โฆษก อสส.ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเหตุสั่งไม่ฟ้อง'เลขาฯหญิงอ้อ-สามี'คดีฟอกเงินกรุงไทย หลังหลบหนี 3 ปี ยึดคำวินิจฉัยศาลสั่งยกฟ้อง'ทักษิณ-พานทองแท้' ยันพิจารณาไปตามระเบียบและหลักฐาน ไม่ถูกการเมืองแทรกแซง พร้อมส่งสำนวนให้อธิบดีดีเอสไอพิจารณทำความเห็นแย้งหรือไม่
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 7 ต.ค.64 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารเอ ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นานอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วย นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษในฐานะรองโฆษกฯ ร่วมกันแถลงข่าวกรณีพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องนางกาญจนาภา หงษ์เหิน อดีตเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร และ นายวันชัย หงษ์เหิน สามี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน โดยสำนักงานอัยการสูงสุดขอชี้แจงเกี่ยวกับการสั่งคดีดังนี้ว่า
คดีนี้ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 ได้รับสำนวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ.) เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2561 คดีระหว่างสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยนายสุนทรา พลไตร ผู้กล่าวหานางเกศินี จิปิภ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน นายวันชัย หงษ์เหิน และนายพานทองแท้ ชินวัตรผู้ต้องหาที่ 1- 4 ข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินช่วงระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.2546 ถึงวันที่ 17 พ.ค.2547 ต่อเนื่องกัน โดยมีมูลเหตุเกี่ยวพันกับคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีหมายเลขดำที่ อม. 3/2555 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 55/2558 อัยการสูงสุดฟ้องพ.ต .ท .ทักษิณ ชินวัตรเป็นจำเลยที่ 1 พร้อมกับพวกอีกหลายคน ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการยักยอก ความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐความผิดต่อพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยมูลคดีสืบเนื่องจากธนาคารกรุงไทยฯ ปล่อยเงินกู้ให้กับ บริษัท กฤษดานครมหานคร จำกัด (มหาชน) นายวิชัย กฤษดาธานนท์และนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชาย กับพวก โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ฯหมายเลขดำที่อม. 3/2555 หมายเลขแดงที่อม. 55/2558 พิพากษาเมื่อวันที่ 30 ส.ค 2562 โดยให้ยกฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจำเลยที่ 1 โดยวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่ไต่สวนมายังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำความผิดตามฟ้อง จึงมีคำพิพากษายกฟ้อง
สำหรับคดีที่กล่าวหานางกาญจนา ภาหงษ์เหินและนายวันชัย หงษ์เหิน สามี พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 พิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่ฟ้องนางเกศินี จิปิภพผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งอธิบดีดีเอสไอ เห็นพ้องกับการสั่งไม่ฟ้องของอัยการดังกล่าว คดีในส่วนนางเกศินีจึงเสร็จเด็ดขาดแล้ว
ส่วนนางกาญจนาภา นายวันชัยหงษ์ และนายพานทองแท้ชินวัตร พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินตามข้อกล่าวหา แต่ยังไม่ได้ยื่นฟ้องนางกาญจนา และนายวันชัย เพราะหลบหนี
สำหรับนายพานทองแท้ ชินวัตร พนักงานอัยการสำนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินเรียบร้อยแล้ว ต่อมาศาลมีคำพิพากษายกฟ้องนายพานทองแท้ พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่อุทธรณ์ ซึ่งอธิบดีดีเอสไอเห็นพ้องด้วยคดี จึงถึงที่สุดแล้ว
ต่อมาในวันที่ 30 ก.ค 2563 นางกาญจนาภา และนายวันชัย สามีได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เพื่อขอให้ทบทวนคำสั่งฟ้องนางกาญจนาภา และสามี โดยอ้างว่า ข้อเท็จจริงรูปแบบพฤติการณ์ที่กล่าวหาเป็นกรณีเดียวกันกับที่กล่าวหานายพานทองแท้ ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดยกฟ้องไปแล้วอีกทั้งมูลเหตุก็เป็นกรณีสืบเนื่องจากการกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและเป็นเหตุให้ถูกฟ้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่ไต่สวนฟังไม่ได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระทำความผิดตามฟ้องและพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวอ้างว่า เช็คที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ สั่งจ่ายเงิน 26 ล้านบาท ที่เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาทั้งสองถูกกล่าวหาคดีนี้ ก็เป็นเรื่องธุรกรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์ผ่าน บริษัท หลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด และต่อมามีการขายหุ้นและได้คืนเงินลงทุนพร้อมกำไรรวมแล้วประมาณ 27 ล้านบาทเศษไปแล้วข้อเท็จจริงนี้มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารสนับสนุน
ทั้งนี้ พนักงานอัยการได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่ได้จากการร้องขอความเป็นธรรมเห็นว่าคดีมีข้อเท็จจริงใหม่ตามที่ผู้ต้องหาทั้งสองร้องขอความเป็นธรรมเพราะคดีที่ฟ้องพ.ต ท.ทักษิณ และนายพานทองซึ่งศาลต่างยกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วอีกทั้งตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 (ซึ่งเป็นระเบียบที่บังคับใช้ในขณะนั้น) ข้อ 58 ก็วางหลักเกณฑ์ให้เป็นแนวทางปฏิบัติของพนักงานอัยการทั่วประเทศในการดำเนินคดีอาญาไว้ด้วยว่าในคดีที่มีผู้ต้องหาหลายคนกระทำความผิดในคดีเดียวกันและได้ฟ้องผู้ต้องหาบางคนไว้แล้ว แต่ต่อมาศาลยกฟ้องในเหตุลักษณะคดีและคดีเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องแล้วให้พนักงานอัยการทบทวนความเห็นหรือคำสั่งสำหรับผู้ต้องหาที่สั่งฟ้องและยังจับตัวไม่ได้ไว้ด้วย
โดยพนักงานอัยการยังเห็นว่า คดีไม่มีพยานหรือข้อเท็จจริงใด ๆ ว่าผู้ต้องหาทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยฯหรือมีบทบาทหรืออำนาจใด ๆ ในการบีบบังคับธนาคารตลอดจนไม่มีส่วนรู้เห็นถึงกระบวนการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มนายวิชัย กฤษดาธานนท์ กับพวกดังกล่าว
พนักงานอัยการเห็นว่า การร้องขอความเป็นธรรมมีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงความเห็นและคำสั่งจึงมีคำสั่งกลับความเห็นเดิมที่สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองเป็นสั่งไม่ฟ้องนางกาญจนาและนายวันชัย สามี ข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ขณะนี้สำนวนคดีพร้อมความเห็นและคำสั่งดังกล่าวได้ส่งไปยังอธิบดีดีเอสไอเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายว่าจะเห็นพ้องหรือแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการหากเห็นพ้องคำสั่งไม่ฟ้องเป็นอันเสร็จเด็ดขาด แต่ถ้าอธิบดีดีเอสไอเห็นแย้งก็จะนำเสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
เมื่อถามว่า กรณีตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนอยู่ต่างประเทศ การร้องขอความเป็นธรรมมีการรับรองจากทางกงศุลหรือสถานทูต ถูกต้องหรือไม่ว่าเป็นตัวผู้ต้องหาจริง นายประยุทธ ตอบว่าขณะที่ผู้ต้องทั้ง2 ร้องขอความเป็นธรรมระเบียบปฏิบัติการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ 2547 ข้อ48 ว่าด้วยการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งในระเบียบระบุว่าสามารถยื่นผ่านทนายความของผู้ต้องหาหรือผู้เเทนก็ได้ กรณีนี้จึงถูกต้องตามระเบียบ เเต่ทางสำนักงานสูงสุดเล็งเห็นว่าระเบียบนี้มีข้อบกพร่องที่ต้องเเก้ไขปรับปรุงให้เป็นธรรมมากขึ้น ฉนั้นระเบียบในผัจจุบันนี้จึงเเห้ไขใหม่ว่าผู้ต้องหาต้องมาเเสดงตัวต่อพนักงานอัยการ ถ้าไม่มายื่นด้วยตัวเองอัยการก็ไม่รับ
เมื่อถามถึงพฤติการณ์ผู้ต้องหาทั้งสองรายเหมือนกับนายพานทองเเท้ทุกอย่างใช่หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า พฤติการณ์ไม่ได้เหมือนกันทุกอย่างเเต่ข้อเท็จจริงพัวพัน ลักษณะการกระทำเเตกต่างเเต่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงหลักการเดียวกัน สำหรับคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการคดีนี้เป็นคำสั่งของ ร้อยโทไชยา เปรมประเสริฐ รอง อสส. ซึ่งเป็นการสั่งตามระเบียบที่ให้อำนาจใช้ดุลพินิจในการสั่งคดีโดยไม่จำเป็นที่จะต้องปรึกษาผู้บังคับบัญชาเเละไม่เกี่ยวกับอดีต รอง อสส.
นายประยุทธ กล่าวเสริมว่า คดีสืบเนื่องจากคดีหลักที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้กลุ่มบริษัท กฤษฎามหานคร ที่ศาลฎีกาฯนักการเมืองมีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่านายทักษิณ ชินวัตรที่มีส่วนให้ธนาคารกรุงไทยผบ่อยกู้ เมื่อศาลยกฟ้องก็ดูในเส้นทางการเงิน ซึ่งหลักของการฟอกเงิน มีหลักสำคัญในเรื่องของการสมคบของความผิดมูลฐานเรื่องการฟอกเงิน ซึ่งก็คือการยักยอกถ่ายเทซับซึ่งเกิดจากความผิดมูลฐาน และในส่วนของเช็คเงินสด 10ล้านนายพานทองแท้ที่ศาลยกฟ้อง เพราะขี้ว่าเป็นเงินลงทุนธุรกิจรถยนต์ ส่วนเช็ค 26 ล้านของผู้ต้องหาทั้งสองเป็นเรื่องของการซื้อหุ้น ช.การช่าง ในตลาดหลักทรัพย์ เเละ สุดท้ายมีการซื้อขายจริง โดยมีหลักฐานมายืนยันที่ว่ามีการขายหุ้นและก็ถือเงินกัน พนักงานอัยการได้ดูภาพรวมประกอบกลับมองว่าผู้ต้องหาทั้งสองไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพล บทบาทที่จะไปร่วมทำผิดธนาคารกรุงไทย กระบวนการทั้งหมดจึงมีลักษณะเป็นพฤติการณ์คล้ายกันกับของนายพานทองแท้เป็นเหตุที่อัยการต้องทบทวนคำสั่งซึ่งเป็นไปตามระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ 2547 ข้อ58 จึงต้องทบทวนให้ผู้ต้องหาเเม้ถึงไม่มีการจอความเป็นธรรมเข้ามา ซึ่งหลักเกณฑ์อัยการทั่วประเทศใช้กัน สำหรับคดีนี้จากเอกสารผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมมา1ครั้ง ซึ่งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการนั้นได้ส่งไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อประมาณเดือนกันยายน ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งตามกฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการทำความเห็นมายังอัยการ แต่ตามกฎหมายถ้าอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นของกับพนักงานอัยการคดีก็จะยุติแต่หากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นแย้งเรื่องก็จะถูกส่งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
เมื่อถามว่าคดีนี้พนักงานอัยการที่ร่วมพิจารณามีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันหมดหรือไม่ในการกลับคำสั่ง นายประยุทธตอบว่าใช่ มีการกลั่นกรองจากพนักงานอัยการหลายขั้นตอนซึ่งเเต่ละคนมีความเห็นเเนวทางเดียวกันหมดตั้งดเต้อธิบดีอัยการคดีพิเศษผ่านไปยังสำนักงานกิจการคดีพิเศษเเละถึงรอง อสส.ในการกลับคำสั่ง โดยยืนยันว่าเเม้คดีนี้เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เเต่การสั่งคดีของพนักงานอัยการมีความเป็นอิสระเเละไม่ถูกเเทรกเเซงเเต่อย่างใด
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี