บ้องฟรีด้อม! ‘เพื่อไทย’ ซัด ‘บิ๊กตู่-อนุทิน’ ปล่อย ‘กัญชาเสรี‘ เผย ‘ผู้ปกครอง-ครู’ โอดเด็กวันนี้ถึงขั้นปุ๊นกลางห้องเรียน ปัดสวะอย่าโยนบาปสภาฯปล่อยผี แฉมี ’นักการเมืองใหญ่’ ข้ามฝั่งทำธุรกิจ ‘ไร่สายเขียว’ ประเทศเพื่อนบ้าน มี ‘บริษัทยักษ์ใหญ่’ วางระบบไว้หมดแล้ว
19ก.ค.2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 33 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาวาระด่วน คือญัตติขอเปิดการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คนในวันแรก
โดยเมื่อเวลา 11.25 น. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ลุกขึ้นอภิปรายว่า ตนขอใช้สิทธิ์กล่าวหานายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เนื่องจากร่วมกันกำหนดนโยบายให้มีกัญชาเสรี นำมาซึ่งเกิดการละเมิดกติกาโลก และกฎหมายประเทศ รวมถึงรัฐธรรมนูญ และมติรัฐสภาไทย อีกทั้งยังละเลยละเว้นไม่ออกมาตรการควบคุมกัญชาในสิ่งที่ควรจะมี และควรจะเป็น นำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศชาติ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านเกือบเดือน มีผู้ปกครองเด็กเป็นห่วงลูกหลานบอกว่าส.ส.สุทินพูดหน่อยว่ามันไม่คุ้มนะ ให้ปลูกคนละเท่านั้นเท่านี้ต้น ลูกหลานพวกเราไม่ตายหมดเหรอ รวมถึงครูบาอจารย์ถามว่าปล่อยได้อย่างไร เพราะเด็กวันนี้พี้กัญชากลางห้องเรียนแล้ว ทั้งนี้ ยังมีหมอ แพทย์แผนไทย นักกฎหมายไม่น้อยมาพบตน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเอ็นระดับประธานองค์กรปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศมาพบตนที่ไทย ขอให้ตนพูดหน่อย หากกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็จะผิดไปทุกเม็ด นายกเองก็ปฏิเสธไม่ได้ นโยบายนี้เป็นเงื่อนไขเข้าร่วมรัฐบาล นายกฯจึงจำยอมเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อมา
นายสุทิน อภิปรายต่อว่า ที่สำคัญไทยยังมีข้อผูกพันในอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ 1961 เป็นอนุสัญญาเดี่ยวที่ไปลงนามด้วยความสมัครใจ มีสถานะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ และทุกประเทศที่ลงนามต้องกลับไปปรับกฎหมายในประเทศให้สัมพันธ์สอดคล้องกับอนุสัญญานี้ทันที แต่เมื่อรู้ว่ากัญชามีประโยชน์ก็เรียกร้องใช้ทางการแพทย์ ซึ่งครม.เข้าใจผิดว่าปี 2020 เรื่องการย้ายกัญชาจากประเภทที่ 4 ไปอยู่ประเภทที่ 1 คือเป็นประเภทยาเสพติดร้ายแรง แต่อนุโลมให้ใช้ทางการแพทย์และวิจัยเท่านั้น จะมาสูบ เสพ ขายตามถนนไม่ได้ เพราะถือเป็นการสันทนาการ และมีกฎหมายอื่นควบคุมอีกหลายมาตรา แต่เมื่อไทยมีการปรับในปี 2563 ประชาชนเข้าใจผิดว่ารัฐสภาไทยเห็นดีเห็นงามปลดล็อคกัญชาออกจากยาเสพติดนั้นไม่ใช่ ที่จริงรัฐสภาไม่ได้ปลด แต่คนปลดคือรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขจนมีผลทำให้วันที่ 9 มิ.ย. 65 กัญชาถูกปลดปล่อยไม่เป็นยาเสพติด ท่านละเมิดกติกาโลก เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติด ส่วนมติของสภาฯคือให้กระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาหากจะเพิกถอนใดๆให้เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นอย่ามาโยนความผิดให้สภาฯ
ส่วนร่างพ.ร.บ.กัญชากัญชงที่เรายกมือทั้งสภาฯนั้น เพราะท่านปลดล็อคแล้วแต่ไม่มีอะไรควบคุม เราก็เรียกร้องให้มีกฎหมายควบคุม ไม่มีทางเลือกก็ต้องยกมือให้ วันนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในชั้นกมธ. พวกตนก็ตามตลอด วันนี้กระทรวงสาธารณสุขเลยเถิดไปถึงอุตสาหกรรมและสันทนาการ ที่ผ่านมาหลายคนท้วงติงมาตลอดแต่น้ำท่วมปากเขา เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตนขอถามพล.อ.ประยุทธ์ว่าเรื่องอนุสัญญาดังกล่าวจะทำอย่างไร ที่ต้องดันให้เสร็จเพราะกลัวพรรคร่วมถอนตัวหรือไม่
นายสุทิน กล่าวอีกว่า กัญชามีประโยชน์แต่ก็มีโทษ ต้องชั่งน้ำหนักว่าถ้าปล่อยกัญชาเสรีต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น แม้จะมีร่างพ.ร.บ.ฯออกมาก็ยังไม่ได้ควบคุม เพราะยังให้เสพเสรีอยู่ และไม่มีมาตรการแยกสารสกัดที่ชัดเจน การที่บอกว่าเราจะรวยเพราะกัญชา ต้องตั้งหลักดูดีๆ เจตนาดีแต่ตนคิดว่าไม่ใช่ และถามว่าปลูกแล้วจะไปขายที่ไหน วันนี้ทั่วโลกถือเป็นยาเสพติด พกไปโดนจับทันที ถ้ามาทำเป็นยาโอเค แต่มาตรา 23 ของอนุสัญญาระบุว่าการที่ปลูกกัญชามาแปรรูปทำอุตสาหกรรมยาต้องมีองค์กรเฉพาะควบคุม เพื่อกำหนดโซนนิ่ง และนำเสนอรายงานเพื่ออนุญาตให้ใครปลูกเท่าไหร่ จึงจะขายเพื่อนำไปแปรรูปเป็นยาได้ จะมาขายตามตลาดไม่ได้ หลายคนตื่นตัวไปทำกัญชาระดับประเทศ ตนก็เห็นใจเพราะมันไม่ง่าย การปลูกกัญชาเพื่อแปรรูปเป็นยาส่งออกนอกประเทศไม่ง่าย
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวต้องกำหนดยุทธศาสตร์ว่าจะขายอะไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร หากจะเอากัญชาเป็นจุดขายก็ได้ขี้ยามาแทน เกิดปัญหาสังคมตามมา กัญชาจะบานทั่วประเทศเด็กเสพได้ แต่ห้ามซื้อ ผู้ปกครองวิตกว่าจะกันเด็กออกจากกัญชาได้เหรอ เพราะห้ามนำมาโรงเรียน แต่ที่บ้านกลับปลูกได้ การแก้ปัญหาเด็กถ้าที่บ้านอ่อนแอก็แก้ไม่ได้ เพราะวันนี้ปล่อยกัญชาเสรีที่บ้าน ไปเสพติดครัวเรือน เราต้องป้องกันให้กัญชาเป็นยาเสพติดออกห่างเยาวชน อย่างไรก็ตามตนเป็นห่วงภาพพจน์และเกียรติภูมิของประเทศ หากหลับตาลงเป็นนครกัญชา ถามว่าอะไรจะเกิดขึ้น นี่คือผลประโยชน์ทางการเมือง
“มีข่าวลือว่ามีนักการเมืองใหญ่ข้ามไปทำไร่กัญชาที่ประเทศลาว และมีบริษัทยักษ์ใหญ่วางระบบธุรกิจไว้หมด มีการวางแผนไว้ก่อนทำ และมีบริษักยักษ์ใหญ่ประเทศญี่ปุ่นแอบมาตกลงกับนักการเมืองไทยด้วย มีข่าวบางบริษัทลุยธุรกิจกัญชง ผมก็เข้าไปดูว่าใช่หรือไม่ และพบว่าไม่ใช่ข่าวโคมลอย เพราะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ มีคนถือหุ้นในบางตระกูล แต่รัฐมนตรีเขาก็แสดงทรัพย์สินแล้วว่าโอนหุ้นไปหมดแล้ว ส่วนจะบริหารทางอ้อมอย่างไรผมไม่รู้ ที่ผมพูดมาทั้งหมดหากนายกฯ ไม่เห็นด้วยให้ทำเรื่องกัญชาเสรีก็ไม่สำเร็จ และถามว่าธุรกิจเหล่านี้เชื่อมโยงกัญชงกัญชาอย่างไร รัฐบาลแจกกล้าต้นกัญชา ผมและพรรคเพื่อไทยไม่ได้คัดค้าน แต่นโยบายไม่มีปัญหา ต้องอยู่กรอบการแพทย์และวิจัย เราสามารถทำได้โดยไม่มีผลกระทบ โดยเอาคงไว้ในบัญชียาเสพติด ส่วนวิสาหกิจชุมชนต้องทำโรงเรือน ขอให้ศึกษาดีๆก่อนเดินหน้า เพื่อความปลอดภัย ผมจึงขอไม่ไว้วางใจให้นายอนุทินและนายกฯอยู่บริหารประเทศชาติต่อไป เพราะแค่นี้ก็ขนหัวลุกแล้ว และยังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ถามว่านายกฯไปไหน เรื่องที่พูดนี้ใหม่หมด จะปล่อยนายอนุทินนั่งฟังคนเดียวไม่ได้ ขอให้คิดกันให้ถ้วน” นายสุทิน กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งนายสุทินได้เปิดคลิปวิดีโอขณะที่นายอนุทินกล่าวปราศรัยหาเสียงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงหนึ่งถึงเรื่องนโยบายกัญชาเสรีว่า “เราจะเปลี่ยนงบลับต่างๆให้เป็นงบลงทุน จะเปลี่ยนเสียงปืนเป็นเสียงเครื่องจักรและเสียงหัวเราะของทุกคน ที่พรรคภูมิใจไทยจะให้พ่อแม่พี่น้องปลูก กัญชาเป็นยาพารวย เป็นยารักษาโรค พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าวันนี้กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป ปลูกได้บ้านละ 6 ต้นเมื่อปลูกแล้วสามารถนำไปขาย ปรุงอาหาร รักษาโรค และพี้สูบกันเองได้ แต่อย่าพกพาไปที่อื่นเด็ดขาด” พร้อมทั้งเปิดภาพประชาชนกำลังสูบกัญชาจากบ้องอย่างเสรี
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี