"ก้าวไกล"จวก"รมว.ศธ." 2 ปีไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ทางการเมืองแลกอนาคต"เด็กนร.-ครู" ปล่อยยากจนชวดเงินช่วยเหลือ-แทรกแซงแต่งตั้งขรก. ด้าน"ณัฏฐพล"ยันพร้อมรับฟังไม่เคยหนี วอนช่วยยกระบบการศึกษาดันเป็นวาระแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล อภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยอภิปรายกล่าวหา นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่า นายณัฏฐพลมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอนาคตของนักเรียนไทย และรับผิดชอบดูแลครูกว่า 600,000 คน ใช้งบประมาณด้านการศึกษาปีละมากกว่า 400,000 ล้านบาท แต่กลับใช้อำนาจไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง แลกกับการไร้ปัจจุบันและไร้อนาคตของนักเรียนและครูทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ประจักษ์ว่า นายณัฏฐพลไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคารพหลักการสิทธิมนุษยชน ละเว้นและบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ขาดวุฒิภาวะและความเป็นผู้นำที่ดี ใช้อำนาจแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำในลักษณะกดขี่ข่มเหงข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้มีบุคคลหลายรายซึ่งเป็นพวกพ้องของตนเข้าสู่ตำแหน่ง และแสวงหาประโยชน์โดยการทุจริต
นายปดิพัทธ์ กล่าต่อว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ออกหนังสือ เลขที่ 04001/ว1692 เรื่องเปิดพื้นที่ปลอดภัยในสถานศึกษาและไม่กีดกันให้นักเรียนสามารถทำกิจกรรม แสดงออกได้อย่างมีเสรีภาพและสร้างสรรค์ แต่ไม่กี่เดือนหลังหนังสือฉบับนี้ กลับเกิดเหตุทั้งการล้วงข้อมูลในโซเชียลมีเดียของนักเรียน การขู่จะฟ้องนักเรียนที่ตั้งคำถามเรื่องของทรงผม มีข้อความในไลน์ของคุณครูหลุดออกมาสั่งห้ามชุมนุมทางการเมือง และมีกรณีที่ไม่ปรากฏเป็นข่าวอีกมากมาย
นายปดิพัทธ์ อภิปรายต่อไป ถึงกรณีของนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กตามต่างจังหวัด ที่มีสภาพย่ำแย่ภายใต้ความรับผิดชอบของนายณัฏฐพล โดยระบุว่าประการแรก ตนอยากจะให้ดูสถิตินักเรียนยากจนและนักเรียนยากจนพิเศษ ที่รวบรวมโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา แม้นักเรียนยากจนจะลดลง แต่ก็ไม่ได้หายจากความยากจน กลับกลายเป็นนักเรียนยากจนพิเศษที่เพิ่มขึ้นจาก 711,536 คน เป็น 994,428 คน ภายในระยะเวลาแค่ 1 ปีเท่านั้น นักเรียนยากจนพิเศษ คือ นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้ 1,000 บาทต่อเดือน ถ้าเรารวมนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษเข้าด้วยกัน เรากำลังพูดถึงครอบครัวจำนวน 1,768,211 ครอบครัว ครอบครัวเหล่านี้ลำบากยากแค้นอยู่แล้ว โดยการปล่อยให้งบประมาณกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาถูกตัดไป 1,000 ล้านบาท ทำให้นักเรียนอย่างน้อย 200,000 - 300,000 คน เข้าไม่ถึงความเสมอภาคทางการศึกษา แม้จะเป็นแค่เงิน 3,000 - 4,000 บาทต่อปี ที่ให้กับนักเรียนคนหนึ่ง แต่นั่นหมายถึงหนังสือ ชุดนักเรียน รองเท้า อุปกรณ์การเรียน และชีวิตของนักเรียนคนหนึ่ง
"เรื่องราวอัปยศนี้เกิดขึ้นในวันที่ 12 ม.ค.2563 ครม.มีมติเห็นชอบแผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) งบปี 2565 วงเงินทั้งสิ้น 7,635 ล้านบาท แต่วันรุ่งขึ้นกลับตัดงบฯเหลือ 6,556.86 ล้านบาท ด้วยเหตุผลว่าเป็น "ภาระทางการคลัง" ทำไมรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาไม่มีท่าทีที่จะปกป้องงบประมาณที่จะช่วยบรรเทาความเหลื่อมล้ำ กลับทอดทิ้งนักเรียนหลายแสนคน ตนขอท้าให้นายณัฏฐพลเอาเชาวเลขมาเปิดดูให้ดู ว่าใครที่กล้าแอบเปลี่ยนมติ ครม.และรัฐมนตรีนั่งใบ้ทำอะไรอยู่ โดยในเดือนเดียวกัน รัฐบาลอนุมัติงบ 473 ล้านบาท ให้กระทรวงกลาโหมใช้แก้โควิด และยังได้อนุมัติงบประมาณให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 ล้านบาท รักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม
นายปดิพัทธ์ ยังอภิปรายต่อไป ว่าแม้นายณัฏฐพลมีความพยายามเสนอให้ปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน จากเท่ากันหมดให้ตามขนาดของโรงเรียน สุดท้ายเห็นชอบปรับค่าอาหารกลางวันนักเรียนเป็น 21 บาทต่อคนต่อวัน ขึ้นมาบาทเดียว สุดท้ายนักเรียนก็ยังหิวเหมือนเดิม เพิ่มไข่สักฟองก็ยังไม่ได้
"โชคดีที่ยังขึ้นให้ตั้ง 1 บาท ถ้าขึ้นให้แค่ 75 สตางค์ ผมจะเรียกท่านว่า รัฐมนตรีไม่เต็มบาท ออกไปได้แล้วครับคุณณัฐพล น่าอับอายขนาดนี้ ปาตี้ลิสท์อันดับอื่นพรรคท่านเค้ารอเป็นอยู่"
นายปดิพัทธ์ อภิปรายต่อไปว่า ผ่านมาสองปี นายณัฏฐพลไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นประโยชน์กับการศึกษาไทยเลย แถมยังใช้อำนาจแทรกแซงแต่งตั้ง ทำลายระบบคุณธรรมใน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เป็นเพราะ สกสค.จะทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ สวัสดิภาพ สวัสดิการครู และบริหารสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และ สกสค.ต้องการคนที่เหมาะสม เข้าใจและเชี่ยวชาญในบริบทของการศึกษา โดยเฉพาะในสวัสดิการและสวัดิภาพของครูใช้อำนาจแทรกแซงแต่งตั้ง ทำลายระบบคุณธรรมใน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) โดยตั้ง นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สกสค.และภายในระยะเวลาแค่ 20 วันก็แก้ไขระเบียบคณะอนุกรรมาการบริหารทรัพยากรบุคคลปี 2560 เปิดทาง นายธนพร สมศรี ได้รับการสรรหาเป็นเลขาธิการ สกสค.ทั้งที่เป็นคนไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีความเหมาะสม เป็นนักธุรกิจอาหาร ทำฟุตบอล ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับวงการการศึกษา แต่กลับเหยียบหัวคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกว่า ขึ้นไปบริหาร สกสค.ได้ ขณะที่ สกสค.เป็นองค์กรที่มีปัญหามาก มีการทุจริตคอรัปชั่น นำเงินกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ชพค.) ไปลงทุนในบริษัทที่ขาดทุนหลักพันล้าน และนำไปปล่อยกู้แบบไม่ชอบมาพากล จนมีปัญหาหนี้สะสมต่อเนื่อง 15 ปี จนทำให้ต้องปลดพนักงานกว่า 961 คนในปีที่ผ่านมา โดยนายธนพรถูกส่งเข้ามา อ้างว่าเพื่อเข้ามาจัดการกับองค์กรและแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่น แต่ตลอดสองปีที่ผ่านมา ครูทั่วประเทศตั้งคำถามกับเลขาธิการ สกสค.มากที่สุด
"ท่านอ้างว่าจะมาปราบโกง มันต้องโกงขนาดนี้เลยหรอครับ ท่านประธานครับ นี่คือการใช้อำนาจแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำในลักษณะกดขี่ข่มเหงข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้มีบุคคลหลายรายซึ่งเป็นพวกพ้องของตนเข้าสู่ตำแหน่ง คุณทำลายระบบยุติธรรม ระบบคุณธรรมของวงการศึกษาจนหมด งานที่ควรทำไม่ทำ มาทำแต่เรื่องการเมือง เรื่องการยึดอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย กับผลประโยชน์ของนักเรียน สู้ให้อาหารกลางวันแค่บาทเดียว พอผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง สู้เอามาแบบไม่อายประชาชน ไม่อายคุณครูทั่วประเทศเลย" นายปดิพัทธ์ อภิปราย
ด้าน นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ชี้แจงว่า ยอมรับในกระบวนการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎร ตนเป็น ส.ส.มาหลายครั้ง วันนี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา ดีใจที่ประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง และทุกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย ข้อกล่าวหาของตนนั้นตนส่งให้แม่ดูว่าถ้าเลวกันขนาดนี้ก็ไม่ต้องเป็นแม่เป็นลูกกัน ถ้ากล่าวหาร้ายแรงแบบนี้ก็ต้องเปิดโอกาสให้ตนอธิบายด้วย ทั้งนี้ ช่วงปีครึ่งที่ผ่านมาตนไปโรงเรียนกว่า 50 จังหวัดไปโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเพื่อจะได้ทราบปัญหา ไม่ได้ไปเฉพาะโรงเรียนใหญ่ เห็นปัญหาของการศึกษาไทยว่ามีความซับซ้อน ฝังรากลึก แต่เราอย่าเพิ่งด้อยค่าการศึกษาไทย เพราะตนมีความหวังและมั่นใจว่าภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เราสามารถขับเคลื่อนการกระทรวงศึกษาและการศึกษาไทยไปได้
นายณัฏฐพล กล่าวว่า ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาการศึกษา แต่เราไม่สามารถพลิกเปลี่ยนระบบการศึกษาของไทยได้ ยืนยันว่าตนรับทราบปัญหาดีไม่เคยหลบหรือหนีปัญหาของน้องๆ นักเรียน ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของการศึกษา ยกประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เป็นข้อเรียกร้องของนักเรียนมารับฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรงผมและเครื่องแต่งกาย มีการเชิญกลุ่มนักเรียนเลวมาร่วมรับฟังด้วย
นายณัฏฐพล กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องกองทุนเพื่อความเสมอภาคนั้นถ้าท่านทำการเมืองหน่วยงานนี้มีบอร์ดอิสระขึ้นตรงต่อนายกฯไม่ใช่หน่วยงานภายใต้กำกับกระทรวงศึกษา ที่ผ่านมางบเพิ่มขึ้นทุกปี โดยหน่วยงานนี้สมควรได้รับงบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี เพราะว่ามีนักเรียนยากจนตนมั่นใจว่าการที่เด็กๆ ไม่ได้รับการดูแลนั้นจะได้รับการดูแลอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องใช้เวลา ภายในอีก 3 - 4 ปี หากเราร่วมกันทั้งสภาฯช่วยวางแผนทำให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ เราพลิกการศึกษาไทยได้แน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี