‘กวิ้น-รุ้ง’ดิ้นหนัก
ลุ้นศาลสั่งปล่อยตัว6พ.ค.
พร้อมยอมรับทุกเงื่อนไข
“ดีอีเอส” ตั้งทีมจับตา “กลุ่มย้ายประเทศฯ” หลังมีเรื่องร้องเรียนสร้างความแตกแยก-หมิ่นสถาบันฯ เตรียมพิจารณาดำเนินคดี
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรุ๊ปเฟซบุ๊ค “ย้ายประเทศกันเถอะ” ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมออนไลน์ขณะนี้ว่า กระทรวงดีอีเอสได้รับการร้องเรียนถึงความเคลื่อนไหว
ของกลุ่มดังกล่าวมาเช่นกัน โดยผู้ร้องเรียนระบุว่า มีเนื้อหาสร้างความแตกแยกสร้างความเกลียดชัง และยังมีการแสดงความคิดเห็นเข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามเบื้องต้นพบว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงแนะแนวการศึกษา และแนะนำแนวทางประกอบอาชีพในต่างประเทศ ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องที่ดี และหน่วยงานภาครัฐเองก็มีการให้ข้อมูล และให้การสนับสนุนผู้ที่มีความพร้อมมาโดยตลอดอยู่แล้ว ทั้งในแง่การไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงการต่างประเทศ เช่นเดียวกับการประกอบอาชีพที่มี กระทรวงแรงงาน เป็นผู้กำกับดูแล
ตั้งทีมสอบพร้อมดำเนินคดี
“เท่าที่ติดตามหลายๆโพสต์ก็เป็นเรื่องแนะแนวการศึกษา และการใช้ชีวิตในต่างประเทศ ที่แฝงด้วยประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มบางคนที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศก็มีพฤติกรรมชังชาติอยู่แล้ว ก็มีวัตถุประสงค์แอบแฝงเพื่อสร้างความแตกแยก และหมิ่นสถาบันเบื้องสูง กระทรวงดีอีเอสมีคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและติดตามการกระทำความผิดในสังคมออนไลน์อยู่แล้ว ก็ได้กำชับไปให้ตรวจสอบดูว่ามีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด” นายชัยวุฒิ กล่าว
และว่าหากเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการศึกษาหรืออาชีพในต่างประเทศ รัฐบาลคงไม่ปิดกั้น เพราะถือเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีความเป็นห่วงในบางข้อความที่ไม่เหมาะสม อาทิ การแนะนำวิธีลักลอบเข้าเมือง หรือการอาศัยอยู่เกินกำหนดอย่างผิดกฎหมายหรือที่เรียกว่าโดดวีซ่า ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และอาจจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงการพิจารณาให้วีซ่าคนไทยของประเทศปลายทางในอนาคตด้วย ที่สำคัญยังเป็นห่วงว่า กลุ่มดังกล่าวอาจเป็นช่องทางของขบวนการมิจฉาชีพที่ใช้สังคมออนไลน์หลอกลวงให้มีการไปทำงานต่างประเทศที่ระบาดอย่างหนักในระยะหลัง โดยทราบจากสถิติของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ว่าช่วงปี 2561-2563 ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับการหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศแล้วมากกว่า 1,500 เรื่อง ดังนั้นผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ไม่หลงเชื่อขบวนการเหล่านี้
สิระแนะให้ออกจากประเทศไทย
นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีกลุ่มในเฟซบุ๊กชื่อกลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” ว่า เรื่องนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าคุณมีความสามารถพอที่จะไปทำมาหากิน หาคู่ครองเป็นชาวต่างชาติ หรือศึกษาต่อที่ต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย ไม่ใช่ไปเป็นโรบินฮู้ด หลบๆ ซ่อน ๆ จนต้องกลายเป็นปัญหาของสถานทูต ก็ไม่ได้มีใครบังคับให้อยู่ในประเทศไทยต่อ แต่นักการเมืองบางคนแค่ต้องการปั่นกระแสตรงนี้มาโจมตีการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าทำให้ประเทศไทยไม่น่าอยู่ ตนก็อยากจะให้ย้อนไปถามนักการเมืองหลายคนที่มีภรรยาเป็นชาวต่างชาติทั้งมาจากประเทศฝรั่งเศส อินโดนีเชีย ซึ่งสามารถย้ายขอสัญชาติไปเป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ ได้ แต่ทำไมถึงต้องพาภรรยามาอยู่ที่ประเทศไทย
“ตอนนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่อยากย้ายประเทศจนตัวสั่น ก็คือบรรดาแกนนำม๊อบที่ออกมาก่อความวุ่นวาย ทำลายประเทศ จึงต้องการย้ายเพื่อหนีคดีที่ยาวเป็นหางว่าว แต่ไม่มีที่ไหนในโลกเขาต้อนรับ สุดท้ายน่าจะมีที่หนึ่งที่เปิดกว้างต้อนรับอยู่ ก็คือ เรือนจำ ที่กำลังรอให้พวกคุณเข้าไปชดใช้กรรม หรือลองถามประสบการณ์จาก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ ดูว่าที่เคยก่อกรรมไว้กับประเทศ สุดท้ายได้ย้ายที่อยู่จากบ้านไปอยู่ในคุกใช่หรือไม่” นายสิระ กล่าว
สั่งดีอีเอสตรวจข่าวปลอม
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ห่วงใยประชาชนเกี่ยวกับการรับข้อมูลข่าวสารในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยพบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ และข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์ ก่อให้เกิดความสับสัน ตื่นตระหนก และเข้าผิดเกี่ยวกับกรณีต่างๆ ดังนั้น ขอให้ประชาชนระมัดระวัง เลือกรับข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งต่อ แชร์ข้อมูล เพื่อช่วยลดปัญหาข่าวปลอม ไม่เป็นการสนับสนุนกระบวนการผลิตข่าวปลอมที่สร้างความสับสนแก่คนในสังคม
น.ส.ไตรศุลี กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง จึงกำชับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ตรวจสอบข่าวสารอันเป็นเท็จ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม รวมถึงชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง หากพบกรณีจงใจสร้างความสับสนแก่ประชาชนให้ดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย นอกจากนี้ หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวง กรม ส่วนราชการต่างๆ ยังมีหน้าที่ตรวจสอบข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานตนเอง และชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงข้อมูลที่ถูกต้องด้วย
“นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ยังพบหลายกรณีที่พยายามโจมตีและดิสเครดิตรัฐบาล โดยอาศัยข้อมูลเพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วน และข้อมูลเท็จ ฉวยโอกาสโจมตีรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นวัคซีน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ โดยนายกรัฐมนตรี ขอวิงวอนกลุ่มคนที่กระทำการดังกล่าว ให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนจากการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือไม่ครบถ้วน โดยขอให้ทุกฝ่ายลดความขัดแย้ง ช่วยกันทำให้เกิดบรรยากาศของความร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อที่สถานการณ์โควิด-19 จะได้คลี่คลายลงโดยเร็ว”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
แม่’กวิ้น’วอนอย่าย้ายรพ.
นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ยื่นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ของดย้ายตัวนายพริษฐ์ไปรักษาตัวที่สถานที่อื่น นอกจากจะได้รับความยินยอมจากนายพริษฐ์ หรือตนเอง เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย อีกทั้งยังมีโควิด-19 ระบาดในเรือนจำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี