ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน
ชี้ชะตา‘บิ๊กตู่’
คดีพักอยู่ในบ้านหลวง
ตร.คุมเข้มรอบบริเวณศาลรธน.
นายกฯให้ฝ่ายกม.ไปฟังผลแทน
ย้ำผิดก็ผิด/ไม่ผิดคือไม่ผิดก็จบ
ม็อบนัดแยกลาดพร้าวสี่โมงเย็น
ศาลรัฐธรรมนูญสั่งคุมเข้มรับอ่านคำวินิจฉัย คดี“นายกฯ”พักบ้านหลวงของทหาร ด้าน บช.น.วางกำลัง 3 กองร้อยดูความปลอดภัยให้ศาลรธน.พร้อมส่งกำลังคุ้มกันตุลาการศาลฯวอนปชช.ติดตามผ่านสื่อหรือที่บ้าน เตือนมาชุมนุมเสี่ยงผิด กม.อาญาและละเมิดศาล นายกฯส่งฝ่าย กม.ฟังศาลฯ โดยมีกำหนดลงสมุทรสงคราม ย้ำผิดก็ผิด ไม่ผิดก็จบ ขณะที่ ม็อบราษฎร แจ้งนัดชุมนุมสี่โมงเย็น ห้าแยกลาดพร้าว ชี้ชะตา“บิ๊กตู่”
เมื่อวันที่ 1ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าสำนักงานจัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับการนัดแถลงด้วยวาจาและอ่านคำวินิจฉัย ในเวลา15.00 น.วันที่ 2 ธันวาคมนี้ตามคำร้องของประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) และมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 186 วรรคหนึ่ง และมาตรา184 วรรคหนึ่ง(3)หรือไม่
กรณีใช้บ้านพักในกรมทหารราบที่1มหาดเล็กราชวัลลภ รักษาพระองค์ ถนนวิภาวดีรังสิตซึ่งเป็นบ้านพักของราชการทหารเป็นที่พักอาศัยของตนเองและครอบครัว ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเมื่อวันที่1ตุลาคม 2553 จนถึงปัจจุบันโดยไม่เสียค่าเช่าให้กับราชการทหารทั้งที่เกษียณอายุราชการมาตั้งแต่30กันยายน 2557
อาจเข้าข่ายเป็นการรับประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ อันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 184 (3) และเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้นำมาใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160(5)
ศาลสั่งคุมเข้มความปลอดภัย
ทั้งนี้ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดเตรียมสถานที่เหมือนเช่นทุกครั้งที่จะออกนั่งบัลลังค์อ่านคำวินิจฉัยโดยตั้งแผงเหล็กกำหนดทางเดินเข้า-ออก จุดรายงานตัวและแลกบัตรของผู้ร้องและผู้ถูกร้องรวมทั้งจุดรายงานข่าวของสื่อมวลชนโดยจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ ที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องมาปฏิบัติงานในวันพรุ่งนี้ด้วย
วันเดียวกัน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารชี้แจงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยเรื่องว่าความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง ( 4) ประกอบมาตรา 160 (5) และมาตรา 170 วรรคหนึ่ง(5) ประกอบมาตรา 186 วรรคหนึ่งและมาตรา 184 วรรคหนึ่ง(3) หรือไม่ ในวันพุธที่ 2 ธ.ค. เวลา 15.00 น.นั้น
เพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณที่ทำการศาลและเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ
ศาลจึงมีคำสั่งกำหนดบุคคลให้เฉพาะผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ผู้รับมอบอำนาจ หรือผู้รับมอบฉันทะรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น อยู่ในห้องพิจารณาคดีเพื่อรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลและให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดให้มีช่องทางการรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและสื่อมวลชนรวมทั้งออกประกาศศาลรัฐธรรมนูญเรื่องอาณาบริเวณหรือพื้นที่ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย 2563
ด้านเว็บไซด์สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีข้อความ พร้อมลิงค์สำหรับรับชมการถ่ายทอดสดการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคดีนี้ด้วยโดยสามารถรับชมผ่านยูทูปชาแนลในชื่อ‘สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ’รวมทั้งมีการแจ้งต่อสื่อมวลชนที่จะเดินทางมาทำข่าวว่าสามารถติดตามการถ่ายทอดสัญญาณเสียงได้บริเวณทางขึ้นด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ติดถนนแจ้งวัฒนะ
บช.น.ตรวจดูความพร้อมศาลฯ
ช่วงเช้าพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.)เดินทางมาตรวจดูความเรียบร้อยการรักษาความปลอดภัยที่ศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนจะมีการอ่านคำวินิจฉัยคดีบ้านพักหลวงของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯในวันที่ 2ธ.ค.โดยให้สัมภาษณ์ภายหลังว่าผบช.น.มีความเป็นห่วงจึงสั่งให้ บก.น.2และสน.ทุ่งสองห้องที่เป็นเจ้าของพื้นที่ ดูแลความเรียบร้อยโดย จะมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้(1ธ.ค.)โดยมาตรการรองรับผู้ชุมนุม จะทำตามความจำเป็นเท่านั้น การวางสิ่งกีดขวาง แบริเอ่อร์ก็จะใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อย้ำเตือนผู้ชุมนุมว่าระยะนี้ เป็นระยะที่ต้องห้าม ที่สำคัญสถานที่นี่ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตามกฎหมายแล้วห้ามชุมนุม เบื้องต้น ยังไม่มีการแจ้งขออนุญาตชุมนุมจากแกนนำกลุ่มราษฎรหรือกลุ่มใดๆ
วอนฟังที่บ้านหวั่นมาเสี่ยงผิดกม.
“หากจะชุมนุมเรามีสถานที่สาธารณะมากมาย ที่ผู้ชุมนุมสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ควรที่การชุมนุมในสถานที่ต้องห้ามหรือสถานที่ราชการ การอ่านคำวินิจฉัย ก็มีการถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ และโซเชียลมีเดีย ซึ่งประชาชนสามารถติดตามได้ที่บ้านอยู่แล้ว ยิ่งฟังที่บ้านสะดวกสบายกว่า ไม่จำเป็นต้องมาที่ศาลรัฐธรรมนูญให้เกิดความเดือดร้อน หรือเกิดการทำผิดกฎหมายเพราะเป็นสถานที่ราชการมีเขตอำนาจศาล หากการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจเป็นการละเมิดอำนาจศาลได้เพราะการมาชุมนุมมีความผิดทั้งทางอาญาและการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งต้องดำเนินคดีทุกกรณี”พล.ต.ต.ปิยะย้ำ
จัดกำลังดูแลเข้มให้ตุลาการ
พล.ต.ต.ปิยะระบุว่าในการจัดเตรียมกำลังได้จัดเตรียมไว้อย่างเพียงพอจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และพื้นที่เบื้องต้นจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ผลัดละ3กองร้อย ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นกำลังของ บกน.2และเสริมด้วย บชน.ซึ่งหวังว่าไม่มีเหตุความวุ่นวาย ซึ่งยังไม่มีรายงานว่าจะมีการจัดม็อบมาชนกัน ถ้ามีมา ก็พร้อม จัดสถานที่แยกกัน เพื่อไม่ให้เกิดกระทบกระทั่ง พร้อมได้จัดกำลังไปดูแลตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่บ้านพัก และการเดินทางเข้าอออกศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนความพร้อมที่จะพาตุลาการไปในที่ที่ปลอดภัยได้หากมีเหตุชุลมุน ยังห่วงเรื่องปัญหาการจราจร เพราะถ้ามีผู้ชุมนุมมากจนต้องลงไปบริเวณถนนก็จะให้ส่งผลกระทบต่อการจราจร เพราะถนนแจ้งวัฒนะมีการสร้างรถไฟฟ้าจึงอาจทำให้รถติดมากขึ้น
นายกฯส่งฝ่าย กม.ฟังศาลฯ
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงกรณีจะส่งใครไปเป็นตัวแทนฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคดีบ้านพักทหารวันพรุ่งนี้(2 ธ.ค.)ว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ฝ่ายกฎหมายก็ไปฟังกันอยู่แล้ว ควรสนใจว่าศาลตัดสินว่าอย่างไรมากกว่า เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญ
ย้ำผิดก็ผิด/ถ้าไม่ผิดก็จบ
เมื่อถามว่าในการจะลงพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม ในวันพรุ่งนี้(2 ธ.ค.)นอกเหนือจากการติดตามตรวจราชการตามนโยบายแล้วถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเองก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินหรือไม่พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า“มันเกี่ยวอะไรกันเนี่ยะ ถ้าทำงานแบบนี้ก็ทำงานไม่ได้ เป็นการวางกำหนดการไว้ล่วงหน้า ที่ผ่านมาผมก็มีคดีความอยู่ก็ชี้แจงไป การตรวจสอบก็ชี้แจงไปก็เท่านั้น ผิดก็คือผิด ไม่ผิดก็คือไม่ผิดก็จบซึ่งก็เหมือนคดีทั่วๆไป”
บิ๊กป้อมไม่เตรียมนายกฯสำรอง
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวเรื่องดังกล่าวว่า เป็นเรื่องของกระบวนการศาล ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ศาล ยอมรับว่านายกฯไม่ได้กังวล เป็นเรื่องของศาล ส่วนเรื่องการชุมนุมของกลุ่มราษฎร ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล พร้อมเชื่อว่า ไม่มีเหตุวุ่นวาย
เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐได้เตรียมรายชื่อนายกสำรองไว้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ได้หันมาตอบผู้สื่อข่าวทันทีว่า ไม่มี นอกจากนี้ ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พร้อมแกนนำยื่นลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
ม็อบนัดสี่โมงห้าแยกลาดพร้าว
มีรายงานข่าวว่าเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม–united front of thammasat and demonstrationได้โพสต์นัดชุมนุมในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ระบุว่า“ในวันพรุ่งนี้ วันที่ 2 ธันวาคมถือเป็นอีกหนึ่งวันในหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่จะชี้ชะตาการเมืองไทยว่าจะเดินไปในทิศทางใด เพราะว่าศาลรัฐธรรมนูญจะทำการตัดสินคดีของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เรื่อง “บ้านพัก” ซึ่งหากมีความผิดจริงแล้วนั้น จะทำให้ ประยุทธ์สามารถหลุดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากศาลรัฐธรรมนูญเล็งเห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเนื่องจากขาดคุณสมบัติ ดังนั้นแล้ว ในวันพรุ่งนี้จึงขอเรียกระดมพี่น้องราษฎรทั้งหลายออกมากัน ณ ห้าแยกลาดพร้าว เวลา 16.00 น. 2ธันวาคมนี้ทุกคนเจอกัน!”
สุทินยันชื่อหญิงหน่อยยังชิงนายกฯ
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.)และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และแกนนำคนสำคัญพรรคเพื่อไทยหลายคนลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่า ยังไม่ทราบเหตุผลการตัดสินใจครั้งนี้ ไม่รู้ว่าลาออกไปจะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือไม่ ตอนนี้ที่มีความชัดเจน คือ การแยกกันทำงาน แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าการแยกกันทำงานครั้งนี้ เป็นปัจจัยจากรัฐธรรมนูญหรือเป็นยุทธศาสตร์ หรือ มีปัญหาสั่นคลอนในพรรคเพื่อไทย แต่คิดว่ากลุ่มคนที่ลาออกยังคงมีอุดมการณ์เช่นเดียวกับเพื่อไทย เพียงแต่วิธีการทำงานที่ต่างกัน
ทั้งนี้ เมื่อคุณหญิงสุดารัตน์ ลาออกจากสมาชิกพรรค แต่จะยังคงอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯที่พรรคยื่นไว้ต่อกกต. แต่ไม่ได้เตรียมพร้อมสถานการณ์การอ่านคำวินิจฉัยพรุ่งนี้(2 ธ.ค. )แต่เป็นกังวล ผลที่จะเกิดจากคำวินิจฉัย โดยหวังว่าคำวินิจฉัยที่ออกมาจะมีเหตุผลทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้
‘ชวน’ไม่เตรียมเลือกนายกฯใหม่
ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับของรัฐบาลคาดว่าการพิจารณาจะเสร็จสิ้นในวันนี้เพราะวาระไม่ได้ยาวมาก และเป็นการพิจารณาในวาระแรก ส่วนปัญหาที่ฝ่ายค้านเสนอแยกอีกฉบับก็ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนที่ต้องพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาแยกกันไปกับฉบับของรัฐบาลที่เสนอให้พิจารณาในรัฐสภาแต่คงไม่ถึงต้องไปเจรจาให้ใครถอนญัตติแต่มีปัญหา ต้องให้นายกรัฐมนตรีวินิจฉัยก่อนว่าเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือไม่ก่อนจะส่งมาให้สภาพิจารณา
นอกจากนี้รัฐสภายังไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะเป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยในวันที่ 2 ธ.ค.นี้
รัฐสภาเริ่มถก พรบ.ประชามติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่รัฐสภาได้มีการประชุมร่วมรัฐสภามีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ในวาระที่1 ตามที่ครม.เป็นผู้เสนอ โดยนายวิษณู เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจง เหตุผลหลักการร่างดังกล่าวว่าเป็นกฎหมายที่กกต.จัดทำ และเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ เดิมทีมีพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี2552 อยู่แล้ว แต่ขณะนี้รัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงไป หลักเกณฑ์เงื่อนไขจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย จึงต้องจัดทำกฎหมายขึ้นใหม่
จากนั้นสมาชิกรัฐสภาได้สลับกันอภิปราย สมาชิกส่วนใหญ่โดยเฉพาะฝ่ายค้านอภิปรายแสดงความเป็นห่วง การรณรงค์แสดงความเห็นจะรับหรือไม่ รับร่างรัฐธรรมนูญ ในการทำประชามติ ที่อาจไม่เป็นกลาง เปิดพื้นที่ให้เฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรวมถึงเกรงว่าอาจไม่มีการเผยแพร่เนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ประชาชน รับทราบอย่างทั่วถึง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี