‘กลุ่มปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ’ บุกสภาร้อง ‘ชวน’ สอบจริยธรรม ‘จิราพร’ บิดเบือนข้อมูลซักฟอกปมเหมืองทอง ยันใช้ ‘ม.44’ ปิดเหมือง ไทยยังไม่ได้รับความเสียหาย
22 กรกฎาคม 2565 ที่รัฐสภา กลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ นำโดย นางวันเพ็ญ พรมรังสรรค์ รองประธานกลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องขอให้สอบสวนจริยธรรม น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย (พท.) จากพฤติการณ์อภิปรายกรณีเรื่องเหมืองแร่ทองคำโดยไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสภา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร
นางวันเพ็ญ กล่าวว่า กลุ่มของตนเป็นกลุ่มประชาชนผู้ร้องในคดีเหมืองทองคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ดำเนินการสอบสวนกรณีบริษัทประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำโดยมิชอบด้วยกฎหมายในหลายกรณี คดีดังกล่าวนี้บางส่วนมีการชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐ และมีการสั่งฟ้องไปยังศาลแล้ว บางคดีก็อยู่ระหว่างการสั่งฟ้องไปยังอัยการ และบางส่วนอยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งรวมทุกประเด็นแล้วมีมากกว่า 40 ประเด็น
นางวันเพ็ญ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยยุติการทำเหมืองแร่ทองคำของ บริษัทอัครารีซอสเซส จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 โดยการใช้มาตรา 44 ตามคำสั่งที่ 72/2559 ประกอบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นอำนาจโดยชอบของรัฐบาลไทยซึ่งให้สัมปทาน เมื่อรัฐบาลเห็นว่าประชาชนร้องเรียนเรื่องผลกระทบ จึงใช้อำนาจโดยการระงับไม่ต่อใบอนุญาตเหมืองแร่ทองคำและโรงงานโลหะกรรมที่สิ้นอายุลงตามปรกติ เอาไว้เพื่อตรวจสอบ จนนำไปสู่การตรวจสอบตามข้อร้องเรียนพบว่าบริษัททำผิดกฎหมายหลายกรณี
ทั้งนี้ กรณีที่ว่านี้แม้ว่าประเทศไทยจะถูกดึงเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ แต่การต่อสู้ในชั้นนี้ ประเทศไทยมีจุดแข็งในการต่อสู้ เนื่องจากขณะที่ใช้มาตรา 44 ประเทศไทยยังมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แร่ พ.ศ.2510 ซึ่งมีมาตรา 9 ตรี กับ 9 ทวิ คุ้มครองไว้ จึงทำให้ประเทศไทยนั้นไม่เสียเปรียบทางด้านกฎหมาย เพราะว่ากฎหมายได้คุ้มครองไว้ว่าไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้บริษัทเอกชน
“การที่ น.ส.จิราพร ได้หยิบเอาประเด็นเหมืองแร่ทองคำมาอภิปรายในสภาอยู่หลายครั้งรวมทั้งในวันที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีประเด็นที่บิดเบือนข้อเท็จจริงที่กล่าวหาว่า ประเทศไทยได้รับความเสียหายจากการใช้มาตรา 44 ทั้งที่ประเทศไทยยังไม่ได้รับความเสียหายเพราะกระบวนการอนุญาโตตุลาการยังไม่ได้มีข้อชี้ขาดและกรณีข้ออภิปรายโจมตีเพียงการใช้มาตรา 44 โดยไม่ได้หยิบยกเอาประเด็นที่ประเทศไทยนั้นใช้มติที่ชอบธรรมของ ครม. ที่กล่าวมา” นางวันเพ็ญ กล่าว
นางวันเพ็ญ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ วิ่งล้มเหมืองทองคำที่อยู่ในดีเอสไอ ป.ป.ช. และ ปปง. ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและเกี่ยวข้องกับคดีสำคัญ กลุ่มประชาสังคมที่เป็นผู้ร้องต่อคดีดังกล่าวทั้งหมดจึงเห็นว่าข้ออภิปรายนั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงกับรูปคดี ประกอบกับการนำเอกสารลับของอัยการสูงสุดมาอ้างตอนอภิปราย โดยมีข้อความเห็นของอัยการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดี กรณีที่ว่านี้จึงเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศเนื่องจากคดีเหมืองทองคำเป็นคดีประวัติศาสตร์ของชาติและเนื่องจากประเทศไทยนั้นต้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทเหมืองทองคำในกรณีขุดถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 13 01 และทางสาธารณประโยชน์ มูลค่าเสียหายต่อประเทศถึง 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งตอนนี้อยู่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งนี้ทางกรมได้สรุปสำนวนส่งให้อัยการไปแล้วและบริษัทอัคราฯ ได้รับทราบข้อกล่าวหานี้แล้ว รวมถึงคดีนอมินีต่างชาติ สืบเนื่องจากบริษัทอัคราฯ ใช้คนไทยเป็นนอมินีในการประกอบธุรกิจทำเหมืองแร่ทองคำ
“ขอให้นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ดำเนินการส่งเรื่องไปให้กรรมการตรวจสอบประมวลจริยธรรมว่าการดำเนินการอภิปรายดังกล่าวของท่าน ส.ส. เมื่อวานนี้ และย้อนหลังไปอีกหลายครั้งที่ผ่านมานั้น ขัดต่อประมวลจริยธรรมพ.ศ.2563 ซึ่งหากพบว่าเป็นการกระทำความผิดก็ขอให้ ป.ป.ช. และขอให้ ป.ป.ช.ดำเนินการส่งไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป” นางวันเพ็ญ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี