เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2565 นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ให้สัมภาษณ์กับผู้วื่อข่าวถึงกรณี ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ซึ่งสาระสำคัญประการหนึ่งคือการระบุว่า “(2) (ข) คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ” ว่า หากมองในแง่ดี กฎหมายนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพราะเป็นเรื่องความปลอดภัยและเป็นไปตามหลักสากล โดยในประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างมาเลเซีย ก็มีการประกาศกฎหมายนี้ตั้งแต่ปี 2562
ขณะเดียวกัน แนวปฏิบัติที่ระบุในราชกิจจานุเบกษาดังกล่าวว่า “ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กและที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตรายตาม (2) (ข) และวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ให้เป็นไปตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกาศกำหนด” นั้น เนื่องจากเบาะที่นั่งเด็กชนิดเต็มรูปแบบ หรือ “คาร์ซีท (Car Seat)” ราคาขายในประเทศไทยยังค่อนข้างแพง ราคาเฉลี่ยตั้งแต่ 5,000 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท ดังนั้นจึงป็นไปได้ที่ประชาชนจะไม่พอใจ เนื่องจากเป็นกระทบต่อภาระค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม ยังมีที่นั่งเด็กอีกประเภทที่เรียกว่า “บูสเตอร์ซีท (Booster Seat)” มีลักษณะคล้ายกับเบาะรองนั่ง มีเข็มขัดรัด และใช้ร่วมกับเข็มขัดนิรภัยปกติของรถยนต์ได้ บูสเตอร์ซีทจะมีราคาถูกกว่าคาร์ซีทอยู่พอสมควร เฉลี่ยอยู่ที่ 3,000-5,000 บาท หรือถูกกว่านั้น ซึ่งก็ถูกพิสูจน์ว่าช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็กเล็กได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของประชาชน ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถกำหนดไว้ในแนวปฏิบัติได้ อนึ่ง ในช่วงแรกของการบังคับใช้กฎหมาย ตนอยากให้เน้นการตักเตือนก่อน อย่าเพิ่งเน้นการจับกุมดำเนินคดี
“มีเคสหนึ่งช่วงสงกรานต์ เจ้าหน้าที่ อปพร. เขาลงเวรมาแล้วพาครอบครัวไปเที่ยวที่ จ.ตราด แต่เนื่องจากเขาอยู่เวร เราก็ไม่รู้ว่าเขาได้นอนไหม? คาดว่าจะอดนอน เอาครอบครัวไป ขับปิคอัพไป เนื่องจากไปกันหลายคน เขาเอาเด็กมานั่งตัก พอสุดท้ายขากลับมาหลับใน เด็กที่นั่งตักก็เสียชีวิตเพราะเจอแรงปะทะ 2 ต่อ คือนอกจากไปปะทะกับตอนหน้าของรถแล้วผู้ปกครองก็ปะทะตัวเด็ก ในทางกลับกันถ้าเด็กคนนี้ได้นั่งบูสเตอร์ซีท เชื่อว่าเขาน่าจะรอด เพราะเคสนี้หลับในแล้วไปชนเสาไฟ ตัวคนขับเองยังรอดเลย” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวต่อไปว่า จริงๆ แล้วอุบัติเหตุรถยนต์ในประเทศไทย มีความสูญเสียเกิดขึ้นกับเด็กไม่น้อย ด้านหนึ่งก็น่าคิดว่าพ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีทางเลือกหรือไม่ เช่น ที่บอกว่าคาร์ซีทมีราคาแพงจ่ายไม่ไหว แต่ถ้าเห็นตัวเลขราคา เช่น 2,000-3,000 บาท ตนเชื่อว่าคนไทยยุคปัจจุบันสามารถจ่ายได้ เพราะในเมื่อสามารถซื้อรถยนต์ราคาเป็นแสนบาทได้ ก็น่าจะจ่ายเพิ่มได้เพื่อความปลอดภัยของบุตรหลาน แต่ก็ต้องย้ำว่า คนขับรถต้องเพิ่มความระมัดระวังทุกครั้งที่ในรถมีผู้โดยสารเป็นเด็ก โดยเฉพาะเรื่องการใช้ความเร็วสูงที่ควรหลีกเลี่ยง
นอกจากนี้ กลไกรัฐต้องเข้ามาทำให้อุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยมีราคาถูกลง ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะส่วนหนึ่งเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ก็ต้องใช้มาตรการทางภาษีเพื่อให้เกิดการปรับลดราคาลง ขณะเดียวกัน เนื่องจากเด็กนั้นค่อนข้างโตเร็ว พ่อแม่ผู้ปกครองซื้อที่นั่งเด็กมาแล้วอาจต้องเปลี่ยนทุกปี ซึ่งก็จะเป็นภาระค่าใช้จ่ายอีก ดังนั้นควรจัดทำระบบหมุนเวียนที่นั่งเด็กมือสอง เมื่อบุตรหลานโตขึ้นก็สามารถนำไปเทิร์นเป็นที่นั่งที่เหมาะสมกับขนาดรูปร่างที่โตขึ้นได้ ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าการต้องซื้อที่นั่งใหม่ทุกปี เป็นต้น
ผู้จัดการ ศวปถ. ยังกล่าวอีกว่า ถึงกระนั้น สำหรับสังคมไทยยังมีความท้าทาย คือรถกระบะประเภท 2 ประตูที่ด้านหลังเป็นแค็บ ซึ่งที่ผ่านมาทางการได้อนุโลมให้คนนั่งในแค็บได้จนกลายเป็นวิถีชีวิตไปแล้ว บวกกับทางผู้ผลิตและจำหน่ายรถกระบะเองก็โฆษณาว่ารถกระบะเป็นรถเอนกประสงค์ใช้ได้ทั้งบรรทุกคนและสิ่งของ อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของประชาชนเพราะจดทะเบียนและจ่ายภาษีในราคาต่ำกว่ารถกระบะประเภท 4 ประตู แต่แค็บนั้นไม่สามารถใช้ที่นั่งเด็กได้ไม่ว่าแบบใดก็ตาม จึงยังเป็นข้อจำกัด (ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ราชกิจจาฯประกาศเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องนั่ง'คาร์ซีท' ฝ่าฝืนปรับ 2 พัน)
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี