‘โจ้’โหนรถไฟฟ้าสายสีเขียว เปิดหลักฐานบี้กทม.ยับยั้งค่าโดยสาร 104 บาท
24 มกราคม 2564 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พร้อมด้วยนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี และนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าว กรณีการขึ้นคาฝ่ารถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาท
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า วันนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่ากทม.) ได้ประกาศว่าวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นี้ จะขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาท ซึ่งวันนี้สถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจ ปะชาชนกำลังเดือดร้อน การที่มาขึ้นค่าโดยสารสูงสุด 104 บาทต่อเที่ยว หากไปกลับจะเป็นเงิน 208 บาท แต่ค่าแรงขั้นต่ำของคนกรุง 331 บาท วันนี้เขาจะอยู่ได้อย่างไร
นอกจากนี้ ขอถามว่าผู้ว่ากทม. คิดได้อย่างไรในการให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ขยายสัมปทานออกไป 40 ปี ก็ต้องมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) สั่งไม่ให้ กทม.ขึ้นค่าโดยสาร อย่างไรก็ต้องขึ้นค่าโดยสาร ทั้งยังท้าให้ฟ้องป.ป.ช. ได้เลยไม่สนใจ สาเหตุที่ต้องดำเนินการเนื่องจาก กทม. เป็นหนี้บีทีเอสอยู่ เช่นนี้เหมือนเอาประชาชนคนกรุงเทพฯมาเป็นตัวประกัน และเป็นการซ้ำเติมวิกฤตโควิด-19 และวิกฤตเศรษฐกิจ จึงไม่ทราบว่า นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำไมยังอยู่เฉย และไม่มีการเรียก พล.ต.อ.อัศวิน ไปพูดคุยเพื่อหาทางยับยั้งไม่ให้ขึ้นค่าโดยสาร
“เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวนี้จะเป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ต่อด้วย ส่วนที่มีการถามว่า เหตุใดจึงเอาข้อมูลมาแถลงเปิดก่อนนั้น เนื่องจากพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อประธานสภาฯ ในวันที่ 25 มกราคม นี้ เวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา และคาดว่าจะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจหลังวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นี้ ถ้าพรรคเพื่อไทยรอ จะไม่ทันการ เพราะจะมีการขึ้นค่าโดยสารไปก่อน เราจึงหาวิธีการยับยั้งความเดือดร้อนของประชาชนก่อน” นายยุทธพงศ์ กล่าว
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่มีปัญหาคือ กทม.การรับโอนส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว คือ เขียวเหนือและเขียวใต้ มาจากกระทรวงคมนาคม โดยเป็นหนี้รฟม. 51785 ล้านบาท พล.ต.อ.อัศวิน จึงได้มีการออกข้อบัญญัติกทม.เรื่องการกู้เงินเพื่อให้ในการโอนทรัพย์สินและหนี้สินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตและช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ พ.ศ.2561 เพื่อกู้เงินไปจ่าย แต่วันนี้ผ่านมาแล้ว 3 ปี ยังไม่ทำอะไรเลย ไม่มีการกู้เงินสักบาท และมาใช้วิธีการขึ้นค่าโดยสาร ซึ่งเรื่องนี้เคยเข้า ครม. ไปแล้ว และครม.ก็อนุมัติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังกู้เงินมาให้กทม. เพื่อใช้หนี้รฟม. แปลว่ากทม. เตรียมการเรื่องเป็นหนี้อยู่แล้ว และมีแหล่งเงินที่จะไปจ่ายคืนให้รฟม.อยู่แล้วด้วย เหตุใดจึงไม่ดำเนินการ
นอกจากนี้มติครม. ยังกำหนดให้กทม.บริหารจัดการรายได้ตั้งงบประมาณให้เพียงพอต่อการชำระหนี้ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และพิจารณาค่าโดยสารให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ ซึ่งเป็นมติตั้งตั้งแต่ปี 2561 จึงถามว่าเหตุใดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่ากทม. จึงไม่ปฏิบัติตาม ทั้งนี้เรื่องหนี้ 5 หมื่นกว่าล้านนี้ นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่ากทม. เข้าข่ายการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 และจับเอาคนกทม. เป็นตัวประกัน
“จึงมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล คือ 1.ขอให้กทม. ชะลอการขึ้นค่าโดยสาร 104 บาท ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ออกไปก่อน 2.การคิดค่าโดยสารที่เหมาะสม ราคาเริ่มต้นและสูงสุดต้องอยู่ที่เท่าไหร่ เพราะไม่มีใครอยากนั่งต้นสายไปยังปลายทาง เพราะค่าเฉลี่ยประชาชนจะนั่งเพียง 12 สถานีเท่านั้น และ 3.โครงการรถไฟฟ้าเป็นบริการสาธารณะ ไม่ใช่ลงทุนไปแล้วมาคิดเอากำไรกับประชาชนเพื่อให้ได้กำไรสุด และกทม.ต้องดูแลประชาชน และทำอย่างไรให้ประชาชนได้ค่าโดยสารที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามหลักฐานดังกล่าวนี้ วันที่ 26 มกราคม นี้ ตนจะนำไปยื่นหนังสือต่อ นายกฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่า กทม. เพื่อยับยั้งไม่ให้ขึ้นค่าโดยสาร” นายยุทธพงศ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ นายยุทธพงศ์ และคณะแถลงข่าวนั้นทาง บริษัทบีทีเอสได้ส่งทีมงาน นำโดย พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะที่ปรึกษาบริษัทบีทีเอสมาร่วมรับฟังการแถลงข่าวด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี