"จตุพร"ประเมินวันต่อวันถึงสถานการณ์ 7 วันจาก 13 ก.พ.ถึงวันสุกดิบ 20 ก.พ. เชื่อปฏิบัติการณ์กลุ่มโรคแทรกจ้องปิดฉากม็อบกลางสนามหลวง 20 ก.พ. หวั่นรุนแรงถึงขั้นมีกลิ่นไอคลุ้งคาวเลือดปน โยงใยกับศึกซักฟอก 16-19 ก.พ. มีพลังพอก่อคนมาชุมนุมเนื่องแน่นหรือไม่ แย้ม 17 ก.พ.กลุ่มราษฎรอีก 24 คนเจอคดี 112 คาดอาจไม่ได้ประกันตัว
เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ว่า สถานการณ์รอยต่อเหตุการณ์เมื่อ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา จะสะท้อนถึงปรากฎ 7 วันอันตรายและน่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลถึงการชุมนุมตามนัดในช่วงบ่ายวันที่ 20 ก.พ.อาจถึงขั้น “คลุ้งกลิ่นไอ คาวเลือดปน”
นายจตุพร กล่าวว่า เหตุการณ์“คลุ้งกลิ่นไอ คาวเลือดปน”เป็นสำนวนท่อนในเนื้อเพลง “จากลานโพธิ์ถึงภูพาน” ซึ่งนายวัฒน์ วรรลยางกูล เขียนขึ้นจากเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาใน ม.ธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ตุลา 2519 จนต้องหนีขึ้นไปต่อสู้ในเทือกเขาภูพาน
ในภาพเหตุการณ์ 13 ก.พ.นั้น จะเชื่อมโยงถึงสถานการณ์จากนี้ไป โดยวันที่ 16 ก.พ. เป็นวันแรกอภิปรายไม่ไว้ววางใจ รมต. 4 คน รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วย และการอภิปรายฯมีไปถึงวันที่ 19 ก.พ. แล้วลงมติ 20 ก.พ. โดยฝ่ายค้านประกาศล่วงหน้าเฉพาะการอภิปรายฯนายกฯจะใช้เวลาถึงวันครึ่ง ส่วน รมต.ที่เหลือจะแบ่งสรรเวลากันไป
ขณะเดียวกัน คณาจารย์ไปเยี่ยมแกนนำราษฎร 4 คนที่ถูกขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัว โดยมีการระบุถึงวันที่ 17 ก.พ.นี้จะมีการสั่งฟ้องแกนนำราษฎรในคดีเดียวกันอีก 24 คน เมื่อใช้บรรทัดฐานจากคดีของ 4 แกนนำราษฎรแล้ว ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่ากลุ่มราษฎร 24 คนแทบไม่มีหนทางอื่นเลย นอกจากไม่ให้ประกันตัวและยังถูกขังคุกอีก
สถานการณ์ถัดมา หลังการอภิปรายฯ เสร็จและวันที่ 20 ก.พ. ต้องลงมติ แล้วช่วงบ่ายกลุ่มราษฎรมีนัดล่วงหน้าชุมนุมที่สนามหลวงอีกครั้ง ดังนั้น ความตรึงเครียดจะประเดประดังเข้ามา ประกอบกับในการชุมนุมเมื่อ 13 ก.พ.นั้น แกนนำหลายคนไม่ปรากฎตัวในที่ชุมนุม ซึ่งเป็นการแบ่งคนมาจัดการชุมนุม เพราะเส้นทางจากนี้คดีจะมากขึ้น
นอกจากนี้ นักวิชาการ คณาจารย์ห่วงใยถึงสิทธิ์ไม่ได้ประกันตัวแล้ว อีกอย่างคดีที่ถูกฟ้องในศาลต่างจังหวัดจะยิ่งเพิ่มความลำบากมากขึ้นกับการเดินทางไปขึ้นศาลที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ รวมทั้ง ผู้ต้องหาต้องออกแบบชีวิตว่า ในคดีที่มีความหลากหลายนั้น ถ้าต้องติดคุกแล้วจะบริหารจัดการเรื่องโทษอย่างไร ซึ่งตนมองกันแบบสุดทางเลย
"ผมอยากจะบอกว่า หากชีวิตต้องติดคุก คนที่อยู่ข้างนอกต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเราได้พ้นจากเรือนจำ ดังนั้นเมื่อดูตามปฏิทินแล้ว วันที่ 17 ก.พ.นี้จะต้องเจออีกล็อตใหญ่พอสมควรอีก 24 คน"
จากนั้นในวันที่ 24 ก.พ.มีนัดฟังคำพิพากษาของกลุ่ม กปปส.สำนวนคดีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกรวม 10 คน ซึ่งต้องมีการจับตาศาลจะวินิจฉัยอย่างไร ส่วนตนย้ำเช่นเดิมว่า ไม่ต้องการให้ใครติดคุกในการต่อสู้ทางการเมืองแม้แต่รายเดียว แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลจะพิจารณา
ในเหตุการณ์อภิปรายฯของฝ่ายค้าน ถ้าการอภิปรายฯมีพลานุภาพเมื่อเทียบกับอภิปรายฯครั้งที่ผ่านมาแล้ว คือมีประสิทธิภาพสามารถอภิปรายฯได้เข้าเป้าทุกดอกตามข้อกล่าวหา เมื่อประชาชนฟังแล้ว แม้เสียงโหวตฝ่ายรัฐบาลมีมากกว่า แต่หากสวนความรู้สึกของประชาชน จะทำให้การชุมนุมในบ่ายวันที่ 20 ก.พ.คนจะออกมาเนื่องแน่น อาจเต็มพื้นที่สนามหลวงและถนนราชดำเนิน
"ยกเว้นหลังจากผู้นำฝ่ายค้านอ่านญัตติการอภิปรายฯแล้ว เกิดล้มกระดานอภิปรายฯขึ้นก่อนฝ่ายค้านจะอภิปรายฯ โดยรัฐบาลเสนอญัตติส่งเรื่องให้ศาล รธน.วินิจฉัย ซึ่งเสียงข้างมากของรัฐบาลสามารถทำได้อยู่แล้ว แต่นั่นหมายความว่า การอภิปรายฯก็ไม่เกิดขึ้น ผสมกับวันที่ 17 ก.พ. กลุ่มราษฎรอีก 24 คนมีเหตุต้องไปรับคดีตามชะตากรรมของแกนนำ 4 คนแรก ดังนั้นทุกอย่างจะเป็นโดมิโนกันไป"
นายจตุพร กล่าวว่า ตามประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว เชื่อว่าการชุมนุมขณะนี้อยู่ในช่วงปลายแล้ว เพราะเมื่อสันติวิธีถูกทำลาย จึงย่อมมองหาระยะยาวไม่ได้ เพียงแต่จะจบกันวันไหน อย่างไรเท่านั้น เนื่องจากทั้งสองฝ่ายทำผิดกันอย่างชัดเจน
เหตุการณ์ชุมนุม 13 ก.พ. เมื่อเกิดความไม่พอใจกันขึ้นแล้ว ภาพการโยน ขว้างสิ่งของใส่กัน ย่อมเป็นภาพที่ปรากฎขึ้นทุกการชุมนุม ส่วนการทุบตีนั้น ตำรวจไม่มีสิทธิ์ทุบตีประชาชน
"แต่มีเหตุอันน่าสงสัยอยู่ว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อพื้นที่ชุมนุมเต็มไปด้วยกล้อง แต่ทั้งฝ่ายชุมนุมและตำรวจต่างพยายามอธิบายแบบหนักๆกันเลย ผมในฐานะผู้ผ่านการชุมนุมมาแล้ว จึงพอรู้ว่า การแทรกแซงมีอย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดกันอยู่แล้ว ดังนั้น การชุมนุม 20 ก.พ.นี้ คงคลุ้งกลิ่นไอคาวเลือดปน และผมเชื่อว่าจะปิดฉากการชุมนุมนี้คงใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว"
นายจตุพร ย้ำว่า แม้มีการพยายามอธิบายตามหลักสันติวิธี แต่เมื่อสันติวิธีถูกทำลายแล้ว จะเกิดความสับสน วุ่นวาย ไม่รู้จะฟังใคร จนไม่สามารถจะควบคุมสถานการณ์กันได้อีกต่อไป ยิ่งถ้าฝ่ายค้านได้อภิปรายฯแล้ว และประชาชนมีความเชื่อตามฝ่ายค้านอีก ตนคิดว่าอารมณ์ตามเส้นแบ่งบางๆ มันอยู่ในช่วงเวลาที่เกิดโรคแทรกเข้าไปผสมสถานการณ์ได้ที่สุด
“การชุมนุมของประชาชนมักเกิดโรคแทรกในช่วงปลายเสมอ เพราะภูมิต้านทานและสมาธิน้อยลง ดังนั้น ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเกิดจุดแทรกอย่างเป็นระบบ ดูเหมือนเกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ ผมยืนยันว่า การปฏิบัติการในชุดลักษณะอย่างนี้ มีอยู่ในทุกการชุมนุม ถึงที่สุดผมยังย้ำไม่ต้องการให้การชุมนุมของ ประชาชนต้องเกิดบาดเจ็บ ล้มตายกันอีก”
อีกอย่าง เห็นภาพประชาชนไม่มีสมาร์ทโฟนไปขึ้นทะเบียนกับ ธ.กรุงไทยแล้ว ได้สะท้อนถึงเศรษฐีมาบริหารประเทศไม่เข้าใจประชาชนที่ยากจน ทั้งที่เคยทักทวงให้จ่ายเยียวยาเป็นเงินสด แต่รัฐบาลกลับไม่ไว้วางใจประชาชน พร้อมยังสร้างความยุ่งยากให้กับประชาชนซ้ำเติมไปอีก
ดังนั้น หลายเรื่องดังกล่าว ได้สะท้อนถึงปัญหาต่างๆ ถ้าฝ่ายค้านได้อภิปรายฯ และเนื้อหาการพูดอภิปรายฯในสภาตรงเป้ามีประสิทธิภาพ ประชาชนเชื่อถือ อีกอย่าง ในสถานการณ์ 20 ก.พ. ตนมั่นใจว่า ผู้อำนวยการสร้างต้องการปิดฉากในวันนี้ แต่เราต้องการให้จบอย่างสันติวิธี โดยไม่มีกลิ่นคาวเลือด ด้วยเหตุนี้ จึงควรตรวจสอบเหตุการณ์ 13 ก.พ.อย่างตรงไปตรงมา ผิดเป็นผิด ตำรวจไม่มีสิทธิ์ทำร้าย ประชาชนและ ประชาชนก็ไม่สิทธิ์ไปทำร้ายตำรวจ
นายจตุพร ย้ำว่า ระยะจากนี้ไปถึงวันที่ 20 ก.พ.จะเต็มไปด้วยเรื่องราว และการต่อสู้ทางการเมืองต้องได้รับการปฏิบัติ ส่วนโรคแทรกไม่ควรเกิดขึ้น ใครผิดก็ผิด ขณะที่ถ้าการอภิปรายฯของฝ่ายค้านมีคนเชื่อ พร้อมกับมีการจับกุมแกนนำอีก 24 คน ดังนั้น การชุมนุมวันที่ 20 ก.พ.จึงน่ากังวล และจะปิดฉากลงด้วยสันติวิธีหรืออาจ "คลุ้งกลิ่นไอ คาวเลือดปน"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี