“นายกฯ” หนุน 11 หน่วยงานดึงเด็กกลับเข้าเรียน ชี้ตัวเลขเด็กตกหล่นต้องเป็นศูนย์ ด้าน “ตรีนุช”วางเป้า เทอม2เด็กตกหล่นที่เหลือกว่า 1 แสนต้องได้เรียนครบทั้งหมด
วันที่ 17 มกราคม 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)โครงการส่งเสริมโอกาส ความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษา “พาน้องกลับมาเรียน” ระหว่าง 3 หน่วยงานหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาฯ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พร้อมด้วย 11 พันธมิตร อาทิ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงวัฒนธรรม,กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, กรุงเทพมหานคร, และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดย มี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศธ. พร้อมผู้บริหาร ศธ. ให้การต้อนรับ ที่หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพัฒนาคน ให้พร้อมสำหรับการพัฒนาในศตวรรษที 21 กิจกรรมนี้สอดคล้องกับการสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ดีใจที่เห็นความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่พยายามให้โอกาสเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา และเด็กที่ยังไม่ได้รับการศึกษาเลย ทั้งเด็กปกติและเด็กพิการให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาอีกครั้ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า หลายคนออกจากระบบการศึกษาเพราะความจำเป็น ไม่ใช่แค่สถานการณ์โควิด เป็นบริบทโดยรวมที่เราต้องช่วยกันหาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา โดยเฉพาะตอนนี้มีการเรียนที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งออนไลน์ ออนไซต์ สิ่งสำคัญต้องดูแลความพร้อมผู้ปกครอง ว่ามีค่าใช้จ่ายที่เพียงพอหรือไม่ เพราะบางครอบครัวแม้มีค่าเล่าเรียนให้แต่ผู้ปกครองขาดแรงงานในบ้าน เป็นปัญหาลึกซึ้งที่ต้องลงไปช่วยดูแล โครงการนี้เป็นโอกาสหนึ่งที่ช่วยกันสร้างทรัพยากรที่สำคัญของประเทศในทางตรง มีหลายหน่วยงานเข้าร่วมแต่การใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียวคงไม่เพียงพอและเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น แต่ละหน่วยงานต้องช่วยกันดูแลใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และต้องลำดับความสำคัญ ความร่วมมือครั้งนี้ ตนถือว่า เป็นของขวัญสำคัญที่รัฐบาลจะทำเพื่อคนไทย การให้โอกาสทางการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ ต้องหาวิธีการที่เหมาะสม ทำอย่างไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ปัจจุบันเรามีกองทุนหลายประเภท แต่การให้เงินกองทุนฯแล้วเด็กยังเรียนในสถานศึกษาเดิมที่ไม่มีคุณภาพ ก็ต้องไปคิดกันว่าจะทำอย่างไร ผมจำได้ว่า ศธ.มีนโยบาย ทำโรงเรียนดีมีคุณภาพ ลดโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจะให้มีโรงเรียนคุณภาพมากๆ มีครูเพียงพอ เพื่อกระจายการใช้จ่ายงบให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งหมดนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าใจร่วมกันทำให้เกิดความสำเร็จเพื่อให้เกิดการพัฒนา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ครูจะต้องสอนให้นักเรียนมีความคิดที่ดี เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ช่วยคิดและเตรียมพร้อมพัฒนาตัวเอง พ่อแม่และสังคมเพราะไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ครูต้องพูดกับเด็กให้เข้าใจ ว่าสิ่งที่ได้มานั้นไม่ได้ง่าย ไม่เช่นนั้นก็จะคิดกันง่าย ๆ ทำให้เกิดปัญหา เรียนมาจบแล้วยังไม่ทำงานก็สร้างหนี้สิน วันนี้ มีหลายอย่างที่ทำรายได้เข้าประเทศ ทั้งท่องเที่ยว กีฬา ส่งออก ฯลฯ นั่นคือโอกาสและช่องทาง แต่ทำอย่างไร จะมีคนเข้าไปช่วยพัฒนาตรงจุดนั้น ต้องเร่งสร้างความคิด สร้างแรงบันดาลใจ สร้างแนวความคิดนี้ให้เกิดขึ้นในเด็กให้ได้ ว่าเขาโตขึ้นจะช่วยตัวเอง และดูแลพ่อแม่อย่างไร ไม่เป็นภาระของครอบครัวและสังคมในอนาคต ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตั้งใจเรียนหนังสือ การสร้างโอกาสทางการศึกษาต้องเน้นทั้งโอกาส คุณภาพ และความพร้อมของผู้ปกครอง สิ่งสำคัญรัฐบาลกำลังการแก้ปัญหาความยากจนรายครัวเรือน และได้ให้แนวทางปฏิบัติไปแล้ว ต้องลงไปดูให้คำปรึกษาสนับสนุนในทางที่ถูกต้อง ฝากไว้ว่า อุปสรรค มีไว้ฝ่าฟัน ปัญหามีไว้ให้แก้ไข อย่าท้อแท้ อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทำ ทำในทางที่ถูกต้อง อะไรที่เป็นประวัติศาสตร์ที่ดีก็เรียนรู้
อย่าบอกว่าประวัติศาสตร์ไม่สำคัญ อะไรดีก็เรียนรู้ ถ้าจะสอนเรื่องประวัติศาสตร์ครูต้องรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องทำอย่างนั้น ถ้าสอนวิทยาศาสตร์ก็ต้องรู้ว่าจะเกิดประโยชน์อย่างไร ดัดแปลงให้สอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์ ให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เรียนรู้ทั้งประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์โลก ความขัดแย้ง สงคราม และทำความเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงไม่ทะเลาะกัน เพราะเห็นแล้วว่า ความขัดแย้งทำให้ประเทศเสียหาย ทุกอย่างเกิดจากความไม่สามัคคีกลายเป็นความขัดแย้งระดับต่ำจนถึงระดับสูง ครูต้องสอนใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ประวัติศาสตร์ชาติไทย บทเรียนแต่ละเรื่อง ต้องรู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร ตัวเอง สังคม และประเทศชาติได้อะไร ทั้งหมดนี้เป็นการปฏิรูปการศึกษา ศธ. ต้องไปดูว่าจะปฏิรูปอย่างไรที่ไม่ต้องใช้งบจำนวนมาก ระมัดระวังค่าใช้จ่าย เพราะนายกฯต้องคุมงบทั้งหมดให้อยู่ในวินัยการเงินการคลัง โครงการที่ไม่คุ้มค่าต้องถูกตัดออก ช่วงนี้อยู่ระหว่างการจัดทำงบฯปี 2566 ต้องจัดระบบให้ดี จะไม่เกิดความเสียดาย คงไม่มีเงินให้ทั้งหมด เพราะรัฐบาลตั้งวงเงินงบไว้ 3.1 ล้านล้านบาท ดังนั้นต้องลำดับความสำคัญมาให้ดี ไม่ใช่เลือกแต่โครงการใหญ่ ๆ เพราะบางครั้งโครงการเล็กๆ ก็มีความสำคัญ
“หลังจากนี้ เราจะคืนโอกาสให้กับเด็ก ๆ และสร้างโอกาสให้กับสังคม โดยการพาเด็ก ๆ กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับปีการศึกษา 2565 นี้ ในการเติมเต็มด้านการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนอันเป็นกำลังสำคัญของประเทศ ซึ่งหากเด็กได้รับโอกาส ทางการศึกษาแล้ว ก็จะมีอนาคตที่ดี มีทางเลือกในชีวิตในการประกอบอาชีพ มีความรู้ความสามารถ มีงานดีๆทำ ก็จะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยตั้งเป้าตัวเลขเด็กหลุดจากระบบการศึกษาต้องเป็นศูนย์" พลเอกประยุทธ์ กล่าว
ด้าน น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ศธ.เล็งเห็นถึงปัญหาเด็กออกจากระบบการศึกษา จึงได้มีการแก้ปัญหาในเชิงรุกผ่าน โครงการพาน้องกลับมาเรียนที่จะบูรณการร่วมกับหน่วยงานอื่น เพื่อให้ทราบถึงจำนวนเด็กในปัจจุบัน ที่หลุดออกจากระบบการศึกษา และจะมีการลงติดตามถึงบ้าน เพื่อตามเด็กเหล่านี้กลับสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง จากสถิติจำนวนนักเรียนที่หดุดออกจากระบบการศึกษาปี 2564 โดยแบ่งตามสังกัด ได้แก่ สังกัดสำนักวานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 78,003 คน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) จำนวน 50,592 คน สังกัดสำนักวานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)จำนวน 55,599 คน และผู้พิการในวัยเรียนสังกัด พม. จำนวน 54,5 13 คน รวมแล้ว มีนักเรียนหลุดจากระบบการศึกษามากถึง 238,707 คน ซึ่งหลังจากดำเนินการเชิงรุกตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา สามารถตามนักเรียนกลับมาเรียนได้จำนวน 127,952 ราย แต่ยังมีเด็กที่หลุดจากระบบจำนวนอีก 110,755 ราย
"ศธ.มีการพัฒนาเครื่องมือติดตามนักเรียนเหล่านี้ ด้วยแอปพลิเคชันที่ชื่อ “ตามน้องกลับมาเรียน” เพื่อให้เกิดการทำงานที่สะดวกรวดเร็ว และยังสามารถเก็บเป็นฐานข้อมูลของปัญหาที่เกิดกับแต่ละครอบครัวได้อย่างละเอียด และจะได้เป็นแนวทางในการให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุดกับทุกเคสทุกกรณีกันต่อไป เบื้องต้นจะให้โรงเรียนต้นสังกัดติดตามนักเรียน จากนั้นศธ. จะเข้าช่วยเหลือและสนับสนุนให้กลับเข้าสู่สถานศึกษาที่เหมาะสม แต่หากโรงเรียนตันสังกัดติดตามไม่ได้ ก็จะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรที่ได้มีการทำ MOU ในวันนี้ ให้ช่วยติดตาม เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนให้กลับเข้าสู่สถานศึกษาที่เหมาะสมต่อไป เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กไทยได้กลับมามีโอกาสที่ดีในชีวิตกันอีกครั้ง" น.ส.ตรีนุช กล่าวและว่า ทั้งนี้ สำหรับเด็กที่ยังเหลืออีกกว่า 1 แสนรายนั้นได้ตั้งไทม์ไลน์ไว้ว่าในการเปิดเรียนเทอม 2 นี้จะต้องทำตัวเลขนี้ให้หมดไปหรือให้เป็นศูนย์ตามเป้าหมายไว้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี