"สรัลรัศมิ์-สิระ"ลุ้นคะแนนที่วอร์รูม "บิ๊กป้อม"ต่อสายให้กำลังใจ เชื่อคนสูงอายุ-ทหารเทคะแนนให้ "มาดามหลี"รับมีเครียดบ้าง "สิระ"มั่นใจได้เกิน 3.5 หมื่น ทำงานพื้นที่มาตลอด 3 ปี เล็งเช็กบิลนักวิชาการวิเคราะห์เมียแพ้
เมื่อเวลา 17.15.วันที่ 30 มกราคม 2565 ที่วอร์รูมเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) วิภาวดี พาเลซ บรรยากาศเริ่มมีความคึกคัก นอกจาก นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 และนายสิระ เจนจาคะ สามี ที่เข้ามาลุ้นนับคะแนน ยังพบว่ามีแกนนำคนสำคัญของพรรคเริ่มทยอยเดินทางเข้ามา อาทิ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร.และอดีตประธานวิปรัฐบาล นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเศรษฐกิจไทย ขณะที่นางสรัลรัศมิ์ และนายสิระ ยังคงมีท่าทีมั่นใจ และเชื่อว่าจะได้คะแนนมากกว่าเลือกตั้งปี 62 เพราะมีการทำพื้นที่มาตลอด 3 ปี ขณะที่นางสรัลรัศมิ์เปิดเผยว่าได้ไปบนบานกับท้าวสุรนารี ที่ จ.นครราชสีมา นอกจากนี้ ยังพกของขลังประจำตัวไว้ที่ตัวด้วย
ต่อมา 17.20 น.นางสรัลรัศมิ์ แถลงภายหลังปิดหีบว่า มีความมั่นใจ เชื่อว่าประชาชนให้ความไว้วางใจ อย่างไรก็ตาม ขอดูผลคะแนนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้มั่นใจเพราะกลุ่มคนที่ไปเลือกส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ที่ผ่านมาตนให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงอายุ ยอมรับว่าเราเจาะกลุ่มเป้าหมายตรงนี้มาโดยตลอด ซึ่งวันนี้เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ออกมาใช้สิทธิ์จำนวนมาก น่าจะเป็นเพราะตลอด 3 ปีที่ผ่านมาดูแลกลุ่มผู้สูงอายุมาโดยตลอด โดยกลุ่มผู้สูงอายุในเขตหลักสี่และจตุจักรมีอยู่ประมาณ 5 หมื่นคน เป็นกลุ่มที่อยู่บ้าน ส่วนใหญ่มีใจให้กับเรา เป็นฐานเสียงที่มีความสนิทคุ้นเคยกันมาเป็นพิเศษ จึงมั่นใจว่าจะชนะพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลอย่างแน่นอน ซึ่งมีทั้งกระแสส่วนตัวและกระแสของพรรค
เมื่อถามว่า การเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ คิดว่ามีความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร นางสรัลรัศมิ์ กล่าวว่า คิดว่าในเรื่องการดูแลประชาชน การมีผู้แทนเป็นผู้หญิง ถือว่าเราเป็นตัวแทนของแม่ เป็นตัวแทนของลูกสาว ซึ่งเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน ที่จะเข้าถึงประชาชน เชื่อว่าหลายเรื่องเราจะสามารถดูแลประชาชนได้ ในฐานะที่เป็นผู้แทนผู้หญิงได้ดีกว่าผู้แทนผู้ชาย และไม่คิดว่าเป็นข้อเสียเปรียบ เพราะวันนี้ผู้หญิงเก่งมีจำนวนมาก สามารถดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล สามารถเป็นรัฐมนตรี ในยุคใหม่แล้วความได้เปรียบเสียเปรียบจะไม่มีแยกเพศระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ความเป็นผู้หญิงจะเข้าถึงคนในชุมชนได้มากกว่า
นางสรัลรัศมิ์ กล่าวว่า วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร.ได้โทรศัพท์มาให้กำลังใจตน และได้ไถ่ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าวันนี้ทหารออกมาใช้สิทธิ์จำนวนมาก นางสรัลรัศมิ์ กล่าวว่า เรารู้จักและคุ้นเคยกันดี อยากที่แม่บ้าน ปตอ.ได้มีการทำงานและกิจกรรมร่วมกันมาโดยตลอด ช่วงโควิดได้นำยาและเวชภัณฑ์ไปช่วยเหลือทหารที่ติดโควิดจำนวนมาก การเข้าหน่วยทหารเราทำงานมาเป็นประจำอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปปราศรัย อย่างไรก็ตาม เราเข้่าถึงประชาชนในทุกกลุ่ม รวมถึงตำรวจด้วย เรามีการดูแลโรงพักโซนกรุงเทพฯเหนือ ดูแลทั่วถึงอยู่แล้วไม่ต้องห่วง ทั้งนี้ หากได้รับโอกาสเป็น ส.ส.จะทำตามสโลแกน คือการสั่งงานต่อ และนำสิ่งดีๆให้ประชาชน
ช่วงท้าย นางสรัลรัศมิ์ ยอมรับว่า มีเครียดบ้าง และตื่นเต้น แต่ยังมีความมั่นใจ
ด้าน นายสิระ กล่าวว่า ตนมั่นใจการเลือกตั้งว่าจะยังได้ชัยชนะ เพราะประชาชนชาวหลักสี่รู้จักเราทั้งสองคนเป็นอย่างดี จากการลงพื้นที่ 3 ปีที่ผ่านมา โดยฐานเสียงหลักส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ที่เราเข้าถึงและคุ้นเคยกันมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เราทำงานตลอด 7 วัน และมีผลงานให้เห็น โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ตนคาดหวังตัวเลขเกิน 35,000 คะแนนมากกว่าครั้งที่แล้ว สิ่งที่เรามั่นใจคือครั้งก่อนที่เราแพ้ด้วยคะแนนเยอะมากและเราได้ลงไปแก้ไข ไปสร้างความสัมพันธ์ พัฒนาทำทุกอย่างให้มารักเรา
เมื่อถามว่า หากผลการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นผู้ชนะ อนาคตจะเป็นอย่างไร นายสิระ กล่าวว่า เราไม่ได้คิดตรงนี้เลย เราคิดว่าเราชนะแน่ เชื่อว่าประชาชนจะเป็นคนส่งนางสรัลรัศมิ์เป็นผู้แทนเข้าสภาฯ
เมื่อถามว่า กระแสของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร ที่มาช่วยหาเสียงดีแค่ไหน นายสิระ กล่าวว่า บางพรรคตอนที่เริ่มต้นไม่เคยพูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ และไม่เคยรับนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ เลย แต่พอ พล.อ.ประยุทธ์ ดีขึ้นก็มีการอ้างให้เลือกเขาเพื่อเข้าไปสนับสนัน พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งหมายความว่าเรตติ้ง พล.อ.ประยุทธ์ ดีขึ้นและทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนดีขึ้น
เมื่อถามว่า มีการเผยแพร่ภาพในโซเชียลว่ามีทหารมาใช้สิทธิ์จำนวนมาก นายสิระ กล่าวว่า ถ้าประชาชนคนไทยไม่ไปใช้สิทธิ์ก็จะถูกตัดสิทธิ์หลายเรื่อง เช่น ห้ามสมัคร ส.ส.หรือลงเล่นการเมือง นี่คือสิ่งที่ว่าหน่วยงานทหารทำไมถึงให้ความร่วมมือ ก็เพื่อให้สิทธิทหารเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยและไม่ไปตัดสิทธิ์ทหารเขา
"ขอชื่นชมทหารโดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาที่ให้ทหารออกมาใช้สิทธิ์เพื่อไม่ให้เขาโดนตัดสิทธิ์ และตอนหาเสียงหลายพรรคก็เข้าไปหาเสียงในค่ายทหาร มีเพียง พปชร.ไม่ได้เข้าไปปราศรัย เนื่องจากเราเข้าไปเยี่ยมเยือนตลอด เราดูแลครอบครัวทหาร ดูแลกำลังพลมาตลอดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปพูดย้ำอะไรแล้ว ขอบอกพรรคการเมืองที่บอกว่าทหารเป็นเผด็จการ วันนี้ท่านเห็นแล้วว่าทหารให้ความร่วมมือในการรณรงค์หาเสียงและเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ขอให้หยุดการโจมตีทหารได้แล้ว" นายสิระ กล่าวและว่า อย่างผู้สมัครที่เข้าไปแนะนำตัวนั้น เขาไม่เข้าใจทหาร แต่ของเราไม่ต้องเข้าไปแนะนำตัวเขารู้จักเราดี เราคุ้นเคยเหมือนญาติพี่น้อง มีพอร์ตไลน์สายตรงอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ความคุ้นเคยตรงนี้ทำให้ไม่ต้องมีการปราศรัยในค่ายทหารใช่หรือไม่ นายสิระ กล่าวว่า คนที่เขาจะเลือกเรา เขาจะถามว่าเคยทำอะไรให้เขาแล้วหรือยัง แก้ไขปัญหาเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาหรือไม่ แต่คนที่ไม่เคยทำอะไรให้เขาก็ต้องไปแนะนำตัวให้เขารู้จัก
เมื่อถามว่า หากผลการเลือกตั้งเป็นผู้ชนะจะทำอะไรเป็นสิ่งแรก นายสิระ กล่าวว่า ตนจะไปถามนักวิชาการว่าใช้หลักคิดและมีเหตุผลอะไรถึงให้เราอยู่อันดับบ๊วย มีอะไรจูงใจให้ทำโพลออกมาเช่นนี้ ท่านได้ลงมาในพื้นที่พบปะประชาชนจริงหรือไม่ ใช้หลักวิชาการหรือวิทยาศาสตร์อะไรถึงไปออกสื่อให้เราเป็นอันดับบ๊วย ประการที่ 2 ตนจะคิดบัญชีว่าใครทำผิดอะไรบ้าง อย่างไรก็ตามตนมั่นใจเราลงพื้นที่มา 3 ปี อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ข้างประชาชน เชื่อใจว่าประชาชนอยากให้นางสรัลรัศมิ์สานงานต่อ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี