"วิโรจน์"ปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายใช้แคมเปญ “22 พฤษภา ออกไปกาเบอร์ 1 เพื่อเปลี่ยนเกม” "ชูเป็นผู้ว่าเพื่อคนจน ย้ำนโยบายเพิ่มสวัสดิการเด็ก-ผู้สูงวัย เสนอแก้หนี้ BTS 40,000 ล้าน ปลดแอกภาระจำยอมต่อสัมปทาน พร้อมเข้าไปแก้ไขข้อบัญญัติและงบประมาณอย่างเต็มที่ ขณะที่"ปิยบุตร" ลั่นช่วงเวลาและสถานการณ์นี้ ผู้ว่าฯ กทม.ต้อง "วิโรจน์" เท่านั้น พร้อมทลายทุกข้อจำกัดเพื่อถางทางให้คนรุ่นต่อไป
20 พ.ค.65 เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ที่มิวเซียมสยาม (MRT สนามไชย) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 1 และผู้สมัคร ส.ก. ทั้ง 50 เขตของพรรคก้าวไกล ได้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้าย ใช้แคมเปญ “22 พฤษภา ออกไปกาเบอร์ 1 เพื่อเปลี่ยนเกม”
ทั้งนี้ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวเปิดการปราศรัยว่า หากจะเลือกตั้งเชิงยุทธศาตร์ต้องไม่ใช้วาระไม่เลือกเราเขามาแน่ แต่ต้องดูว่ายุทธศาตร์ของคนกรุงเทพ ต้องตอบโจทย์ว่าปัญหาเรื้อรังที่แก้ไม่ได้คืออะไร เพราะการจัดการที่ผ่านมาไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม ดังนั้นผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ และ ส.ก. ต้องเข้ามาบริหารจัดการ เปลี่ยนระบบให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมมากที่สุด
"การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จำเป็นต้องมีทีม ส.ก. เพื่อร่วมกันทำงาน เพื่อป้องกันปัญหาการยื่นหมูยื่นแมว ไร้ระบบตรวจสอบ เป็นผู้ว่าฯ ที่ไปตายเอาดาบหน้า ดังนั้นพรรคก้าวไกลจึงต้องการ ส.ก. อย่างน้อย 25 ที่นั่ง เพื่อจัดทำระบบตรวจสอบการทำงานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบอย่างโปร่งใส"นายชัยธวัช กล่าว
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่า กทม. พรรคก้าวไกล เบอร์ 1 ปราศรัยใหญ่ที่มิวเซียมสยาม เริ่มต้นด้วยการบอกถึงที่มาฐานคิด 12 เมืองที่คนเท่ากันว่าคนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่แค่คนจน แต่ยังรวมถึงคนชั้นกลางที่ทุกวันนี้มีภาระมากเกินกว่าจะบริจาคแล้ว
“ผมนึกถึงอดีตแม่บ้านเพื่อนร่วมงานของผมที่ชื่อพี่แป้นป่วยเป็นโรคไต เพื่อนร่วมงานผมต้องถือกล่องรับบริจาคแทนที่เมืองจะเป็นคนดูแลคนในเมืองนี้ ผมลงพื้นที่ที่บางซื่อเจอคุณยายสะอาด บอกกับผมว่าทุกวันนี้ต้องกินข้าวกับไข่ต้ม เพราะเงินจากเบี้ยยังชีพทำให้ดำรงชีวิตได้เพียงเท่านี้ วันที่ได้กินแกงถุงคือวันที่เป็นรางวัลของชีวิตแล้ว นี่คือเหตุผลที่เราต้องเสนอนโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพ จาก 600 เป็น 1,000 บาท สำหรับเด็กเล็กเราเจอเด็กยากจนในชุมชนเรารู้อยู่แก่ใจว่าเค้าไม่สามารถเป็นผู้ใหญ่ที่วิ่งตามความฝันเงื่อนไขนี้มาแก้ปัญหาเติมสวัสดิการเด็กเล็กจาก 600 บาท/เดือน ขึ้นมาเป็น 1,200 บาท/เดือน ส่วนคนชั้นกลางถามว่าแล้วเราได้อะไร คำตอบของผมคือ ได้ความสุขของเมืองๆ นี้กลับคืนมา” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ ยังพูดถึงการเปิดสัญญารถไฟฟ้าว่า ทุกคนพูดว่าต้องปิดสัญญาไม่เปิดสัญญา แต่มีแค่วิโรจน์คนเดียวที่ขอเปิดให้ กทม. เปิดเผยสัญญา และเรามีหนี้ที่ติดค้าง BTS อยู่ประมาณ 37,000 ล้านบาท ที่ปัจจุบันดอกเบี้ยเดินกลายเป็นกลายเป็น 39,000 ล้านบาท และทบไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ทำอะไรหนี้ก้อนนี้จะเป็นภาระให้ผู้ว่าคนต่อไปต้องยอมต่อสัญญาสัมปทาน
“ผมอยากทวงถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไม่ต้องมาสั่งสอนผู้ว่าคนต่อไป แต่ให้คืนเงินภาษีที่ดินที่รัฐบาลผลักภาระมาให้คนกรุงเทพ 30,000 ล้านบาท ตัดงบประมาณ กทม. ที่ไป “สนับสนุนนโยบายรัฐบาล” 4,000 ล้านบาท และขอสภากรุงเทพให้นำเงินสะสม กทม. มาใช้หนี้ที่เหลือเพื่อลดหนี้ก้อนนี้ไปก่อน”
นายวิโรจน์ กล่าวว่า การหางบประมาณและการจัดสรรงบประมาณคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย หลายคนบอกให้ประหยัดงบประมาณ แต่ต้องถามว่าจะต้องประหยัดอีกเท่าไหร่ ทำไมกรุงเทพต้องกระเบียดกระเสียนในขณะที่ยังมีนายทุนที่ไม่จ่ายในต้นทุนที่ควรจะจ่าย
“อุดหนุนรถเมล์ต้องใช้เงิน 700 ล้านบาท/ปี ลอกท่อทั่วเมืองลอกคลองทั่วกรุงใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี เพิ่มรอบการเก็บขยะปรับปรุงจุดทิ้งขยะใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท/ปี ฉีดวัคซีนปอดอักเสบใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท/ปี การปรับปรุงโรงเรียนศูนย์เด็กเล็กก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น”
ช่วงท้าย นายวิโรจน์ กล่าวว่า ผู้ว่าและ ส.ก. จากพรรคก้าวไกลเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ไปยกมือให้กับการจัดสรรงบประมาณสร้างเมืองที่คนเท่ากันและแก้ไขกฎระเบียบเมืองให้เป็นธรรม ซึ่งหลายครั้งเราได้ยินว่าบอกว่าข้อระเบียบทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ แต่ไม่เคยมีใครบอกว่าติดข้อระเบียบข้อไหนแต่นี่จะไม่พูดออกจาก ส.ก. ก้าวไกลเพราะเราจะเข้าไปแก้ข้อระเบียบนั้น โรงขยะที่อ่อนนุชสร้างกลิ่นเหม็นให้คนที่ประเวศ สวนหลวง ลาดกระบัง ส.ก. ก็บางกลุ่มบอกไม่เหม็น แต่ส.ก. พรรคก้าวไกล พร้อมต่อสู้เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนกรุงเทพฝั่งตะวันออก
ด้าน นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ขึ้นเวทีปราศรัยชี้ 4 เหตุผลที่ต้องเลือกนายวิโรจน์ ว่า เหตุผลที่การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ต้องมีผู้ว่าชื่อวิโรจน์ เพราะเขามีคุณสมบัติ 4 ประการ คือ 1.จะเป็นผู้ว่าฯ ที่พร้อมชนกับต้นตอปัญหา เพราะการแก้ทีละนิดทีละหน่อยเหมือนแจกยาพาราเซตามอล ไม่เพียงพอแก้ปัญหาสะสมเรื้อรังของ กทม.ได้ ต้องใช้ยาแรง และการชนปัญหากับการประนีประนอมนั้นคนละเรื่องกัน ทั้งสองอย่างนี้ทำพร้อมกันได้ แต่ถ้าเป็นการชนกับความไม่ถูกต้อง ชนกับความอยุติธรรม สิ่งเหล่านี้จะไม่มีการประณีประนอมโดยเด็ดขาด
2.จะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ของคนส่วนใหญ่ คนจน คนด้อยโอกาส เป็นเมืองที่คนเท่ากัน เพราะการออกแบบนโยบายของวิโรจน์มาจากการตรวจสอบปัญหาของประชาชน แล้วนำมาร้อยรัดเรียบเรียบ กระทั่งสรุปได้ว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่คนไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้น จึงมีการออกแบบนโยบาย 12 ข้อ ซึ่งเป็นนโบบายที่ยืนข้างกับคนส่วนใหญ่
3.จะเป็นผู้ว่าฯ กทม.นักบริหาร เพราะมีประสบการณ์มาแล้วกับองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ และด้วยความที่เป็นผู้บริหารระดับกลาง ทำให้รู้ว่าพนักงานระดับล่างต้องการอะไร ขณะเดียวกันก็รู้ว่าผู้บริหารระดับสูงต้องการอะไรด้วย ซึ่งนี่เป็นคุณสมบัติที่เหมาะกับการเป็น ผู้บริหาร กทม. ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่บอกว่าวิโรจน์ดีเบตเก่ง พูดเก่งอย่างเดียวจึงไม่ใช่ นี่คือคนที่มีประสบการณ์มาแล้ว พูดแล้วและบริหารได้
และ 4.จะเป็นผู้ว่าฯ กทม. ที่พร้อมทลายข้อจำกัดทุกอย่าง นี่คือสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าบริหารเป็นหรือไม่เป็น เพราะจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ที่สยบยอมไม่ทำอะไรเพราะติดข้อจำกัดต่างๆ อย่างนั้นไม่ได้ และนอกจากนี้ วิโรจน์ยังมีผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคก้าวไกล ทั้ง 50 เขต ที่จะเข้าไปพร้อมกัน ข้อบัญญัติไหนติดขัดต้องแก้, งบประมาณตรงไหนจำเป็นต้องใช้เพื่อช่วยประชาชนก็ต้องโหวตให้ ซึ่งไม่ต้องห่วงเรื่องตรวจสอบ เพราะประเทศไทยมีองค์กรอิสระเยอะแยะมากมาย และวิโรจน์ก็ยังมีนโยบายรัฐบาลท้องถิ่นเปิดเผย ที่จะมีมีถ่ายทอดสดประชุมสภา กทม., มีตั้งคณะกรรการมาตรวจสอบ, สัญญาโครงการต่างๆ ต้องเปิดให้หมด ดังนั้น ข้อจำกัดต้องถูกทลาย ไม่ใช่เป็นข้ออ้างในการไม่ทำงาน
"การเลือกตั้งครั้งนี้ เรามีผู้สมัครดีๆ มากมาย มีนโยบายดีๆ มากมาย หรือแม้แต่ในอดีตก็มีผู้ว่าฯ ดีๆ มากมายเข้ามา แต่ทว่าก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ติดข้อจำกัดเต็มไปหมด เพราะปัญหากรุงเทพฯ ไม่ใช่เพียงเรื่องของการแก้รถติด แก้ควันพิษ แก้น้ำท่วม แก้เรื่องขยะ เท่านั้น แต่มันมีปัญหาในเชิงโครงสร้าง มีปัญหาการปล่อยปละละเลยจนเคยชิน ถ้าเปรียบกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ก็เสมือนว่าเป็นพื้นที่ที่เป็นป่ารกชัฎ มีขวากหนาม มีงูพิษ มีสัตว์ร้ายมากมาย ที่ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ ต่อให้มีความตั้งใจดีอย่างไร มีความคิดสร้างสรรค์อย่างไร มีนโยบายดีอย่างไร ถ้าไม่ถากถางเส้นทาง ไม่แก้โครงสร้างก็ไปต่อไม่ได้ ดังนั้น ในช่วงเวลาและสถานการณ์แบบนี้ ผู้ว่าฯ กทม.ต้องชื่อวิโรจน์เท่านั้น กรุงเทพฯ เวลานี้ต้องมีผู้ว่าฯ ที่พร้อมชนกับต้นตอปัญหา และมีนโยบายที่สามารถบริหารได้เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เพื่อคนจนคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และเพื่อทลายข้อจำกัดต่างๆ แผ้วถางทางพื้นที่นี้ให้กับคนรุ่นต่อไป" ปิยบุตร กล่าว
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี