นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงและคดีลักลอบดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ เขียนในเฟสบุ๊คส่วนตัว จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair กล่าวเตือนคนเสื้อแดง ที่ นายจักรภพ อ้างว่า เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ว่า อย่าเสียใจกับการแพ้เลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยให้กับประชาธิปัตย์ นานจนเกินไป โดยให้ถือเป็นบทเรียน เพื่อมาปรับยุทธศาสตร์ ที่อ้าวว่า เป็น "ภารกิจประชาธิปไตย" พร้อมระบุว่า สมครามจริงๆ ไม่ใช่อยู่ในเขตดอนเมืองหรือพรรคการเมืองที่ลงแข่งขัน แต่เป็น "ขั้ว" ระหว่าง "คนเสื้อแดงที่รักทักษิณ" กับ "กลุ่มอำมาตย์ศักดินา และกลุ่มคนที่อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์"
นายจักรภพ โพสต์ว่า
อยากจะขอร้องว่า มวลชนประชาธิปไตยโปรดอย่าเป็นทุกข์ใจกับผลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตดอนเมือง กรุงเทพมหานครฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๖ ที่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ หรือเสียเวลาปรับทุกข์กันนานนัก แต่เราควรรู้สึกยินดีที่มีโอกาสนำประสบการณ์และผลสังเกตการณ์จากเกมขนาดเล็กในครั้งนี้ มาปรับปรุงยุทธศาสตร์สำหรับภารกิจประชาธิปไตยที่ใหญ่กว่าต่อไป เพราะสงครามจริงไม่ได้อยู่ในเขตดอนเมือง หรือระหว่างพรรคที่ลงแข่งขันคราวนี้เลย แต่อยู่ที่การแข่งขันกันว่า ขั้วใดจะระดมความสนับสนุนจากกลุ่มมวลชนต่างๆ มายืนกับตนได้มากกว่ากันเมื่อถึงเวลา
เหตุที่ผมใช้คำว่า “ขั้ว” แทนที่จะเป็น ฝ่าย หรือ กลุ่ม ก็เพราะสังคมขณะนี้แบ่งออกจากกันด้วยเกณฑ์ที่ใหญ่กว่าพรรคการเมืองมากนัก ขั้วหนึ่งคือขบวนประชาธิปไตยหรือพวกเราทั้งหลายที่เป็นมวลชนเสื้อแดง สมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย คนที่รักนายกทักษิณฯ คนที่ไม่ได้สวมเสื้อแดงแต่ต่อต้านเผด็จการอำนาจเก่าๆ กลุ่มมวลชนและปัญญาชนอิสระที่ต้อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยในบ้านเมือง ฯลฯ อีกขั้วหนึ่งคือระบอบอำมาตย์ศักดินา ที่รวมทั้งนายและพล ทั้งคนข้างบนและพวกรับใช้ใต้ถุนบ้าน ข้าราชการบางส่วนที่ดักดานไม่ยอมพัฒนา เครือข่ายสื่อมวลชน นักธุรกิจ และนักวิชาการภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ประชากรส่วนที่ไม่ยอมเปิดตา ฯลฯ
ขั้วแรกมีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นกำลังหลัก ขั้วหลังมีทุนจากระบบเศรษฐกิจมาเฟีย มีกองทัพ ศาล พรรคประชาธิปัตย์ และองค์กรอิสระเป็นหลัก ต่างฝ่ายต่างต้องยืนยันต่อคนในประเทศและคนทั่วโลกว่า เสียงข้างมากอยู่กับใครในภาพใหญ่ ไม่ใช่ภาพย่อยๆ อย่างการเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเพียงสัญญาณเตือนภัยเท่านั้นเอง
ประโยชน์ข้อแรกสำหรับฝ่ายประชาธิปไตยจาก “ความพ่ายแพ้” ในครั้งนี้คือ ต้องหยุดความประมาทอันเกิดจากความเป็นรัฐบาลลงเดี๋ยวนี้ทันที ผมเคยรับตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาลมาก่อน พอจะจินตนาการออกว่าบรรยากาศข้างในเป็นอย่างไร ข้าราชการส่วนใหญ่เขาเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ใครมาเป็นนายเขาเอาใจได้ทั้งหมดล่ะครับ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่าไปเผลอคิดเชียวว่า เขารักตนสนับสนุนตน เสมือนตัวเองมีบารมีหรือแสงสว่างในตัวเองเลยเป็นอันขาด เขาทำตามหน้าที่ของเขา ถ้าผู้ดำรงตำแหน่งคนใดเผลออย่างนี้ ก็จะเผลอไปไว้วางใจเขาในเรื่องที่ไม่ควรไว้วางใจ หรือบางคนเผลอไปร่วมทำกรรมชั่วกับข้าราชการเหล่านั้น สุดท้ายตัวเองนั่นล่ะที่จะถูกทำลาย ส่วนข้าราชการเขาก็บินปร๋อต่อไป
อย่าลืมว่า มีข้าราชการทหารและพลเรือนอีกมากที่ไม่เคยมีความยอมรับในรัฐบาลของประชาชนเลย เขาคิดตลอดเวลาว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องชั่วคราว และคนที่เป็นนายเก่าของเก่าในระบอบอำมาตย์ศักดินานั่นล่ะเจ้านายตัวจริงที่เขายอมอยู่แทบเท้า ผมพูดภาพรวมอย่างนี้ โดยหวังว่าข้าราชการดีๆ ที่รักประชาธิปไตยและประเทศชาติด้วยน้ำใสใจจริงจะไม่น้อยใจนะครับ คนดีก็ดีไป เราคอยสนับสนุนกันอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่เขายังไม่ใช่เช่นนั้น เขายังหวังเกาะกับผู้ชนะตลอดกาล มากกว่าจะคิดสนับสนุนงานของรัฐบาลเลือกตั้งที่เขานับวันอยู่ว่า วันใดจะถูกนายเก่าของเขาโค่นล้มลงด้วยมวลชนจัดตั้ง อำนาจศาล อำนาจองค์กรอิสระ และอาวุธจากกองทัพ พรรคฝ่ายเรามีความบกพร่องมาตลอดในการสร้างคนในระบบราชการ แม้แต่ข้าราชการที่แอบช่วยเรามาก็ต้องมาวิ่งเต้นเส้นสายเหมือนกับข้าราชการอื่นๆ ที่เป็นพวกทำลายประชาธิปไตย แทนที่จะได้ก้าวขึ้นสู่ที่สูงอย่างสง่าผ่าเผยเมื่อเราเป็นรัฐบาล นี่คือความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ของเราอย่างหนึ่ง ผมเชื่อว่าที่กรุงเทพมหานคร คงจะหาข้าราชการผู้กล้าสนับสนุนประชาธิปไตยทำยายาก เพราะเราไม่ตระหนักว่ากรุงเทพมหานครอยู่ในการกำกับของกระทรวงมหาดไทยโดยโครงสร้างการบริหารและกฎหมาย
การชนะเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ในสนามผู้ว่าฯ ไม่ได้หมายความเลยว่าพรรคประชาธิปัตย์จะหอบกรุงเทพฯ ทั้งเมืองวิ่งราวหนีไปได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ละยุคจึงต้องกล้าเข้าไปดูแลกิจการของ กทม. เพราะเป็นหน้าที่ตามโครงสร้างและกฎหมาย ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีนโยบายของเขาที่เขาได้รับเลือกมาก็จริง แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็มีนโนบายของรัฐบาลที่ต้องปฏิบัติในกิจการ กทม. เช่นกัน แถมยังเป็นนโยบายระดับชาติที่เหนือกว่านโยบายท้องถิ่นอีกด้วย รัฐบาลจะปล่อยผู้ว่าฯ กทม. ลุยเดี่ยวไปไม่ได้
ผมจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลนำบทเรียนจากความปล่อยปละละเลยที่ผ่านมาจนเกิดผลที่ดอนเมืองครั้งนี้มาแก้ไขเสียใหม่โดยด่วน วิธีการหนึ่งคือให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษากิจการ กทม. ของท่านขึ้นมาเลยครับ มีประธานกรรมการและกรรมการทั้งชุดพร้อมสรรพ งบประมาณใช้ในส่วนของท่านรัฐมนตรีฯ ไปพลางก่อน ให้คณะกรรมการหรือคณะทำงานชุดนี้ผลักดันนโยบาย กทม.ของรัฐบาลเต็มที่ การแข่งขันเพื่อทำงานรับใช้ประชาชนใน กทม. นั้น ไม่มีอะไรผิดเลยครับ มีแต่จะยังประโยชน์ให้กับประชาชนมากขึ้น หน้าไหนจะค่อนขอดว่าเราแพ้แล้วยังไม่ยอมแพ้ก็ให้เขาว่าไป สุดท้ายประชาชนก็จะเห็นเองว่าใครเป็นใคร หัวใจอยู่ตรงนั้น
บทเรียนที่สองเป็นของพรรคเพื่อไทย เราต้องถามตัวเองว่าเราทำงานในระบบพรรคการเมืองกันเต็มที่แล้วหรือยังในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลนั้นถึงจะมาจากพรรคเพื่อไทย แต่ครั้นให้รัฐบาลบริหารงานไปด้วยและหาเสียงควบคู่กันไปด้วยนั้น คงผิดธรรมเนียมและเป็นที่ครหาได้มากแน่ พรรคเพื่อไทยเป็นองค์กรทางการเมืองโดยตรง มีหน้าที่ที่จะหาทางเข้าถึงประชาชนทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศไทยด้วยนโยบายและกิจกรรมของพรรค บอกตรงๆ กับประชาชนได้เลยว่า เพราะอยากได้เสียง อยากได้อำนาจรัฐ อยากจัดตั้งรัฐบาล ไม่ต้องดัดจริตเสแสร้งใดๆ เลยครับ เราเป็นพรรคการเมืองก็เพราะเราอยากได้อำนาจ ไม่ใช่สายพันธุ์ที่นิยมพูดว่าตัวเองไม่ใช่นักการเมืองหรือแสดงความรังเกียจการเมือง แล้วไปซ่องสุมเหล่าโจรคอเชิร์ตขาวมาเข้าปล้นชิงอำนาจอันชอบธรรมที่ประชาชนเขามอบให้คนอื่นมาเป็นของตน เราต้องช่วยกันลงพื้นที่ทำประโยชน์อย่างต่อเนื่องให้กับประชาชนในทุกเขตเลือกตั้ง โดยพรรคเป็นเจ้าภาพหลักและคอยสนับสนุนทุกกระบวนท่า ไม่ว่าเราจะมีผู้แทนอยู่หรือไม่ และทำตลอดอย่าคอยเวลาที่จะเลือกตั้งเลยครับ เงินทองก็พอมีกันแล้วไม่ใช่หรือ ไม่เหมือนช่วงก่อน นำมาใช้บริหารจัดการกิจกรรมการเมืองต่างๆ ได้สบาย มวลชนเสื้อแดงทุกเขตเขาก็พร้อมเข้ามาช่วยเป็นกำลังให้ สิ่งเดียวที่ยังขาดอยู่คือ การตัดสินใจของท่านผู้มีอำนาจในพรรค ที่ต้องควบคุมความรู้สึกและอย่าสนุกกับความเป็นรัฐบาลมากจนเกินไป
บทเรียนสุดท้ายเป็นภาพรวมทางการเมือง เราควรนำความพ่ายแพ้ในครั้งนี้มาใช้ประโยชน์ให้มาก ไม่ว่าเราจะแพ้โดยคะแนนเสียงขนาดไหนและบวกการบริหารจัดการในภาครัฐขนาดไหนก็ตาม ผมยังขอยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเพื่อไทยไม่ควรทำท่าให้สังคมทั่วไปรู้สึกว่า การเมืองขณะนี้เป็นการเมืองในภาวะปกติ เราต้องย้ำเสมอว่าขณะนี้เป็นการเมืองผิดปกติและเป็นการเมืองรอเวลา คือรอเวลาที่ฝ่ายตรงข้ามคือระบอบอำมาตย์ศักดินาเขาจะสยายปีกใช้กลไกอำนาจรัฐทั้งหลายที่เขาสะสมมานานปีเพื่อโค่นล้มเรา เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ จะลอยออกมาจากฝ่ายเขาเป็นระยะ และจะยิ่งหนักขึ้นหลังชัยชนะที่เขาได้รับในเขตดอนเมือง เราต้องปรับโทนเสียงเสียใหม่ในบัดนี้ ความเป็นรัฐบาลที่ใครๆ มารุมเอาใจนั้นมิใช่ภาพจริง อย่าไปคิดว่าเราลอยลำแล้วเป็นอันขาด นับแต่ พ.ศ.๒๕๔๘ ที่เกิดกลุ่มสวมเสื้อเหลืองและเรียกตนเองว่า “เรารักในหลวง” เป็นต้นมา สถานการณ์การเมืองไทยก็เข้าสู่ภาวะที่ไม่เป็นปกติมาแต่บัดนั้น ถ้าเราสื่อสารว่าทุกอย่างปกติ ชนะหรือแพ้เลือกตั้งก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราสื่อสารให้ชัดเจนในแนวที่ว่ามา มวลชนส่วนใหญ่ของประเทศก็จะช่วยเราเตรียมตัว และคอยเตือนเราเมื่อเราเผลอไผลประมาทไปในบางครั้ง
*******************************************
ขอบคุณภาพประกอบจาก เว็บไซต์ไทยรัฐ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี