"สาทิตย์"แนะรัฐบาลสางปัญหา"ทวงคืนผืนป่า"ยุคคสช.กระทบคนจน ห่วงเป็นชนวนขัดแย้งรุนแรง
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวในงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “7 ปี ทวงคืนผืนป่า สู่ปีแห่งการเดินหน้าแก้ปัญหาที่ดิน” เมื่อช่วงเย็นวันที่ 13 มิ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ถึงกรณีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการจัดการพื้นที่อนุรักษ์ ว่า ในยุคก่อนหน้ารัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นโยบายดังกล่าวของรัฐบาลก่อนๆ ดำเนินมาค่อนข้างดีแล้ว เช่น ในปี 2554 ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีการวางนโยบายโฉนดชุมชน รวมถึงเริ่มจัดตั้งธนาคารที่ดิน และยุคหลังจากนั้นนโยบายก็มีความใกล้เคียงกัน แต่เมื่อมีการยึดอำนาจเดือน พ.ค. 2557 นโยบายทวงคืนผืนป่าที่ออกมาโดย คสช. นั้นถือเป็นนโยบายหักกลาง ซึ่งนอกจากพื้นที่ป่าจะไม่เพิ่มขึ้นมากนักแล้วยังทิ้งบาดแผลจากคดีความของผู้คนและปัญหาให้ต้องแก้ไขกันจนถึงปัจจุบัน
โดยตนมองว่า นโยบายทวงคืนผืนป่า ตามคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 ที่มีการระดมกำลังฝ่ายความมั่นคงหลายหน่วยงานทั้งทหาร ตำรวจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้และอุทยาน เข้าจับกุมดำเนินคดีผู้ที่บุกรุกหรือกระทำการใดๆ ให้เสียสภาพป่าตลอดจนที่ดินอื่นๆ ของรัฐ รวมถึงผู้สนับสนุนด้วย นั้นออกมาโดยความไม่เข้าใจบริบทปัญหาที่ดินทำกินซึ่งมีความซับซ้อน เช่น ข้อถกเถียงในพื้นที่นั้นว่าคนอยู่มาก่อนรัฐประกาศพื้นที่อนุรักษ์หรือไม่ แต่เมื่อกำหนดขอบเขตของรัฐ เอารัฐเป็นใหญ่ ทำให้ใครก็ตามอยู่ในพื้นที่ทำนองนี้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทั้งหมด
“บางแปลงอยู่ในแปลงที่เคยยื่นขอโฉนดชุมชนไว้ตั้งแต่ยุคปี 2554 เป็นแปลงที่มีการผ่อนผันกันมาอย่างนี้เป็นต้นก็โดน หรือบางแปลงที่มีการคาบเกี่ยว ทำมาก่อนมี สค.1 ก็โดนเพราะอยู่ในพื้นที่ที่เป็นป่า เหล่านี้เป็นต้น ฉะนั้นพอออกแบบนโยบายแบบนี้ มันถูกกำหนดด้วยคำสั่ง คสช. อีกข้อหนึ่ง คือให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานการปฏิบัติตามข้อที่กำหนดเอาไว้ กระทรวงทรัพยฯ ไม่มีทางเลือก ก็เลยต้องไปจัดการและต้องรายงาน คสช. เพราะทุกคนขณะนั้นก็ต้องยินยอมต่ออำนาจที่มีการยึดอำนาจไป แล้วก็เป็นองค์รัถฐาธิปัคย์ พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้ยึดอำนาจ ฉะนั้นทุกคนก็เอากันใหญ่ ก็ไปจับกุม” นายสาทิตย์ กล่าว
นายสาทิตย์ กล่าวค่อไปว่า เมื่อนโยบายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จึงมีการออกคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 เน้นให้จัดการเฉพาะนายทุน แต่ก็ยังมีปัญหาเพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานยังถูกกดดันให้ต้องรายงานความคืบหน้า และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่เข้าใจความซับซ้อนของปัญหา ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลก่อนๆ ที่พยายามแก้ไขปัญหา อีกทั้งแม้จะมุ่งเน้นจัดการกับนายทุน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เห็นเป็นรูปธรรมเมื่อเทียบกับผลกระทบที่เกิดกับชาวบ้าน เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาการออกนโยบายที่ไม่ได้ออกจากรัฐบาลแบบประชาธิปไตยที่มีตัวแทนประชาชนคอยให้ความเห็น
ทั้งนี้ ตนเสนอแนะไว้ 2 ส่วน ส่วนแรกคือกรณีที่เป็นคดีความไปแล้ว เรื่องนี้หากปัญหาเกิดจากนโยบายก็ต้องแก้ด้วยนโยบาย เช่น กำหนดให้รวบรวมข้อมูลของแต่ละคดีว่าคดีใดไปถึงขั้นตอนไหนบ้าง หากเป็นคดีที่ยังไปไม่ถึงอัยการ หรือไปถึงอัยการแล้วแต่ยังไม่ถึงศาล และเป็นคดีของคนจน คดีที่อยู่ในระหว่างโต้แย้งเรื่องสิทธิ หรืออยู่ในกระบวนการแก้ไขปัญหา จะสามารถทำได้หรือไม่ โดยให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง
ซึ่งในอดีตเคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นที่อัยการสั่งไม่ฟ้องโดยอ้างอำนาจหน้าที่อย่างหนึ่งคือสามารถไม่ฟ้องได้หากไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่เรื่องนี้จะทำได้หากมีการสั่งการทางนโยบาย โดยยอมรับว่าการทวงคืนผืนป่ามีปัญหาเกิดขึ้นในบางเรื่อง นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องแปลงคดี ที่ตอนมีนโยบายทวงคืนผืนป่า ชาวบ้านบางรายไม่กล้าแสดงตัวว่าใช้ประโยชน์ที่ดินเพราะกลัวถูกดำเนินคดี จึงมีการปักป้ายไว้ว่าที่ดินนั้นอยู่ในการพิจารณาคดี และในเวลาต่อมาเมื่อมีการเตรียมทำกฎหมายอุทยานฉบับใหม่ที่ต้องให้ผู้ใช้ประโยชน์เดิมมาแสดงตัว ชาวบ้านก็ไม่สามารถทำได้
“ผมคุยกับบางคนในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เขายอมรับว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ส่วนหนึ่งในกรมมองเห็นปัญหานี้แล้วจะแก้ เขาก็หาช่อง ผมก็บอกเขาไปว่าเรื่องนี้กรรมาธิการคงต้องจับแล้วเพราะว่ามันผ่านมา 7 ปี เรื่องมันใหญ่มากแล้ว ถ้าคุณคิดจะแก้ คุณจะแก้อย่างไร เขาก็บอกว่าเขาต้องสางก่อนว่าชาวบ้านกับนายทุนอยู่กันอย่างไร ซึ่งวิธีการนิยามว่าใครคือนายทุน ซึ่งมันจะมีชาวบ้าน อันนี้อุทยานพูดว่ามันมีชาวบ้านเป็นนอมินีนายทุน ผมก็บอกว่าคุณต้องแยกแยะ เพราะมันมีคนยากจนที่อยู่ตรงนั้นจริง สิ่งที่จะแก้ต้องถูกกระทุ้งและทำให้เกิดขึ้นมา อันนี้คือส่วนหนึ่ง” นายสาทิตย์ ระบุ
นายสาทิตย์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่สองคือนโยบายที่รัฐบาลดำเนินการผ่านกลไกคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) หรือนโยบายแก้ปัญหาที่ดินทำกินในที่สาธารณะต่างๆ เรื่องนี้ต้องดำเนินการต่อไป และหากพบว่าใครเป็นคนจนไม่มีที่ไปจริง นโยบายเหล่านี้ต้องถูกนำไปใช้ ให้คนยากจนดังกล่าวหลุดออกจากนโยบายทวงคืนผืนป่า อย่างไรก็ตาม ขอฝากว่าอย่าถามตนว่าเรื่องนี้ใครควรทำ เพราะในฐานะที่ตนเป็น ส.ส. คนหนึ่ง เป็นกรรมาธิการ และเคยเป็นรัฐมนตรีที่ดูแลปัญหาที่ดินชาวบ้าน ก็ยังมองไม่เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีรัฐมนตรีคนใดจับงานเรื่องนี้อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ เมื่อไปดู คทช. ที่เพิ่งตั้งสำนักงาน พบว่าในการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2565 งบที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนนั้นพบว่าโดนตัดไปเป็นจำนวนมาก และสำนักงาน คทช. ก็ไม่มีงบประมาณที่จะไปดำเนินการด้วย แต่นโยบาย คทช. เมื่อมีมาแล้วก็ต้องดำเนินต่อไปควบคู่กับการแก้ไขปัญหาคดีความที่เกิดจากนโยบายทวงคืนผืนป่า เพราะไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากปล่อยไปเช่นนี้ ความสลับซันซ้อนเรื่องที่ดินจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่รุนแรงได้ง่ายที่สุดซึ่งไม่อยากเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้น
“เราเห็นปัญหาจริงๆ แล้วถ้าเกิดรัฐบาลไม่เห็น ผมว่าพูดง่ายๆ พาชาติไม่รอด ปัญหานี้มันใหญ่เกินกว่าที่ให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาตัดสินใจ มันเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐบาลต้องทำร่วมกับทุกภาคส่วน” นายสาทิตย์ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี