พปชร.หนุน‘จักรทิพย์’
ชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกทม.
‘บิ๊กป้อม’มอบ‘ธรรมนัส’
บัญชาการสู้ศึกเมืองหลวง
‘ไพบูลย์’จี้พรรคเพื่อไทย
ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
“บิ๊กป้อม” หนุน “ธรรมนัส” คุมสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เรียก“สส.กทม.-สก.-หัวคะแนน” เข้าป่ารอยต่อฯเป่ากระหม่อมดันช่วย “จักรทิพย์ ชัยจินดา” เต็มสูบพร้อมทุ่มปัจจัยทุกด้าน ด้าน “บิ๊กแป๊ะ” แจงลงผู้ว่าฯกทม.ในนามอิสระ ไม่กลัวถูกมองเป็นนอมินีพรรคพปชร.ยอมรับ“บิ๊กป้อม”ยกหูถาม“ถ้าไม่มีอะไรทำ น่าไปลงผู้ว่าฯ” เผยวาง 4 เสาหลักพัฒนากทม.“ไพบูลย์”กระตุก “เพื่อไทย” รีบยื่นร่างแก้รธน.ทำให้จริงจัง อย่ามัวแต่ใช้วาทกรรม ลั่น “พปชร.ผู้นำแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน
เมื่อวันที่ 4 เมษายน รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมาที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5จังหวัด ได้มีการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ตลอดจน ส.ส.กทม.,ผู้สมัคร สก.และหัวคะแนน ราว 30คน เข้าร่วมประชุม โดยในส่วนของหัวคะแนนนั้น มีบุคคลระดับรองผู้ว่าฯกทม.คนหนึ่งในปัจจุบัน เป็นผู้ประสานพาเข้ามาร่วมประชุม
รายงานข่าว ระบุว่า ในการประชุมมีการกำหนดแนวทางการทำงานในการสนับสนุน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (อดีต ผบ.ตร.) ที่จะลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามอิสระ เพื่อให้ได้รับการเลือกตั้ง ส่วนในรายละเอียดและการสนับสนุนต่างๆ ร.อ.ธรรมนัส จะเป็นผู้รับผิดชอบ
แหล่งข่าวที่เข้าร่วมประชุมรายหนึ่ง เปิดเผยว่า บรรยากาศการประชุมในวันนั้น มี ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งนั่งหัวโต๊ะ ร่วมกับ พล.อ.ประวิตร เป็นผู้กล่าวให้แนวทางการทำงานทั้งหมด ขณะที่ พล.อ.ประวิตร เพียงรับฟังและแสดงท่าทีเห็นด้วยเท่านั้น
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวยืนยันว่า พร้อมสนับสนุนปัจจัยทุกด้านอย่างเต็มที่ ซึ่งในบางประเด็นนั้นผู้เข้าร่วมประชุมบางส่วนเกิดความไม่สบายใจ เนื่องจากเป็นรูปแบบที่เหมาะกับการทำการเมืองในพื้นที่ต่างจังหวัดมากกว่าในพื้นที่ กทม. อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงถูกร้องเรียนจนอาจถูกใบเหลือง หรือใบแดงได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าท้วงติง เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร ได้แสดงความเห็นด้วยไปแล้ว
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการลงสมัครว่าผู้ว่ากทม.ในครั้งนี้ว่า จริงๆแล้วไม่มีความคิดเรื่องการเมืองอยู่ในสมองและติดเรื่องเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่มีเวทีเดียวที่จะลงรับเลือกตั้งได้คือสนามกทม.ซึ่งการตัดสินใจมีองค์ประกอบหลายอย่าง ถ้าจะบอกว่าคำตอบคือไม่มีแรงบันดาลใจ ก็จะถือว่าโกหก ยอมรับว่ามีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็น่าจะไปลงผู้ว่าฯกทม. ส่วนเรื่องการจะสนับสนุนอย่างเป็นทางการหรือไม่อย่างไร คงต้องถามพล.อ.ประวิตร เอง แต่การที่ท่านเป็นนักการเมืองจะมาพูดว่าช่วยก็จะเกิดความหมิ่นเหม่อีก ซึ่งตนตอนนั้นก็ไม่ได้อะไรก็ตอบตกลงไป ซึ่งตนก็คิดว่าจะลงในนามอิสระแน่นอน ซึ่งเราร่างแผนไว้หมดแล้ว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า สำหรับแนวคิดของตนที่จะทำให้กับคนกทม.นั้นคิดว่าคงคล้ายกับหลายคนทั้งเรื่องปัญหาการจราจร ปัญหาขยะและปัญหาความปลอดภัย อย่างไรก็ตามประเทศไทย เคยมีนายกฯ เป็นทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนประชาชน จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการติดตัดสินใจของคนกทม.เพียงขอให้แยกอาชีพกลับตัวตนออกจากกัน
“ในฐานะที่เป็นอดีตนายตำรวจเก่ารู้ถึงปัญหาต่างๆโดยเฉพาะเรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนถ้าได้เป็นผู้ว่าฯกทม.ก็เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวที่จะทำอย่างไรให้พี่น้องของเราดีขึ้น ให้บ้านหลังนี้ดีขึ้น ฉะนั้นหลักก็คือจะต้องมี 4 เสาหลัก โดยมีผมเป็นเสาเอก คืน 1. เรื่องความจริงใจ 2.ประสบการณ์ความรู้วิสัยทัศน์ที่จะนำมาใช้ในบ้านหลังนี้ 3.รับฟังปัญหาของทุกคนจากทุกองค์กรและสิ่งที่สำคัญที่สุด 4.การซื่อสัตย์ สุจริต และโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ”พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า ตนเพิ่งลงพื้นที่ 2-3 เดือน รู้อยู่แล้วว่ามาช้ากว่าคนอื่น และรู้ดีว่ามีข้อเสียเปรียบเยอะ บางคนมีฐานทางการเมืองอยู่แล้ว ขนาดที่ตนไม่มีอะไรเลย เข้ามาตัวคนเดียว ดังนั้นจะต้องทำการบ้านหนักพอสมควร แต่โชคดีที่เคยอยู่ในพื้นที่กทม.รู้ปัญหา นี่คือสิ่งที่ได้เปรียบจากอาชีพเดิม
เมื่อถามว่าการลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ในครั้งนี้มีคนมองว่าเป็นนอมินีของพรรคพปชร.พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ขอถามว่าคนที่จะลงเป็นคู่แข่งกับตน จะบอกคนกทม.อย่างไรว่าไม่ใช่นอมินีของพรรคนั้น พรรคนี้ และในอนาคตนอาจจะอยู่พรรคไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ขอลงผู้ว่าฯกทม.ในนามอิสระแน่นอน บางคนบอกว่าไม่กลัวที่จะถูกมองว่าเป็นนอมินี หรือเพราะรู้จักกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร แต่ตนอยากบอกว่าคนที่อยู่พรรคเดียวกันคนละพวกก็เยอะ พวกเดียวกันคนละพรรคก็มี แต่สำหรับตนมีแต่พรรคพวก
นายไพบูลย์ นิติตะวัน สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ฝ่ายกฏหมาย กล่าวถึงกรณีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พาดพิงถึงการที่พรรคพลังประชารัฐเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 ประเด็น 13 มาตรา ที่จะยื่นญัตติต่อประธานรัฐสภาในวันที่ 7 เม.ย.นี้ ไม่จริงใจ เหมือนไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าไม่อยากแก้ขอให้พูดกันตรงๆ ดีกว่ามาแสดงละครตบตาประชาชน เพื่อลดแรงปะทะให้รัฐบาลว่า ตนเชื่อว่าเมื่อประชาชนทั้งประเทศ ได้เห็นพรรคพลังประชารัฐ ยื่นญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภาในวันดังกล่าวจะทำให้ประชาชนทั้งประเทศ เชื่อมั่นในความจริงใจและจริงจังของ พปชร.ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประโยชน์จริงๆกับประชาชน เพิ่มสิทธิเสรีภาพ และแก้ไขปัญหาให้ สส สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้ และ พปชร จะเป็นผู้นำในการแก้ไขระบบเลือกตั้งให้ใช้บัตร 2 ใบ ตามที่ประชาชนจำนวนมากต้องการ
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า นายประเสริฐ ออกมายอมรับว่า เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประโยชน์กับประชาชน พรรคร่วมฝ่ายค้านยังไม่ได้หารือกันจริงๆจังๆ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ ตนเห็นว่าหาก พรรคเพื่อไทย มัวแต่ใช้เวลาคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญลดหรือแย่งอำนาจจากสมาชิกรัฐสภากลุ่มอื่น เพื่อมาเพิ่มอำนาจกลุ่มตนเอง ซึ่งสมาชิกรัฐสภากลุ่มที่ถูกลดหรือแย่งอำนาจย่อมมีสิทธิ์ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างนั้น เป็นการสร้างความขัดแย้งในสังคม และพรรคเพื่อไทย ไม่ยอมเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชนโดยตรง ก่อน เพราะต้องการเอาประชาชนมาเป็นตัวประกันให้ได้ตามความต้องการของพวกตนก่อนใช่หรือไม่ ขณะนี้ประชาชนอยากเห็นการพูดจริงทำจริงเพื่อประชาชนอย่างพรรคพลังประชารัฐ มากว่าการที่ พรรคเพื่อไทยที่มีแต่คำพูดวาทกรรมสวยหรู แต่ไม่ทำอะไรจริงจังให้เป็นประโยชน์กับประชาชนเลย ผมจึงหวังว่า พรรคเพื่อไทยจะเร่งร่วมยื่นญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างพรรคพลังประชารัฐโดยเร็วกว่านี้ ไม่ควรใช้เวลานานอย่างที่เป็นข่าว
ขณะที่ นายนพดล ปัทมะ ประธานนโยบายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการที่แกนนำพรรครัฐบาลระบุ พรรคพท.ควรรีบยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เร็วกว่านี้อย่าใช้วาทกรรมสวยหรู ตนฟังก็แปลกใจ เกรงว่าสังคมจะสับสนจึงขอเรียนว่า 1.พรรค พท.เป็นพรรคแรกที่ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการตั้ง สสร.ในเดือนสิงหาคม 2563 ก่อนที่พรรคร่วมรัฐบาลจะยื่นตามมาในเดือนกันยายน2563และนอกจากนั้นพรรคยังได้เคยยื่นแก้ไขรายมาตรามาแล้ว ดังนั้นการที่มีบางพรรคจะอ้างว่าเป็นผู้นำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ควรหาข้อเท็จจริงมารองรับ 2.สมาชิกพรรคพท.ยังมุ่งมั่นที่อยากจะเห็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และคาดว่าจะมีการยื่นแก้ไขอีกครั้งในเร็วๆนี้โดยจะมีการหารือกับพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานเพราะหากจะเดินหน้าเสนอแก้ไขตามลำพังพรรคเดียวก็สามารถทำได้เลย มีคำถามว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะยื่นแก้ไขตามลำพังใช่หรือไม่ แต่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นอีกสามพรรคคือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคภูมิใจไทย (ภท.)และพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) จะรวมกันยื่นแก้ไขต่างหากใช่หรือไม่
3.ในการแก้รัฐธรรมนูญนั้นควรแก้ประเด็นที่ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเพื่อทำให้ประเทศเดินหน้า ตนเห็นว่าประเด็นเรื่องอำนาจ สว.โหวตนายกฯควรได้รับการแก้ไข และดูเหมือนว่าพรรค ปชป. , ภท., ชทพ.ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอาจจะเสนอแก้ไขประเด็นนี้ด้วย แม้แต่ สว. บางท่านก็ให้สัมภาษณ์เห็นแก่บ้านเมืองและพร้อมยกมือให้ ซึ่งน่าเสียดายที่พรรคแกนนำรัฐบาลบางพรรคไม่เสนอขอแก้ไข และ 4.ตนเห็นว่ารัฐบาลโดยครม. แถลงต่อรัฐสภาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน เมื่อเป็นนโยบายของรัฐบาล ครม. ก็ต้องเป็นผู้เสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง แต่ผ่านไปครึ่งทางเกือบสองปีแล้วก็ยังไม่มีการยื่นโดย ครม. ขอย้ำว่าการยื่นโดยพรรคร่วมรัฐบาลไม่ถือว่าเป็นการยื่นโดย ครม.
“ขอเชิญชวนสมาชิกรัฐสภาได้ร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ทำให้กติกามีความเป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แก้ประเด็นที่เป็นสาระ และก้าวข้ามประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนไปสู่ประโยชน์ของประชาชนให้ได้” นายนพดล กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี