollution Charge จากสายการบินมาไว้ในกองทุนสิ่งแวดล้อมท่าอากาศยาน สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมทั้งเร่งรัดการจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้แล้วเสร็จโดยร็ว และ 2.2) ให้ คค. และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อพิจารณาผลักดันในเรื่องของการใช้ประโยชน์ ที่ดินโดยรอบท่าอากาศยาน ตามที่ กก.วล ในการประชุมครั้งที่ 6/2562 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 ให้ความเห็นชอบกับร่างมาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ |
3. ด้านการจัดการมลพิษ (จำนวน 2 เรื่อง) |
|
3.1) การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ |
เห็นชอบการปรับปรุงค่ามาตรฐานระดับเสียงฯ ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และมอบหมายให้ ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) นำร่างประกาศ ทส. เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ พ.ศ. .... เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามต่อไป |
3.2) การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทการเลี้ยงสุกร |
เห็นชอบการปรับปรุงค่ามาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งฯ ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และมอบหมายให้ ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) นำร่างประกาศ ทส. เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทการเลี้ยงสุกร เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามต่อไป |
8. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีในการรับเข้าทำงานกับบริษัทเอกชน
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีในการรับเข้าทำงานกับบริษัทเอกชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบ กรณีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งส่งตัวพนักงานที่อยู่ระหว่างการทดลองงานเข้ารับการตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งโดยไม่แจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าว่าจะต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวี และโรงพยาบาลดังกล่าวได้ส่งผลการตรวจสุขภาพให้กับบริษัทฯ ซึ่งต่อมาผลการตรวจเกิดรั่วไหล ทำให้พนักงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับความอับอาย และถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยหรือค่าเสียหายใด ๆ ผู้ร้องเห็นว่า เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี
2. กสม. ได้พิจารณาแล้วมีความเห็น ดังนี้
2.1 ประเด็นร้องเรียนที่ 1 กรณีบริษัทฯ ส่งตัวพนักงานที่อยู่ระหว่างการทดลองงานเข้ารับการตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลฯ ก่อนที่จะบรรจุเป็นพนักงานประจำโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าจะต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวี เพื่อคัดกรองตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นพนักงาน แต่ระเบียบดังกล่าวมิได้ระบุหรือครอบคลุมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์ การตรวจสุขภาพของพนักงานเพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวี จึงเป็นการดำเนินการเกินความจำเป็นนอกเหนือจากขอบเขตของระเบียบ ดังนั้น การกระทำของบริษัทฯ เป็นการกำหนดเงื่อนไขในการจ้างงาน โดยอาศัยเหตุความแตกต่างในเรื่องสภาพทางกายหรือสุขภาพ อีกทั้งไม่ได้แจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าว่าจะต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวี จึงถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อพนักงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีซึ่งขัดต่อหลักความเสมอภาคอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ได้รับรองไว้
2.2 ประเด็นร้องเรียนที่ 2 กรณีบริษัทฯ แจ้งการเลิกจ้างพนักงานผู้ติดเชื้อเอชไอวี เป็นการอ้างการติดเชื้อเอชไอวีเพื่อเป็นเงื่อนไข หรือเป็นหลักเกณฑ์ตัดสินว่าพนักงานผู้นั้นขาดคุณสมบัติในการทำงาน จึงเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมในการจ้างงานโดยอาศัยเหตุความแตกต่างในเรื่องสภาพทางกายหรือสุขภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ภายหลังบริษัทฯ ได้ให้พนักงานคนดังกล่าวไปทำงานกับบริษัทในเครือเดียวกันแล้ว กสม. เห็นว่า หากเป็นเรื่องที่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว จึงควรยุติเรื่องในประเด็นนี้
2.3 ประเด็นร้องเรียนที่ 3 กรณีโรงพยาบาลฯ ส่งผลการตรวจสุขภาพของพนักงานอันเป็นข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บริษัทฯ ตามข้อตกลงที่ทำไว้ และเกิดการรั่วไหลของข้อมูลดังกล่าว ซึ่งผลการตรวจสุขภาพเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 ที่กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วย เว้นแต่ได้รับความยินยอมโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การกระทำของโรงพยาบาลฯ ถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นความลับโดยเจ้าของข้อมูลมิได้ให้ความยินยอมอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสม. จึงได้มีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ยธ. รายงานว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พม. รง. ศธ. สธ. สคก. แล้ว เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 สรุปได้ ดังนี้
ข้อเสนอแนะของ กสม. |
สรุปผลการพิจารณาในภาพรวม |
1. ครม. ควรดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการตรากฎหมายว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่เป็นระบบ เหมาะสม และสอดคล้องกับวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม รวมถึงบริบทของสังคมไทยเพื่อดำเนินการคุ้มครอง ช่วยเหลือ และเยียวยาบุคคลทุกกลุ่ม จากการถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม |
ยธ. โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... ฉบับประชาชน และได้จัดประชุมคณะทำงานฯ โดยมีผู้แทนจากภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการและเห็นควรยกร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... เพื่อให้เป็นกฎหมายกลางในการขจัดการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย และต่อมาได้แต่งตั้งคณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... เพื่อศึกษาข้อมูลและสถิติข้อร้องเรียนที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติ รวมทั้งได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งที่ผ่านมาคณะทำงานฯ ได้มี การประชุมเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง |
2. รง. ควรมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน ติดตาม และผลักดันให้สถานประกอบกิจการจัดทำนโยบายการป้องกันและการบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานประกอบกิจการ ตามแนวทางในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง แนวทางการป้องกันและบริหารจัดการด้านเอดส์และวัณโรคในสถานประกอบกิจการ ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และปิดประกาศไว้ในสถานประกอบกิจการ รวมทั้งนำนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง |
รง. โดย กสร. ได้จัดทำหนังสือถึงสำนักงานสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และในกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ เพื่อส่งเสริมให้นายจ้างปฏิบัติตามประกาศกระทรวงแรงงานในเรื่องดังกล่าว และได้มีหนังสือประชาสัมพันธ์ให้นายจ้างทราบเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เพื่อมิให้นายจ้างเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีของลูกจ้างโดยไม่ได้รับการยินยอมจากลูกจ้าง หากละเมิดจะได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงได้จัดตั้งคณะทำงานพิจารณา แก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อยกร่างประกาศกระทรวงแรงงานฯ โดยมีข้อกำหนดที่เหมาะสมกับสถานประกอบกิจการขนาดเล็กหรือที่ยังไม่มีความพร้อมให้สามารถนำข้อปฏิบัติต่าง ๆ ไปใช้ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มเติมเนื้อหาของแบบตรวจของพนักงานตรวจแรงงานให้มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิลูกจ้างผู้ติดเชื้อเอชไอวีและเอดส์ และพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ให้มีการคุ้มครองสิทธิและไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างผู้ติดเชื้อเอชไอวีและเอดส์ที่ชัดเจนขึ้น พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมการจัดหางานพิจาณณาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ แนวปฏิบัติ หรือดำเนินการใด ๆ เพื่อคุ้มครองคนหางานโดยไม่ต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวีในช่วงการสมัครงาน |
3. สธ. ควรบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลในการควบคุมให้สถานพยาบาลหรือสถานบริการทางการแพทย์ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ถือปฏิบัติในการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีให้แก่ผู้เข้ารับการตรวจ โดยเฉพาะการรักษาความลับของข้อมูลด้านสุขภาพของผู้เข้ารับการตรวจหรือผู้ป่วย ตามข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 นโยบายแห่งชาติว่าด้วยการตรวจเอดส์ และแนวทางปฏิบัติของแพทย์เกี่ยวกับเอชไอวีอย่างเคร่งครัด เพื่อคุ้มครองสิทธิและความเสมอภาคของผู้ติดเชื้อเอชไอวี |
สธ. ได้แจ้งเวียนแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้ป่วยให้กับผู้ประกอบการและผู้ดำเนินการสถานพยาบาลประเภทคลินิก เพื่อแจ้งแนวปฏิบัติเรื่องการปกปิดข้อมูลความลับด้านสุขภาพของผู้ป่วยให้ทราบ และยึดถือเป็นแนวปฏิบัติโดยทั่วกัน พร้อมทั้งได้จัดทำประกาศรับรองสิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย โดยร่วมมือกับผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภากายภาพบำบัด สภาเทคนิคการแพทย์ และคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งระบุชัดเจนว่า ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับการปกปิดข้อมูลตนเอง เว้นแต่ผู้ป่วยจะให้ความยินยอม หรือเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อประโยชน์โดยตรงของผู้ป่วย หรือตามกฎหมาย นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ เรื่อง แนวปฏิบัติแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและบริการจัดการด้านเอดส์ในสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นมาตรการที่ส่งเสริมให้หน่วยงานสนับสนุนการดำเนินงานในการป้องกัน ดูแล และคุ้มครองสิทธิบุคลากรในหน่วยงานให้ปลอดภัยจากเอชไอวีด้วยความสมัครใจ รวมถึงจัดทำแนวทางการบริการปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี สำหรับสถานบริการสุขภาพ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิผู้ป่วยให้กับบุคลากร/เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน |
9. เรื่อง[แทรก/แก้ไข Anchor] รายงานการประเมินความคุ้มค่าของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีรับทราบมติและข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.)เรื่อง รายงานการประเมินความคุ้มค่าของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพม. เสนอ ดังนี้
เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 มีมติมอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเร่งดำเนินการประเมินผลการดำเนินการของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. ว่าเกิดผลสัมฤทธิ์หรือมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับภาระงบประมาณ และสมควรยุบเลิกหรือไม่ตามนัยมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ซึ่งต้องดำเนินการภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
สาระสำคัญ
1. กพม. ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 มีมติเห็นชอบกรอบการประเมินความคุ้มค่า บจธ. ซึ่งมีหลักในการพิจารณาจากผลการดำเนินงานตามบทบาท ภารกิจนับตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง บจธ. ในปี 2554 ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ให้ได้ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและมีประโยชน์ที่สมดุลกับทรัพยากรที่ใช้ ทั้งที่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้ ประกอบด้วยมิติการประเมิน 6 มิติ ดังนี้
มิติที่ 1 ประสิทธิภาพ การประเมินความมีประสิทธิภาพของการบริหารจัดการทรัพยากรว่าเป็นไปอย่างเกิดประโยชน์สูงสุดหรือไม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิต (output) ตามวัตถุประสงค์ โดยพิจารณาจากผลผลิตเทียบกับต้นทุนหรือปัจจัยนำเข้าทั้งหมด
มิติที่ 2 ประสิทธิผล การประเมินผลการดำเนินโครงการที่สะท้อนผลสำเร็จ
ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดเป็นผลลัพธ์ (outcome) และเป้าหมายหรือไม่ โดยเปรียบเทียบผลผลิตที่ได้รับ
กับเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ก่อนดำเนินโครงการ
มิติที่ 3 ผลกระทบ การวิเคราะห์ผลที่ได้รับต่อเนื่องจากประสิทธิผลโครงการ
ว่านำไปสู่การบรรลุเป้าประสงค์ของการพัฒนาหรือไม่ โดยครอบคลุมถึงผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมผลกระทบด้านบวกและด้านลบ ผลกระทบที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน ผลกระทบที่คาดหมายและไม่ได้คาดหมาย
มิติที่ 4 การควบคุมดูแลกิจการ การประเมินการบริหารจัดการองค์กรในเชิงการควบคุมดูแล เพื่อให้ทรัพยากรขององค์กรถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ตรงตามเป้าหมาย
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตอบแทนกลับไปยังผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นธรรม
มิติที่ 5 การวิเคราะห์ความซ้ำซ้อนในการดำเนินการตามบทบาท ภารกิจของ บจธ. การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่น สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(ส.ป.ก.) กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) และกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน
มิติที่ 6 การวิเคราะห์ความจำเป็นในการใช้อำนาจรัฐ การวิเคราะห์ความจำเป็น
ในการใช้อำนาจรัฐขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในการได้มาซึ่งที่ดิน เช่น การเวนคืนที่ดิน
2. สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพม. ได้พิจารณารายงานการประเมินความคุ้มค่าของ บจธ. ตามกรอบการประเมินดังกล่าวแล้ว สรุปผลการประเมินและความเห็น ดังนี้
2.1 สรุปผลการประเมิน บจธ. ได้ดังนี้
มิติการประเมิน |
สรุปผล |
---|---|
1. ประสิทธิภาพ |
รายงานผลการประเมินตนเองของ บจธ. ยังขาดความครบถ้วนและชัดเจน |
2. ประสิทธิผล |
บจธ. มีความคุ้มค่าในด้านประสิทธิผลในระดับโครงการและผลผลิต และสามารถดำเนินการได้ดีตามวัตถุประสงค์ด้านการกระจายการถือครองที่ดิน แต่ยังไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์จากการใช้ประโยชน์ในที่ดินและ |
3. ผลกระทบ |
ระยะเวลาการเข้าใช้ประโยชน์ของเกษตรกรในพื้นที่ยังไม่เกิดผล |
4. การควบคุมดูแลกิจการ |
ผลการดำเนินงานของ บจธ. แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในมิติการควบคุม ดูแลกิจการ เนื่องจาก บจธ. มีการบริหารจัดการองค์กรและคะแนนความโปร่งใสขององค์กรตามผลการประเมินการปฎิบัติงานประจำปีอยู่ในระดับสูง ซึ่งถือว่าเป็นการดำเนินการที่ส่งเสริมให้องค์การมหาชนมีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีศักยภาพในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 เรื่อง แนวทางการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน |
5. การวิเคราะห์ความซ้ำซ้อนในการดำเนินการตามบทบาท ภารกิจของ บจธ.
|
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระจายการถือครองที่ดินและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกิน ให้มีความชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นภาระกับงบประมาณ ตลอดจนสร้างความชัดเจนและลดความสับสนในการขอรับความช่วยเหลือจากรัฐของประชาชนหรือเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายด้วย |
6. การวิเคราะห์ความจำเป็นในการใช้อำนาจรัฐฝ่ายเดียวอันกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่ (ธนาคารที่ดิน) ในการได้มาซึ่งที่ดิน
|
|
2.2 ความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
1) โดยที่มาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 กำหนดให้มีการประเมินความคุ้มค่าของ บจธ. ภายในหนึ่งปีนับจากวันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2562 แต่ด้วยหลักการของการประเมินความคุ้มค่าตามกรอบการประเมินตามมติ กพม. ได้กำหนดระยะเวลาการรายงานผลการดำเนินการนับตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง บจธ. ในปี 2554 ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 อาจมีข้อจำกัดในการจัดเก็บข้อมูลย้อนหลังภายในระยะเวลาอันจำกัด ส่งผลให้รายงานผลการประเมินตนเองของ บจธ. ยังขาดความครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอที่จะวิเคราะห์เพื่อประเมินความคุ้มค่า บจธ. ได้ ประกอบกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดให้มีการประเมินผล บจธ. ทุกปี สำนักงาน ก.พ.ร. จึงเห็นควรรับทราบรายงานการประเมินตนเองของ บจธ. และเสนอให้ กพม. ดำเนินการประเมินความคุ้มค่าต่อเนื่องในปีถัดไป โดยจะครบกำหนดในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เพื่อให้ บจธ. ได้มีระยะเวลาในการจัดเก็บและตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของข้อมูลผลการดำเนินงาน ได้แก่ สัดส่วนผลผลิตต่อค่าใช้จ่าย ต้นทุนต่อหน่วย ความสำเร็จในการบรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ข้อ Cost-Effectiveness และผลกระทบทุกด้านภายหลังเกษตรกรและผู้ยากจนเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่
2) การเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารที่ดินตามมาตรา 6
เห็นควรให้ กพม. เสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ดูแลนโยบายภาพรวมของการบริหารจัดการที่ดินทั้งประเทศ เป็นผู้พิจารณาบทบาทภารกิจของหน่วยงานที่จะตั้งขึ้นใหม่ โดยเฉพาะในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการกระจายการถือครองที่ดินและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร/ผู้ยากจนที่มีปัญหาเกี่ยวกับที่ดินทำกินให้ชัดเจน โดยเปรียบเทียบกับหน่วยงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในภารกิจและส่งเสริมการทำงานระหว่างหน่วยงานและให้การมีอยู่ของหน่วยงานเหล่านั้นเกิดประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่องบประมาณ
3. กพม. ในการประชุมครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ได้พิจารณารายงานการประเมินความคุ้มค่า บจธ. ตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ แล้วมีมติและข้อสังเกต ดังนี้
3.1 เห็นชอบตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ และเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการประเมินความคุ้มค่าของ บจธ. ที่ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการสำหรับรอบการประเมิน
วันที่ 7 มิถุนายน 2563 ในเบื้องต้น เพื่อเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และเห็นควรให้ บจธ. ส่งข้อมูลที่ยังขาดความครบถ้วนสมบูรณ์ตามกรอบการประเมินที่ กพม. กำหนด ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพม. นำมาใช้สำหรับการประเมินต่อเนื่องในปีถัดไป ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 7 มิถุนายน 2564
3.2 เห็นควรเสนอข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินงานตามบทบาทภารกิจของ บจธ. ต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1) ด้วยนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินของเอกชนแทนที่การถือครองไว้แล้วปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า จึงเป็นโอกาสที่ บจธ. จะมีบทบาทเป็นตัวกลางระหว่างเจ้าของที่ดินเอกชนกับเกษตรกรหรือผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่ดินทำกินหรือมีแต่ไม่เพียงพอในการเช่าที่ดินของเอกชน เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างคุ้มค่า
2) บจธ. ควรเร่งดำเนินการเสนอกฎหมายจัดตั้งธนาคารที่ดินให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งฯ
10. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 14/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เสนอ สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 14/2563 เมื่อวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ดังนี้
สรุปสถานการณ์ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะ
1. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์ฯ ดังนี้
1) สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 มีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 55,915,903 ราย โดยประเทศที่พบผู้ติดเชื้อมาก 3 ลำดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย และบราซิล สำหรับประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานการณ์น่าห่วงกังวล อาทิ เมียนมา และมาเลเซีย ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,569 ราย และ 1,210 ราย ตามลำดับ
2) สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทย ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 พบผู้ป่วยรายใหม่ 2 ราย ปัจจุบันมีผู้ป่วยยืนยันสะสม จำนวน 3,880 ราย เป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,427 ราย (ร้อยละ 36.78) หายป่วยแล้ว 3,729 ราย (ร้อยละ 96.11) เสียชีวิต 60 ราย (ร้อยละ 1.55) และกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล 91 ราย (ร้อยละ 2.35)
2. ความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนโรคโควิด - 19 ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด - 19 ของต่างประเทศ และวัคซีนของประเทศไทยที่กำลังพัฒนาและมีความก้าวหน้ามากที่สุด ซึ่งปรากฏผลการทดสอบได้ผลดีในลิง และเตรียมเข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ ระยะที่ 1 ในช่วงต้นปี 2564 รวมถึงแนวทางการดำเนินการเพื่อให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนโควิด - 19 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้ากับบริษัท AstraZeneca และการจัดซื้อวัคซีนกับบริษัท AstraZeneca (Thailand) จำกัด และบริษัท AstraZeneca UK จำกัด ในวงเงิน 6,049,723,117 บาท เพื่อจัดหาวัคซีนร้อยละ 20 ของประชากร หรือ 13 ล้านคน จำนวน 26 ล้านโดส ทั้งนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติจะจัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า (Advance Market Commitment: AMC) ในวงเงิน 2,379,430,600 บาท
3. การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 ตามแนวชายแดน ที่ประชุมรับทราบรายงานฯ ดังนี้
1) การสกัดกั้นและจับกุมบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยบูรณาการปฏิบัติการของกองกำลังป้องกันชายแดน เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สถิติการจับกุมบุคคลต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดนระหว่างเดือนมิถุนายนและเดือนพฤศจิกายน (1 - 17 พฤศจิกายน 2563) ลดลงร้อยละ 45 ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
2) การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ตามแนวชายแดน โดยสรุปยอดการเดินทางเข้าประเทศไทยของผู้มีสัญชาติไทยผ่านช่องทางพื้นที่ชายแดน ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน - 17 พฤศจิกายน 2563 มีผู้เดินทางเข้า จำนวน 31,548 คน พ้นระยะกักกัน 14 วัน และส่งกลับภูมิลำเนา จำนวน 31,067 คน คงเหลือในระยะกักกัน 14 วัน จำนวน 481 คน ทั้งนี้ การดำเนินการตามมาตรการสำหรับจังหวัดชายแดนที่มีช่องทางขนส่งสินค้า 27 จังหวัด เป็นไปอย่างเข้มงวด
4. รายงานความคืบหน้าการดำเนินมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมาย ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าฯ ดังนี้
1) การอนุญาตให้บริษัท เอ็นเอ็มบี - มินิแบ ไทย จำกัด นำผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยกเว้นการกักตัว 14 วัน
2) การอนุญาตให้นักบินต่างชาติเข้ามาทำการตรวจสอบความเชี่ยวชาญของนักบิน (PPC) โดยใช้เครื่องจำลองการฝึกบิน (Flight Simulator) ในประเทศไทย
3) มาตรการทางสาธารณสุขรองรับการจัดการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติ “BWF World Tour” ในประเทศไทย
4) การผ่อนผันให้บุคคลต่างชาติสามารถเดินทางเข้าประเทศโดยเข้ารับการกักกันตัวในแบบ Wellness Quarantine รูปแบบกีฬา Golf Quarantine
ข้อสังเกตที่ประชุม
เห็นควรให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหาแนวทางการตรวจคัดกรองโรคโควิด - 19 ณ ท่าอากาศยาน เนื่องจากตามกำหนดการจัดการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติ “BWF World Tour” นักกีฬาต่างชาติจะเดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 4 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงหลังหยุดเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้อาจไม่สามารถหาใบรับรองแพทย์ (Health Certificate) ที่ออกให้โดยมีระยะเวลาไม่เกิน ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทางได้ทันเวลา
5. ที่ประชุมเห็นควรให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 8) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2564 เพื่อความปลอดภัยด้านสาธารณสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่และรักษาความพร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับนานาชาติ BWF World Tour ระหว่างวันที่ 12 - 31 มกราคม 2564
6. การขยายเวลาในการปิดห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ฯลฯ ในเวลาภายหลัง 22.00 น. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการตามที่กรุงเทพมหานครเสนอขยายเวลาปิดสถานประกอบการดังกล่าว
ในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ให้สามารถปิดหลังเวลา 22.00 น. ได้ตามความพร้อมและความสมัครใจ
7. การขยายเวลาปิดสถานบันเทิง สถานบริการ ให้เป็นไปตามเวลาปกติของแต่ละกิจการตามที่กฎหมายกำหนด ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขยายเวลาปิดสถานบันเทิง สถานบริการ ให้เป็นไปตามเวลาปกติของแต่ละกิจการตามที่กฎหมายกำหนดในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
8. การเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมในการประชุม การอบรม การสัมมนา การจัดนิทรรศการ
การจัดแสดงสินค้า การจัดเลี้ยง งานพิธี หรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครเสนอเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยไม่จำกัดพื้นที่ต่อผู้เข้าชม
9. การเพิ่มจำนวนผู้ชมการแสดงคอนเสิร์ต ดนตรี การแสดงนาฏศิลป์ และโรงภาพยนตร์ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอยกเลิกการจำกัดจำนวนผู้ชมและเพิ่มอัตราส่วนของผู้ชมการแสดงจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 50 ของพื้นที่จัดการแสดง
10. การกำหนดมาตรการด้านสาธารณสุขสำหรับสถานที่กักกันตัวในรูปแบบ Area Quarantine
ที่ประชุมรับทราบแนวทางการกักกันตัวในรูปแบบ Area Quarantine (10 + 4 วัน) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ (1) ให้เข้ารับการกักกันใน Original Quarantine จำนวน 10 วัน และคุมไว้สังเกต (ใน Alternative State Quarantine) จำนวน 4 วัน โดยให้มีการกำกับติดตามอย่างใกล้ชิด (2) ให้ใช้เฉพาะกับบุคคลต่างชาติที่มาจากกลุ่มประเทศที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (3) ให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 เป็นต้นไป โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้พิจารณากำหนดวันและเวลาเริ่มต้นตามความเหมาะสม และ (4) การกักกันตัวในรูปแบบ Area Quarantine เป็นขั้นตอนเตรียมความพร้อมสำหรับการลดเวลากักกันตัวเป็น 10 วัน ในลำดับต่อไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดการกักกันตัวในรูปแบบ Area Quarantine และประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายใน 6 สัปดาห์ เพื่อเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ต่อไป
ข้อสังเกตที่ประชุม
1. เห็นควรให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก โดยการจัดทำข้อมูลและผลการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) และชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคเอกชนและทูตต่างประเทศในเรื่องมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น
2. เห็นควรพิจารณาให้ใช้การกักกันตัวในรูปแบบ Area Quarantine (10 + 4 วัน) กับคนไทย
ที่เดินทางมาจากต่างประเทศด้วย
11. การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวบริเวณชายแดนเข้ารับการกักกันตัวใน Organizational Quarantine เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบจัดตั้ง Organizational Quarantine สำหรับการกักกันแรงงานต่างด้าวบริเวณชายแดนที่อยู่ในเกณฑ์ผู้เสี่ยงสูง โดยในขั้นตอนการดำเนินการให้เป็นไปตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และให้พิจารณาการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ข้อสังเกตที่ประชุม
1. เห็นควรให้มีการตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับสำหรับการพบผู้ติดเชื้อโควิด - 19 และให้มีการควบคุมพื้นที่ (Seal Area) กรณีที่พบผู้ติดเชื้อโควิด - 19 แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าติดมาจากที่ใด
2. เห็นควรให้มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยว (High Season) โดยให้มีการจัดสถานที่สำหรับกักกัน (Quarantine) ของนักท่องเที่ยว และมาตรการรองรับอื่น ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
1. ให้กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจกิจกรรมและสถานประกอบการอย่างต่อเนื่องและให้มีการตรวจสอบซ้ำด้วย
2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ ชี้แจง และทำความเข้าใจกับประชาชนให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมาย
3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาตรวจและบริหารกิจการหรือขยายการลงทุนในประเทศ
4. ให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณามาตรการด้านสาธารณสุขสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ โดยอาจกำหนดสถานที่และการกักกันตัว จำนวน 14 วัน เช่น บริเวณพื้นที่โรงแรมที่มีพื้นที่ชายหาด เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องสร้างความร่วมมือและสร้างความเข้าใจกับโรงแรมและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย
5. ให้ทุกหน่วยงานมอบหมายผู้แทนและแจ้งข้อมูลสำหรับการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อความต่อเนื่องและความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินงาน
6. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ความสำเร็จในการดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ของประเทศไทย โดยพิจารณาได้จากผลการจัดอันดับประเทศไทย เช่น (1) การจัดอันดับดัชนีที่แสดงถึงการฟื้นตัวของแต่ละประเทศจากสถานการณ์ของโรคโควิด - 19 (Global COVID-19 Index (GCI)” โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับหนึ่งในโลกในด้านการฟื้นตัวจากการโควิด – 19 (2) รายงาน 2019 Global Health Security Index ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ของสหรัฐอเมริกา จัดอันดับประเทศทั้งหมดรวม 195 ประเทศ โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก และอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชีย และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 13 ประเทศที่มีความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดได้มากที่สุด เป็นต้น
7. ให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการ Special Tourist Visa (STV) โดยคำนึงถึงนโยบายและปัจจัยภายในของประเทศที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมาประกอบการพิจารณา เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการที่มีประสิทธิภาพ ตรงตามวัตถุประสงค์ และไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับมิตรประเทศต่อไปในอนาคต
8. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกันพิจารณานำนวัตกรรมหรือแอปพลิเคชันให้สามารถใช้ได้ทั้งในการติดตามตัวและตรวจสอบผู้เข้ารับการกักตัว รวมทั้งบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถตอบสนองข้อเสนอของประเทศเป้าหมายของมาตรการ Special Tourist Visa (STV)
11. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 15 มกราคม 2564 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 7) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 เพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศ
การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศบค.) ได้เชิญหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการในด้านต่าง ๆ ตามพระราชกำหนดฯ ผู้แทนส่วนราชการและประชาคมข่าวกรองเข้าร่วมการประชุม โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน เพื่อประเมินผลการปฏิบัติของส่วนราชการต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินและพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ในภาพรวมทั่วโลกยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและพบการระบาดระลอกที่สอง ในหลายภูมิภาค โดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นประมาณวันละ5 แสนคนทั่วโลก โดยปัจจุบันประเทศหลายประเทศในทวีปยุโรปได้กลับมาใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดอีกครั้ง นอกจากนี้จากการประเมินขององค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว โดยคาคว่าจะมีผู้ติดเชื้อ 60 - 62 ล้านคนทั่วโลก
2. นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ในประเทศเพื่อนบ้านยังคงน่าวิตก โดยในประเทศเมียนมาและมาเลเซียพบผู้ติดเชื้อประมาณหนึ่งพันคนต่อวัน และประเทศกัมพูชายังตรวจพบเจ้าหน้าที่อารักขารัฐมตรีฮังการีติดเชื้อ 1 ราย สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยยังคงอยู่ในห้วงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่เนื่องจากมีการพบผู้ติดเชื้อในกลุ่มนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
3. ที่ประชุมยังให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมว่ามีความจำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุขรองรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2564 รวมถึงการจัดการแข่งขันแบตมินตันระดับนนาชาติ (BWF World Tour) ที่จะจัดขึ้นในประเทศไทยระหว่างวันที่ 12-31 มกราคม 2564 ซึ่งจะมีการรวมกลุ่มของประชาชน การเดินทางข้ามจังหวัดและการเดินทางเข้าออกประเทศมากกว่าในเวลาปกติ อีกทั้งปัจจุบันยังปรากฏสถานการณ์การรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อชุมนุมประท้วงซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคควิด - 19 ในระลอกที่สองอีกด้วย
4. ที่ประชุมเห็นพ้องว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอย่างเพียงพอในการปฏิบัติงานที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการคุ้มครองการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างเหมาะสมต่อไป
5. สมช. ได้นำผลการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 14/2563 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุม และมีมติให้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป
12. เรื่อง ร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (พ.ศ. 2563) และแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง (แผนเฉพาะกิจฯ) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนเฉพาะกิจฯ ต่อไปตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ส่วนร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (ร่างแผนปฏิบัติการฯ) (พ.ศ. 2563) ให้ ทส. นำแผนดังกล่าวเสนอไปยังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
แผนเฉพาะกิจฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง โดยเฉพาะในช่วงเกิดสถานการณ์ โดยมีรายละเอียด เช่น
1. การสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย (เช่น แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และจัดทำแผนประชาสัมพันธ์)
2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภายใต้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อเป็นกลไกหลักในการกำกับดูแลและรับมือสถานการณ์
3. การบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า โดยการเก็บขน และใช้ประโยชน์เศษวัสดุในป่า และการบริหารจัดการเชื้อเพลิงใน 17 จังหวัดภาคเหนือ
4. สร้างเครือข่าย อาสาสมัคร และจิตอาสา เป็นกลไกหลักเข้าถึงพื้นที่ ทั้งสื่อสาร ติดตาม เฝ้าระวัง และดับไฟ
5. เร่งขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ภายใต้ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน โดยกำหนดเป้าหมาย 12 จังหวัดภายในปี 2563 และครบ 76 จังหวัด ภายในปี 2570
6. เร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายโอนภารกิจการควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
7. การพยากรณ์ฝุ่นละอองล่วงหน้า 3 วัน เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
8. ประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในการรายงานปริมาณฝุ่นละอองเชิงพื้นที่ โดยเริ่มใช้วันที่ 1 ธันวาคม 2563
9. พัฒนาระบบคาดการณ์ และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาและใช้งานแอปพลิเคชันบัญชาการการดับไฟป่า โดยเริ่มใช้วันที่ 1 ธันวาคม 2563
10. บริหารจัดการเชื้อเพลิงโดยใช้แอปพลิเคชันลงทะเบียนจัดการเชื้อเพลิง
11. ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลป่าไม้ และลดการเผาป่าผ่านการจัดที่ดินทำกิน
12. เจรจาสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งระดับอาเซียน ระดับทวิภาคี และระดับพื้นที่ชายแดน
13. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 28/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 28/2563 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 8(1) ของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดฯ) และมาตรา 4 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
1. รับทราบกรอบแนวคิดการจัดทำแผนงานหรือโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ รอบที่ 2 วงเงิน 152,000 ล้านบาท และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางการพิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามมติคณะกรรมการฯ ดังนี้
1.1 กลไกการพิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย 2 กรณี ได้แก่ (1) กรณีที่หน่วยงานส่วนกลางเสนอโครงการฯ และ (2) กรณีที่หน่วยงานในระดับพื้นที่เสนอโครงการให้หน่วยงานระดับพื้นที่จัดทำข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการฯ กำหนด เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด ซึ่งมีรัฐมนตรีรับผิดชอบพื้นที่ในแต่ละจังหวัดให้ความเห็นชอบก่อนเสนอผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของจังหวัดก่อนนำเสนอ สศช. เพื่อรวบรวมเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
1.2 เห็นชอบให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยเพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน ป.ป.ท. เพื่อให้การทำงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ เป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
1.3 มอบหมายให้ สศช. สงป. และ มท. ร่วมกันจัดทำคู่มือ แนวปฏิบัติ (Guideline) และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการพิจารณาหรือดำเนินโครงการภายใต้กลุ่มแผนงานที่ 2 ด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นฯ ตามข้อสังเกตและความเห็นของคณะกรรมการฯ เพื่อให้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างสอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
2. อนุมัติโครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19 ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยปรับลดกรอบวงเงินของโครงการฯ จาก 190.0000 ล้านบาท เป็น 95.0000 ล้านบาท (ปรับลด 95.0000 ล้านบาท)
3. อนุมัติโครงการพลิกวิกฤต COVID-19 สู่การสร้างเศรษฐกิจจาก OTOP สมุนไพรในชุมชนอย่างยั่งยืน ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข โดยปรับลดกรอบวงเงินของโครงการฯ จาก 18.7644 ล้านบาท เป็น 8.3211 ล้านบาท (ปรับลด10.4433 ล้านบาท)
4. อนุมัติโครงการสร้างงาน สร้างอาชีพ ด้วยการนวดไทยในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข โดยปรับลดกรอบวงเงินของโครงการฯ จาก 16.1317 ล้านบาท เป็น 9.1981 ล้านบาท (ปรับลด 6.9336 ล้านบาท)
5. มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19 และเห็นควรมอบหมายให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการพลิกวิกฤต COVID-19 สู่การสร้างเศรษฐกิจจาก OTOP สมุนไพรในชุมชนอย่างยั่งยืน และโครงการสร้างงาน สร้างอาชีพ ด้วยการนวดไทยในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ดำเนินการ ดังนี้
5.1 จัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
5.2 รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ และการใช้จ่ายเงินกู้ รวมถึงปัญหาอุปสรรค โดยจัดส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
5.3 ประสานกับกระทรวงการคลังในการรายงานขีดความสามารถในการชำระคืนหนี้เงินกู้ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดฯ ด้วย
6. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ของจังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดสงขลา จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมทั้งอนุมัติให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินโครงการฯ กรอบวงเงิน 39,494,259 บาท ประกอบด้วย โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 จำนวน 17 โครงการ วงเงิน 34,062,639 บาท และวันที่ 25 สิงหาคม 2563 จำนวน 2 โครงการ วงเงิน 5,431,620 บาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการเพิ่มศักยภาพแปรรูปสัตว์น้ำ ของจังหวัดบึงกาฬ มอบหมายให้จังหวัดบึงกาฬ พิจารณาดำเนินกิจกรรมของโครงการฯ ในส่วนที่เหลือโดยใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่น เช่น เงินงบประมาณของส่วนราชการ หรือเงินรายได้ เป็นต้น
7. รับทราบแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ในระยะต่อไปตามที่คณะกรรมการฯ เสนอดังนี้
1) กรณีที่หน่วยงานเจ้าของแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ แล้วมีความประสงค์จะยกเลิกการดำเนินแผนงาน/โครงการดังกล่าว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเสนอคำขอการยกเลิกการดำเนินงานแผนงาน/โครงการ พร้อมเหตุผลความจำเป็นเสนอต่อคณะกรรมการฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาพร้อมความเห็นประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว
2) รับทราบการขยายระยะเวลาการพิจารณาของคณะทำงานภาคประชาสังคมจากเดิมสิ้นสุดภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 เป็นสิ้นสุดภายในเดือนมกราคม 2564 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
3) รับทราบแนวทางการบูรณาการการจัดเก็บฐานข้อมูลในระดับตำบลของโครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการของกระทรวงมหาดไทย และโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานสถิติแห่งชาติ สศช. ร่วมเป็นกรรมการ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการให้สามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ชุดข้อมูลที่จะจัดเก็บ ช่วงเวลาและระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูล พร้อมทั้งกำหนดกลไกการกำกับติดตามการทำงานระดับพื้นที่ในรูปแบบของคณะกรรมการที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ตามที่ สศช. เสนอ
ต่างประเทศ
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบางซื่อระหว่างกระทรวงคมนาคม แห่งราชอาณาจักรไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย กับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น และองค์กรพัฒนาและฟื้นฟูเมืองของญี่ปุ่น
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบางซื่อระหว่างกระทรวงคมนาคม (คค.) แห่งราชอาณาจักรไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวญี่ปุ่น และองค์กรพัฒนาและฟื้นฟูเมืองของญี่ปุ่น [Memorandum of Cooperation (MoC) on the Bang Sue Project between the Ministry of Transport of the Kingdom of Thailand, the State Railway of Thailand, the Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism of Japan, and the Urban Renaissance Agency of Japan] อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1 คค. (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) และ รฟท. ร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่นโดย MLIT และองค์กรพัฒนาและฟื้นฟูเมืองของญี่ปุ่น (the Urban Renaissance Agency of Japan : UR) จัดทำร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบางซื่อฯ เพื่อผลักดันแผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะพื้นที่บริเวณบางซื่อไปสู่การปฏิบัติต่อไป ซึ่งคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย ในคราวประชุม ครั้งที่ 15/2563 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบแล้ว โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกข้อตกลงฯ มีรายละเอียด ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และของเขตของบันทึกข้อตกลง เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินโครงการพัฒนาเมือง ระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่น โดยให้ คค. รฟท. และ UR ร่วมกันกำหนดรูปแบบความร่วมมือ รวมถึง UR จะทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการด้วย
2) หน้าที่และความรับผิดชอบ
(1) คค. และ รฟท. จะจัดส่งข้อมูลทรัพย์สินและข้อมูลกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาเมืองให้แก่ MLIT และ UR นอกจากนี้ รฟท. จะเป็นผู้จัดการประชุมต่าง ๆ และ คค. จะอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในไทยของพนักงานของ UR เช่น การขอรับการตรวจลงตรา (VISA) และใบอนุญาตทำงาน
(2) MLIT และ UR จะส่งข้อมูลนโยบายและการพัฒนาเมือง กฎหมาย และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องแผนพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน และวิธีการดำเนินโครงการให้ คค. และ รฟท.
3) ลักษณะของบันทึกข้อตกลงฯ แต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงฯ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ และให้ดำเนินการตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายของประเทศตน ในส่วนของการแก้ไขปรับปรุงบันทึกข้อตกลงฯ ต้องได้รับความเห็นชอบเป็นลายลักษณ์อักษรจากทุกฝ่าย
4) ระยะเวลาของบันทึกข้อตกลงฯ มีอายุ 2 ปี และต่ออายุอัตโนมัติได้อีก 2 ปี ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ทุกฝ่ายลงนาม
5) การรักษาความลับ ข้อมูลและข่าวสารที่แลกเปลี่ยนภายใต้ร่างบันทึกข้อตกลงฯ เป็นข้อมูลความลับยกเว้นเรื่องการมีอยู่และเนื้อหาของร่างบันทึกข้อตกลงฯ
บันทึกข้อตกลงฯ นี้ จะเป็นไปประโยชน์ต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และช่วยพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ให้กับไทย รวมถึงเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ พื้นที่บริเวณบางซื่อกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคม และได้รับการวางแผนพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางเมืองใหม่ของกรุงเทพมหานครในอนาคตอันใกล้ รวมถึงเป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องในการส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะภายใต้กรอบ ASEAN Smart City Network (ASCN) ประเทศไทย และภายใต้นโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0”
15. เรื่อง ขอความเห็นชอบการรับรองเอกสาร Joint Statement “Conference on Digital Transformation of the Education Systems throughout ASEAN”
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสาร Joint Statement “Conference on Digital Transformation of the Education Systems throughout ASEAN” พร้อมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามในหนังสือเห็นชอบ/รับรอง (Adoption) ร่างเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเอกสาร Joint Statement “Conference on Digital Transformation of the Education Systems throughout ASEAN” ดังนี้
1. ส่งเสริมทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (digital literacy) และทักษะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน (transferable skills) ในระบบการศึกษาของอาเซียน
2. มุ่งเน้นการเป็นหุ้นส่วนกับภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านดิจิทัลให้บรรลุเป้าหมาย
3. ให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในกระบวนการการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล
4. สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (hard infrastructure) และโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรฐาน (soft infrastructure)
5. ให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนในการเข้าถึงสื่อดิจิทัลอย่างปลอดภัย
16. เรื่อง การนำเสนอรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ฉบับที่ 3)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ฉบับที่ 3) และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบความถูกต้องของรายงานฯ ฉบับภาษาอังกฤษ และจัดส่งไปยังคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (คณะกรรมการสหประชาชาติฯ) ต่อไปตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ยธ. รายงานว่า
1. ประเทศไทยมีพันธกรณีสำคัญที่ต้องอนุวัติตามกติกาดังกล่าว 4 ประการ คือ (1) การประกันให้เกิดสิทธิต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในกติกาฯ (2) การปฏิบัติให้เกิดสิทธิต่าง ๆ ตามที่รับรองไว้ในกติกาฯ ด้วยความก้าวหน้า (3) การเผยแพร่หลักการของสิทธิตามกติกาฯ อย่างกว้างขวาง และ (4) การจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามกติกาฯ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสหประชาชาติฯ
2. ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ส่งรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามกติกาฯ ฉบับที่ 1 – 2 ให้กับคณะกรรมการสหประชาชาติฯ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555 และคณะผู้แทนไทยได้เดินทางไปนำเสนอรายงานฯ (ฉบับที่ 1 – 2) ด้วยวาจา เมื่อวันที่ 4 – 5 มิถุนายน 2558 ซึ่งคณะกรรมการสหประชาชาติฯ ได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงานของประเทศไทยหลายประการ รวมทั้งได้กำหนดให้ประเทศไทยรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสหประชาชาติฯ ในรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามกติกาฯ (ฉบับที่ 3) ต่อไป
รายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ฉบับที่ 3) เป็นการนำเสนอข้อมูลภาพรวมการดำเนินงานตามกติการระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมขงประเทศไทย ตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจากคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในด้านนโยบาย ด้านกฎหมายและด้านการปฏิบัติ
17. เรื่อง รายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) สภาผู้แทนราษฎร มาเพื่อดำเนินการ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
2. ให้กระทรวงพาณิชย์รับรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งผลการพิจารณาให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
3. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา)
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมที่ก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (CTPP) ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษามีข้อสังเกตว่า 1) รัฐบาลควรสนับสนุนและเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าว โดยเตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงกับผู้ที่ได้รับผลกระทบและประชาชน รวมถึงเตรียมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในเชิงนโยบาย 2) ควรพิจารณาถึงภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการเยียวยาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงฯ 3) ควรมีกรอบของการเจรจาที่เกิดจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และ 4) ควรผลักดันให้มีการจัดตั้งกองทุนที่มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้า อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลต้องการเจรจาเพื่อเข้าร่วมความตกลงฯ และมีประเด็นใดที่ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมเพียงพอ หรือประเด็นใดที่อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบก็สามารถกำหนดประเด็นเพื่อตั้งข้อสงวนไว้เบื้องต้นในการเจรจาได้
18. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 27
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 27 ซึ่งสหพันธรัฐมาเลเซียในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปค ประจำปี 2563 ได้จัดการประชุมผ่านระบบทางไกล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 โดยมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
ที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นต่อไปนี้
1. การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของโลกอย่างมาก โดยเฉพาะต่อวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย รวมทั้งก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนับแต่ปี 2473 ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2564 และกลุ่มธนาคารโลกคาดการณ์ตัวเลขคนยากจนมากที่สุดจะเพิ่มขึ้นอีก 110 - 150 ล้านคน ในปี 2564
2. ผู้แทนไทยได้ชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับมาตรการด้านการคลังและการเงินของไทยในการรับมือและกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งใช้งบประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การให้เงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ การให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการออกกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารซึ่งมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ไทยให้ความสำคัญกับความโปร่งใส่และความยั่งยืนทางการคลังซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของเขตเศรษฐกิจเอเปค นอกจากนี้ระดับหนี้สินสาธารณะของไทยยังอยู่ภายใต้กรอบความมั่นคงทางการคลัง โดยร้อยละ 98 ของเงินกู้มาจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ
3. เอเปคให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้านสุขภาพ สาธารณสุข โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาตัวยาและวัคซีนสำหรับโควิด-19 และการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบการเงิน ซึ่งระบบดิจิทัลได้มีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของภาคส่วนต่าง ๆ รวมไปถึงการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ เอเปคอาจพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไว้ในกรอบการทำงานด้านความเสี่ยงทางการเงินและการประกันภัยด้วย
19. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 แผนงาน IMT-GT (Draft Joint Statement of the Twenty-Sixth Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Ministerial Meeting) และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถดำเนินการได้ โดยสำนักงานฯ จะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในภายหลังหากมีการปรับปรุงแก้ไขพร้อมด้วยเหตุผลประกอบ รวมทั้งเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) และเข้าร่วมการประชุมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 แผนงาน IMT-GT โดยผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ พร้อมทั้งร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรีฯ โดยไม่มีการลงนาม ในการประชุมดังกล่าว ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
สาระสำคัญร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมฯ
1. เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคเพื่อรับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยประเทศสมาชิกรับทราบว่าสภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจอัตราความยากจนและอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันเป็นผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และคาดว่าจะยังคงส่งผลกระทบต่ออนุภูมิภาคและทั่วโลกต่อไป จึงสนับสนุนการดำเนินการร่วมกันของประเทศสมาชิกแผนงาน IMT-GT ในการบรรเทาผลการทบจาก COVID-19 และเตรียมการเพื่อการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ
2. แสดงผลการดำเนินงานและร่วมยินดีกับความสำเร็จของโครงการใน 7 สาขา คณะทำงานภายใต้แผนงาน IMT-GT ในปีที่ผ่านมา โดยมีการดำเนินงานและโครงการที่สำคัญ ดังนี้ โครงการก่อสร้างสนามบินเบตง จังหวัดยะลา (ไทย) และโครงการก่อสร้างทางด่วนเปกันบารู-ดูไม (อินโดนีเซีย) ที่ดำเนินการแล้วเสร็จซึ่งจะช่วยส่งเสริมการขนส่งสินค้าและการเชื่อมโยงระหว่างประชาชนในอนุภูมิภาคให้เกิดความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น การเจรจาจัดทำ FoC in CIQ ที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเตรียมจะให้มีการลงนามในปี 2564 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมขั้นตอนการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและคนระหว่างกันในอนุภูมิภาค การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างกันในระดับอนุภูมิภาค และการกำหนดบทบาทความรับผิดชอบรายสาขาของสภาเทศมนตรีเมืองสีเขียวเพื่อทำให้กรอบการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน (2562 - 2579) เกิดผลในทางปฏิบัติ
3. ระบุถึงแนวทางของแต่ละสาขาความร่วมมือเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานของแผนงาน IMT-GT ในระยะต่อไป โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ การส่งเสริมให้นำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและการตลาดของสินค้าและอุตสาหกรรมการเกษตร การส่งเสริมให้นำขั้นตอนการปฏิบัติด้านความปลอดภัยและสาธารณสุขมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนของแผนงาน IMT-GT เพื่อสร้างความมั่นใจต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาค การพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมฮาลาลให้เข้มแข็ง การสร้างความร่วมมือระหว่างเมืองยางพาราของประเทศสมาชิกเพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าอุตสาหกรรมยางในอนุภูมิภาค และการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาและเสริมสร้างทักษะใหม่สำหรับแรงงานในอนุภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการศึกษาและการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะชีวิตวิถีใหม่
4. รับทราบรายงานผลการทบทวนการดำเนินงานภายใต้แผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี 2560 - 2564 โดยเป็นรายงานที่ระบุถึงความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะสำหรับการยกระดับการดำเนินงานของแผนงาน IMT-GT นอกจากนี้ ข้อมูลรายงานดังกล่าวจะเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี 2565 - 2569 ต่อไป
5. รับทราบรายงานผลการศึกษาเรื่องการทบทวนระเบียงเศรษฐกิจและการบูรณาการเขตเศรษฐกิจพิเศษระหว่างประเทศ แผนงาน IMT-GT โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ระบุถึงข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงจากระเบียงคมนาคมขนส่งไปสู่การเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 6 ภายใต้แผนงาน IMT-GT เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างทั่วถึง ตลอดจนการเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในการพัฒนาและบูรณาการเขตเศรษฐกิจพิเศษภายใต้แผนงาน IMT-GT เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และการเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิตในอนุภูมิภาค
6. ยืนยันที่จะพัฒนาความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาต่อไป รวมทั้งเปิดรับการสร้างความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาใหม่ ๆ โดยแสดงความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความร่วมมือกับธนาคารพัฒนาเอเชียและสำนักงานเลขาธิการอาเซียนต่อไป ขณะเดียวกันจะแสวงหาแนวทางความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ อาทิ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) ธนาคารเพื่อการพัฒนาอิสลาม (IsDB) และศูนย์ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมโลกของสถาบันภายใต้ความร่วมมือกับโครงการสหประชาชาติด้านสิ่งแวดล้อม (IGES/CCET) เป็นต้น
ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ ในการเข้าร่วมประชุมฯ มีดังนี้
1) ส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศโดยใช้ประโยชน์จากการพัฒนาความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคภายใต้แผนงาน IMT-GT เป็นกรอบความร่วมมือหนึ่งในการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาที่สอดประสานกันระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านทั้งในระดับส่วนราชการส่วนกลางและจังหวัดในทุกสาขาความร่วมมือ รวมทั้งสาขาความร่วมมือใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ
2) สร้างความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการรับมือและแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 โดยมีโครงการสำคัญที่จะดำเนินการต่อไป อาทิ การจัดทำแนวทางปฏิบัติร่วมกันสำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมให้ IMT-GT เป็นอนุภูมิภาคการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลโดยเร่งรัดความร่วมมือด้านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและรายย่อย (MSMEs) ในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล และพัฒนาศักยภาพผู้ฝึกอบรมด้านการตลาดดิจิทัล เป็นต้น
20. เรื่อง ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25 และเห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงตามประเด็นในกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25 เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงฯ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กรอบการหารือดังกล่าว มีสาระสำคัญที่เกี่ยวกับการดำเนินงานและความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ภายใต้พันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2538 ในประเด็นที่สำคัญได้แก่
1) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืน ปี พ.ศ. 2563
2) แผนยุทธศาสตร์การจัดการสินทรัพย์ด้านสิ่งแวดล้อมของลุ่มแม่น้ำโขง
3) ตำแหน่งผู้บริหารของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
4) แผนแม่บทการเดินเรือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
5) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง พ.ศ. 2564 - 2573 และแผนยุทธศาสตร์องค์กรคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง พ.ศ. 2564 - 2568
6) แผนการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ประจำปี พ.ศ. 2564 - 2565
7) ประเด็นอื่น ๆ ตามที่ผู้เข้าประชุมเห็นชอบให้มีการหารือร่วมกัน (หากมี)
2. สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการต่างประเทศ จะทำหน้าที่พิจารณาประเด็นสารัตถะตามกรอบการหารือดังกล่าว และมีการเจรจาในการประชุมกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายไทยจะดำเนินการภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
3. คณะผู้แทนไทยจะใช้ประเด็นตามกรอบการหารือตามข้อ 1 ในการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25 และจะมีการจัดทำบันทึกการประชุม (โดยการลงนาม) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของไทยและคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงต่อดำเนินงานและความร่วมมือภายใต้พันธกรณีของความตกลงฯ โดยจะไม่ใช้ถ้อยคำหรือมีเจตนาที่ก่อให้เกิดพันธกรณีระหว่างรัฐบาลภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อมิให้บันทึกการประชุมเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 โดยที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจะได้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบหรือพิจารณาในสาระสำคัญของผลการประชุมฯ ต่อไป
21. เรื่อง ความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities โดยหากมีความจำเป็นปรับแก้ร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของอาเซียนหรือของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำร่างความตกลงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities และให้กระทรวงการต่างประเทศ มีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อร่างความความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities ในนามประเทศไทย ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียน ผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities เป็นความตกลงเพื่อแสดงว่าสหภาพยุโรปจะสนับสนุนงบประมาณ 5 ล้านยูโร สำหรับดำเนินโครงการฯ เป็นระยะเวลา 72 เดือน และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่เลขาธิการอาเซียนลงนามในเอกสารและนับเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินงานโครงการฯ โดยโครงการ Smart Green ASEAN Cities มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเป็นเมืองที่ยั่งยืนในอาเซียน ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเพิ่มคุณภาพชีวิตสำหรับพลเมืองอาเซียน โดยสนับสนุนให้เมืองต่าง ๆ ในอาเซียนใช้ประโยชน์จากแนวทางเมืองอัจฉริยะ ซึ่งมีประเทศสมาชิกอาเซียน 8 ประเทศเข้าร่วมดำเนินโครงการ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีผลผลิต 3 ข้อ ได้แก่ การยกระดับการออกแบบ วางแผน และดำเนินการเพื่อมุ่งสู่เมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะสำหรับเมืองที่เข้าร่วมดำเนินโครงการ การเสริมสร้างศักยภาพระดับประเทศเพื่อการพัฒนาเมืองสีเขียนและเมืองอัจฉริยะ (ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน) และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะระหว่างสหภาพยุโรปและภายในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ โครงการฯ ได้รับความเห็นชอบจากสหภาพยุโรปและเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว
แต่งตั้ง
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางทิวาวรรณ ปิยกุลมาลา นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
23. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร รวม 8 คน เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. 2522 ดังต่อไปนี้
1. ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 4 คน ได้แก่ 1.1 นายโอฬาร พิทักษ์ 1.2 นายอภิชาต จงสกุล 1.3 นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา 1.4 นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย
2. ผู้แทนเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 4 คน ได้แก่ 2.1 นายพรชัย ชั้นสกุล 2.2 นายอัษฎางค์ สีหาราช 2.3 นายทวิวัส เหลี่ยมดี 2.4 นายสิทธิพร บุรณนัฏ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป
24. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้คณะกรรมการการประปานครหลวง มีจำนวนทั้งสิ้น 15 คน (ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งรวม 14 คน และผู้ว่าการการประปานครหลวงซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง) ตามความในมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ที่บัญญัติให้รัฐวิสาหกิจใดมีความจำเป็นต้องมีกรรมการเกินกว่าสิบเอ็ดคน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีได้เป็นการเฉพาะราย แต่ทั้งนี้ จำนวนกรรมการรวมทั้งสิ้นต้องไม่เกินสิบห้าคน และแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง รวม 14 คน โดยมีผู้ว่าการการประปานครหลวงเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ดังนี้
1. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ เป็นประธานกรรมการ
2. พลเอก สิงห์ทอง หมีทอง เป็นกรรมการ
3. นายอนุชิต ตระกูลมุทุตา เป็นกรรมการ
4. นายกฤษฎา กวีญาณ เป็นกรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
5. นายชัยทัต แซ่ตั้ง เป็นกรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
6. นายวรายุทธ เย็นบำรุง เป็นกรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
7. นายประสิทธิ์ สืบชนะ เป็นกรรมการ (บุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง)
8. นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา เป็นกรรมการ (บุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลังและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
9. หม่อมราชวงศ์ศศิพฤนท์ จันทรทัต เป็นกรรมการ (บุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลังและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
10. นายหร่อหยา จันทรัตนา เป็นกรรมการ (บุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง)
11. นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ เป็นกรรมการ
12. นายนิทัศน์ มณีศิลาสันต์ เป็นกรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
13. นายวีรวัฒน์ ยมจินดา เป็นกรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
14. นายจำเริญ โพธิยอด ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ (บุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
2. นายวารุจ ศิริวัฒน์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี