‘บิ๊กตู่’ซัดบางพรรค-ปลุกปั่นเยาวชน
ถลกหนังกลางสภา
ทำลายล้างระบบ/ลั่นคนไทยไม่ยอม
ปัดใช้สปายแวร์‘เพกาซัส’สอดแนม
พท.ซักฟอกวันสุดท้ายฉายหนังเก่า
ถล่มกองทัพซื้ออาวุธไม่เหมาะสม
จับตา‘ปชป.-ภท.’นัดถกเช้า23ก.ค.
โหวตหนุนรมต.พรรคร่วมหรือไม่
“บิ๊กตู่” ยังไม่คิดปรับครม.แม้จบศึกซักฟอก สะพัด!ตั้งทีมต่อรองผู้ใหญ่ ปชป.ช่วย “จุติ” พ้นโหวตคว่ำ รอสัญญาณนายกฯปรับครม.หรือไม่ จ่อเขย่าเก้าอี้ “พม.” จับตา 23 กรกฎาคมก่อนโหวตประชุมพรรคกำหนดทิศทาง“อนุทิน”ปัด กระแสโหวตคว่ำ “สันติ-จุติ”ชี้ต้องดูที่หลักฐานหักล้าง ยังไม่มีสัญญาณปรับครม.โยนนายกฯมีอำนาจคนเดียว ซักฟอกวันสุดท้าย “เพื่อไทย” อัด “บิ๊กตู่”ไร้ภูมิปัญญาแก้ปัญหาศก. “โจ้-ยุทธพงศ์” ฉายหนังเก่าถล่ม“บิ๊กตู่-กองทัพ” ปล่อยเกิด “ค่าโง่เรือดำน้ำกว่า 2 หมื่นล้าน-จัดซื้ออากาศยาน UAV ประสิทธิภาพต่ำ-บินรบสุดล้ำเกินจำเป็น”“บิ๊กตู่” ลุกแจงยิบให้สิทธิมนุษยชนเกิน 100% ซัด “พรรคอันตราย”เที่ยวปลุกปั่นเยาวชน
ทั้งในรร.-มหาวิทยาลัย ทำลายล้างระบบ ลั่นคนไทยไม่ยอม ขออย่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งตน-ครอบครัว แจงซื้ออาวุธยึดหลักเกณฑ์-ความจำเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ป่วนประท้วงแจงไม่ตรง คำถาม
เมื่อวันที่ 22กรกฎาคม 2565 ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เดินทางถึงอาคารรัฐสภา เพื่อเข้าร่วมประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามมาตรา151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ โบกมือปฏิเสธ พร้อมย้อนถามว่าใครออกมา ใครเป็นคนตั้งละ ใครเป็นคนปรับล่ะ
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวมีการกดดันจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มี ยังไม่มีการปรับ เมื่อถามย้ำว่า ยังไม่มีแนวคิดในเรื่องนี้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย เมื่อถามอีกว่าอภิปรายเสร็จแล้วจะมีการปรับครม.หรือไม่ เนื่องจากยังมีตำแหน่งที่ว่างอยู่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ
สะพัดตั้งทีมต่อรองปชป.ช่วย’จุติ’
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในการลงมติโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล 11คน โดยมีรัฐมนตรีของพรรค ปชป.3คน ถูกซักฟอก ประกอบด้วย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย และนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวว่ามีการตั้งทีมช่วยนายจุติ เนื่องจากอาจจะโดนโหวตคว่ำอ้างว่า กลุ่มดังกล่าวมีด้วยกัน 12คนและต่อรองกับผู้ใหญ่ภายในพรรคให้ช่วยเหลือ นายจุติ หากไม่ช่วยทั้ง 12เสียง จะไม่สนับสนุน นายนิพนธ์ เช่นกัน
หวั่นสส.พรรคอื่นอาจไม่โหวตให้
อย่างไรก็ตาม มีบางฝ่ายไม่พอใจการต่อรองลักษณะดังกล่าว เพราะเห็นว่าเหมือนจับ นายนิพนธ์ เป็นตัวประกัน แต่ด้วยปชป.เป็นพรรคไม่ใช่ก๊วนการเมืองที่จะต้องตั้งขึ้นมาต่อรองจะต้องช่วย นายจุติ ให้ผ่านพ้นปัญหาไปให้ได้ เพราะอย่างน้อย นายจุติก็คือ รัฐมนตรีในนามพรรค หากปล่อยให้โดนคว่ำ พรรคก็จะกระทบไปด้วย เบื้องต้นการลงมติน่าจะผ่านพ้นไปได้ คะแนนผ่านเกณฑ์ แต่อาจน้อยกว่ารัฐมนตรีคนอื่นของพรรค เนื่องจากจะมีสส.ของพรรคบางคนอาจโหวตเป็นอื่น รวมถึงก่อนหน้านี้ที่ นายไชยยศ จิรเมธากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประกาศจะลงมติไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ ช่วงเช้าวันที่ 23ก.ค.ก่อนที่จะประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมตินั้น พรรคจะประชุมเพื่อกำหนดทิศทางการลงมติต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่าการชี้แจงของนายจุติ กรณีฝ่ายค้านอภิปรายถึงความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการบริหารงานการเคหะแห่งชาติ ประกอบกับถ้าหาก นายจุติได้รับคะแนนไว้วางใจน้อยอาจเป็นสาเหตุให้คนภายในพรรคขอเก้าอี้รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์คืนเพื่อเฟ้นหาให้บุคคลที่มีความเหมาะสมดำรงตำแหน่งต่อไป ซึ่งมีคนเสนอตัวจำนวนหนึ่งและเห็นว่ามีบุคคลเหมาะสมแล้วอย่างน้อย 2 คน แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะส่งสัญญาณปรับ ครม.หรือไม่ โดยขณะนี้ยังไม่ส่งสัญญาณใดๆ
ปชป.นัดประชุม สส.ก่อนโหวต23ก.ค.
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคปชป.และประธานสส.พรรคปชป.กล่าวถึงการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า พรรคปชป.ได้มีมติตั้งแต่การประชุม สส.เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมาแล้วว่า สส.ของเราจะลงมติตามมติของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แต่เนื่องจากทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคปชป.จะประชุม สส.ช่วงเช้าวันลงมติ ดังนั้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ตนได้เชิญ สส.พรรคประชุมวันที่ 23ก.ค.เวลา 08.30น.ก่อนการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเวลา 10.00น.ของวันเดียวกัน ส่วนที่มีกระแสข่าวทั้งนอกพรรคและในพรรคปชป.ว่า จะมี สส.ของพรรคเล็กและของพรรคปชป.ส่วนหนึ่งจะลงมติไม่ไว้วางใจ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมฯนั้น ก็เป็นแค่กระแสข่าวภายนอก ส่วนภายในพรรคยังไม่เห็นมีสัญญาณอะไรที่ผิดปกติ และไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ จึงเชื่อว่า สส.พรรคปชป.จะลงมติไปในทิศทางเดียวกัน
‘อนุทิน’ปัดกระแสโหวตคว่ำ’สันติ-จุติ’
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการลงมติของพรรคภท.หลังมีกระแสข่าวโหวตคว่ำ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)และนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมฯ ว่า ยังไม่รู้เรื่องดังกล่าว ส่วนพรรคภท.ฟังอภิปรายมาหมดแล้ว โดยเช้าวันที่23ก.ค.จะประชุมสส.พรรคเพื่อหารือก่อนลงมติ ทั้งนี้ในความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต้องดูที่หลักฐานที่นำมาหักล้างข้อกล่าวหาจะดีที่สุด เพราะการสื่อสารไม่เท่ากันทุกคน รัฐมนตรีบางคนอาจจะอธิบายไม่เก่ง พูดไม่เก่ง จึงต้องดูที่หลักฐาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การอภิปรายครั้งนี้คิดว่า นายอนุทิน จะได้รับคะแนนโหวตสูงสุดหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนทำทุกอย่างทำการบ้านและหาข้อมูลเพื่อมาชี้แจงข้อกล่าวอย่างดีที่สุด คิดว่าพูดไปครบถ้วนแล้ว ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องครอบครัว หากมีการตกหล่น จะมาแถลงชี้แจงต่อไป เมื่อถามว่ามีสัญญาณปรับ ครม.หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ทราบ จะปรับหรือไม่ปรับไม่เกี่ยวกับเรา เพราะพรรคภท.ไม่ได้อะไรเพิ่ม ส่วนที่ว่าง 2ตำแหน่ง เป็นของพรรคพลังประชารัฐ ไม่เกี่ยวกับภูมิใจไทยและเรื่องนี้เป็นอำนาจและดุลยพินิจของนายกรัฐมนตรี
พรรคเล็กเนื้อหอม‘บิ๊กตู่’คุยโหวต11รมต.
ที่รัฐสภา นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทรักธรรม กล่าวถึงทิศทางการลงมติรัฐมนตรีทั้ง 11คน ว่า เบื้องต้นจะลงมติไม่ไว้วางใจ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมฯกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง แต่เมื่อมติของพวกเราถูกเปิดเผยก็ได้มีการนัดเคลียร์ของผู้ใหญ่และขอให้กลุ่ม 16พูดคุยกันอีกครั้ง ยอมรับว่าพวกเราเป็นเพียงผู้น้อย ซึ่งคงต้องเปิดใจและกลับมาทบทวนอีกรอบ ซึ่งผู้ใหญ่ในที่นี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เชิญ นายพิเชษฐ สถิรชวาล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หัวหน้ากลุ่ม16ไปพูดคุยเพื่อขอให้โหวตให้รัฐมนตรีทั้ง 11คน ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล และหากมีสงสัยอะไร พล.อ.ประยุทธ์ ยินดีจะเชิญรัฐมนตรีแต่ละคนมาให้ข้อมูล โดยอาจจะมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนกลางให้ ทั้งนี้ทิศทางการโหวตของพรรคเล็กจะเป็นไปในทิศทางเดียวของพรรคร่วมรัฐบาล
เมื่อถามถึง ทิศทางการลงมติของพรรคเล็กที่มีกระแสข่าวต่อรองผลประโยชน์โดยการเลื่อนขั้นของลูกชาย นายพิเชษฐ นั้น นายพีระวิทย์ กล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้มีเรื่องส่วนตัวและเรื่องครอบครัวเข้ามาโยงใยและในฐานะที่ตนสนิทกับ นายพิเชษฐ ขอยืนยันว่า นายพิเชษฐ ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครและเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เรื่องนี้จบไปนานแล้ว ถ้าเอาเข้าจิงลูก นายพิเชษฐ ควรจะได้ขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งนั่นก็จะกลายเป็นประเด็นการเมืองอีกว่าถูกดองการเมืองและช่วงบ่ายวันที่ 22ก.ค.นี้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ได้นัดพบพรรคเล็กทุกพรรค ยกเว้นพรรคเศรษฐกิจใหม่ของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
ลุ้นหายทัน‘ธรรมนัส’โหวตซักฟอก
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ในวันที่ 23ก.ค.ว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) ได้เดินทางมาร่วมประชุมในวันแรกเท่านั้น โดยอีก 2วันที่ผ่านมา ไม่ได้เข้าร่วมประชุม จากการสอบถามไปยัง ร.อ.ธรรมนัส ทราบว่า ที่หายหน้าไป 2วัน เนื่องจากมีอาการป่วย ปวดเมื่อยร่างกาย ลุกไม่ค่อยไหว เพราะก่อนหน้านี้ได้ไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยวันที่ 22ก.ค.นี้จะไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล หากอาการไม่สบายหายทันก็จะไปร่วมประชุมที่สภาผู้แทนราษฎร แต่หากไม่ทันคงต้องพักไปก่อน
‘ศุภชัย’เตือนร้องปปช.ระวังโดนฟ้องกลับ
นายศุภชัย ใจสมุทร สส.บัญชีรายชื่อและนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่ากรณีฝ่ายค้านอภิปรายการซื้อขายหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.)บุรีเจริญ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมและจะนำเรื่องส่งต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ว่า นายศักดิ์สยาม ในขณะนั้นเป็นประชาชนคนธรรมดา ประกอบธุรกิจเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ ซึ่งมีมูลค่าหุ้นเท่ากับ 119ล้านบาทเศษและได้จำหน่ายหุ้นให้กับุคคลภายนอก 119ล้านบาทเศษ ขายตามมูลค่าหุ้นที่มีอยู่ ในปี 2560-2561ซึ่งยังไม่ได้เป็นสส.และรัฐมนตรี ที่มีการกล่าวหาว่าซุกหุ้นนั้น ไม่เป็นความจริง ได้มีการชี้แจงในสภาไปแล้ว แต่ต่อมามีการกล่าวหาเรื่องไม่ยอมชำระภาษีนั้น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (4) (ช) จะต้องเสียภาษีก็ต่อเมื่อได้รับเงิน เกินกว่ามูลค่าหุ้นที่ได้จำหน่ายไป ซึ่ง นายศักดิ์สยาม ได้จำหน่ายหุ้นเท่ากับราคาหุ้นที่ถืออยู่ จึงไม่มีส่วนเกินที่จะต้องไปยื่นภาษี
‘ศักดิ์สยาม’แจงเรื่องขายหุ้นชัดเจนแล้ว
นายศุภชัย กล่าวต่อว่า การที่ฝ่ายค้านจะไปยื่นเรื่องต่อปปช.ก็มีสิทธิ์ที่จะยื่น แต่ถ้าวันนี้ความมันปรากฎออกมาแล้ว นายศักดิ์สยาม ได้ขายหุ้นไปโดยชอบและเงินที่ได้ก็ไม่เกินจากราคาหุ้นที่ถืออยู่ ซึ่งไม่ต้องยื่นเสียภาษีในส่วนที่เกิน ฝ่ายค้านที่จะไปยื่นปปช.ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ได้มีการชี้แจงไปแล้ว อาจจะต้องถูกดำเนินคดีจาก นายศักดิ์สยาม ในข้อหาแจ้งความเท็จหรือรู้ว่า บุคคลไม่ได้กระทำความผิดอาญาแล้วมีการไปยื่นเพื่อให้สอบสวนบุคคลหนึ่งมีโทษทางอาญาร้ายแรง นายศักดิ์สยาม ย่อมมีสิทธิ์ดำเนินคดีท่านได้เหมือนกัน ฉะนั้นโปรดพึงระมัดระวังที่จะดำเนินการใดที่มีผลกระทบมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดี
ซักฟอกวันสุดท้ายอัด‘บิ๊กตู่’ทำศก.เจ๊ง
เวลา 08.30น.ที่รัฐสภาได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา151 จำนวน 11คน เป็นวันที่4ภายใต้ยุทธการ“เด็ดหัว สอยนั่งร้าน”โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ประธานซึ่งได้แจ้งที่ประชุมว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม
จากนั้นนางสกุณา สาระนันท์ ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย(พท.)ได้เริ่มอภิปรายโดยกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ถึงความล้มเหลวในการบริหารด้านเศรษฐกิจ นำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความรู้ ไร้ภูมิปัญญา ซึ่งเป็นความไม่รู้แบบยกกำลังสอง แต่ท่านประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ หากเปรียบเป็นแบรนด์สินค้า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแบรนด์กลุ่มอำนาจนิยม ใช้อำนาจบังคับประชาชนให้ใช้แบรนด์ตัวเองมา 8ปี วันนี้ถ้าท่านคิดจะล้มแผงบังคับประชาชนให้ใช้แบรนด์ประยุทธ์อีก ประชาชนจะลุกขึ้นสู้ วันนี้ชาวบ้านไม่เอาแบรนด์ประยุทธ์ อีกต่อไป
‘ยุทธพงศ์’ฉายหนังเก่าถล่ม‘บิ๊กตู่-กองทัพ’
เวลา10.29น. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม ใช้งบประมาณจัดซื้อยุทโธปกรณ์ไม่มีความจำเป็นต่อประเทศในภาวะที่ไทยมีปัญหาเศรษฐกิจรุนแรง โดยเฉพาะการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือจากประเทศจีน 3ลำ รุ่นS26T(Yuan class) รวมเรือพี่เลี้ยง การก่อสร้างที่จอดเรือ อาคารทดสอบและโรงซ่อมบำรุง 9รายการ มูลค่าจำนวน 44,222ล้านบาท ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยการันตีว่า เรือดำน้ำจีนถูกที่สุด ซื้อ2แถม1คุณภาพใช้ได้ แต่ราคาจัดซื้อเรือดำน้ำจริง เป็นการซื้อ3ลำ ไม่ได้ซื้อ 2แถม1 มันจึงผิดไปจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกไว้
ปูด4.4หมื่นล้านซื้อเรือดำน้ำไร้เครื่องยนต์
นายยุทธพงศ์ อภิปรายว่าโดยเฉพาะเรือดำน้ำลำที่1 มูลค่า 12,424ล้านบาท อยู่ระหว่างก่อสร้างตั้งแต่ปี2560-66 เกิดปัญหาไม่มีเครื่องยนต์ ต้องหยุดสร้าง รวมทั้งเรือพี่เลี้ยง การก่อสร้างที่จอดเรือ อาคารทดสอบ และโรงซ่อมบำรุง จำนวน 21,722ล้านบาท ส่วนอีก2ลำ ตั้งงบฯตั้งแต่ปี2563-69 มูลค่า 22,500ล้านบาท ยังไม่ได้จัดซื้อ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยคัดค้าน อย่างไรก็ตาม จีนได้ขอซื้อเครื่องยนต์จากเยอรมันรุ่น MTU Series 396 V16 Deisel Engine แต่เยอรมันไม่ขายให้ จึงเกิดปัญหาเรือดำน้ำไร้เครื่องยนต์ แสดงให้เห็นว่าตอนทำสัญญาซื้อขายไม่มีความรอบคอบระมัดระวังที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ประเทศ เพียงแต่ต้องการใช้งบฯแล้วเกิดความเสียหาย ทั้งนี้เงิน21,722ล้านบาท จากงบประมาณ9รายการรวมทั้งสิ้น 44,222 ล้านบาท ถือเป็นค่าโง่ที่รัฐบาลต้องจ่าย เป็นเงินมหาศาลที่ภาวะประเทศวิกฤต จ่ายไปแล้วไม่มีเรือดำน้ำ
สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์จะต้องรับผิดชอบ คือ 1.โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ 44,222ล้านบาท 2.เรือดำน้ำลำแรกที่ไม่มีเครื่องยนต์และหยุดต่อเรือ 3.ค่าโง่จัดซื้อเรือดำน้ำที่จ่ายไปแล้ว 21,722ล้านบาท 4.เมื่อจ่ายแล้วสูญสิ้นงบฯโดยเปล่าประโยชน์
“ส่วนเส้นตายที่จะถึง 9 ส.ค.2565 ที่กองทัพเรือขีดเส้นไว้ 60วันให้จีนแก้ไขปัญหาเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำลำที่1 จะทันหรือไม่ มันสร้างความเสียหาย เดือดร้อน ขณะที่สัญญาการจัดซื้อได้มีการออกมาอย่างเป็นทางการ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรับผิดชอบ สัญญามันยกเลิกได้ เพราะในสัญญาระบุว่า สามารถยกเลิกสัญญาได้หากจีนไม่สามารถสร้างเรือดำน้ำให้เสร็จสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเสียค่าปรับและสามารถเรียกเงิน 7,000ล้านบาทได้ แต่รัฐบาลไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาเลย ซื้อของแพงๆมา จ่ายเงินเขาไป” นายยุทธพงศ์ กล่าว
ยานUAVไร้คนขับไม่มีระบบติดอาวุธ
นายยุทธพงศ์ยังอภิปรายถึงงบประมาณกองทัพเรือในการจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับUAV พร้อมระบบติดตั้งระบบอาวุธ 3ลำ งบประมาณ 4,100ล้านบาทว่า ขณะนี้การจัดซื้อแล้วเสร็จ มีบริษัทยื่นแข่งขัน 4 บริษัท แต่มีบริษัทเดียวที่เสนอขายให้ 7ลำ งบประมาณ4,000ล้านแล้วชนะ คือบริษัท Elbit จากประเทศอิสราเอล ขณะที่บริษัทที่เหลือเสนอเพียงแค่ 3ลำ แสดงให้เห็นว่า ทีโออาร์มีปัญหา เพราะเสนอคาดเคลื่อนระหว่าง7ลำกับ3ลำ ซึ่งอากาศยานUAV ยี่ห้อhermes 900 ที่ชนะการแข่งขันมา ไม่มีระบบติดอาวุธ แล้วจะไปรบกับใครได้ แสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือแค่ต้องการใช้งบฯ ไม่คำนึงถึงประโยชน์ ความจำเป็นใดๆ นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพต่ำอีกด้วย
นายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันมีเรื่องที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของ กมธ.งบประมาณปี2566 คือเครื่องบินรบทางยุทธศาสตร์F-35A เจเนอเรชั่นที่5ของกองทัพอากาศ เรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ ล่องหนหายตัว บินด้วยท่วงท่าพิสดาร บินเร็วเหนือเสียง เป็นเครื่องบินอวกาศควบคุมUAVได้ของเครื่องบินรบรุ่นนี้ตนไม่เถียง แต่มันเหมาะสมหรือไม่ที่ขณะนี้ประชาชนกำลังอดอยาก ประเทศมีหนี้สาธารณะมหาศาล จนต้องกู้มาเต็มเพดาน แล้วมาจัดซื้อเครื่องบินรบรุ่นนี้เป็นความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งมันไม่จำเป็นเร่งด่วน เพราะยังมีเวลา ทางเสนาธิการทหารอากาศ งออกมาระบุว่า หากจัดซื้อไม่ทันในปีงบฯ66 ก็ขยับไปปีงบฯ67ได้ ควรเอาเงินไปช่วยประชาชนที่เดือดร้อนดีกว่า น้ำมันแพง ของแพง ไปช่วยคนจนคนติดโควิดก่อน
ซื้อบินรบF-35Aทั้งที่ไม่มีความจำเป็น
“พล.อ.ประยุทธ์ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ซื้อเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์สร้างความเสียหายให้แผ่นดินมากกว่า 20,000ล้านบาท ขาดภาวะความเป็นผู้นำ เมื่อเกิดปัญหาเรือดำน้ำไม่มี เครื่องยนต์ ก็ไม่กล้าบอกเลิกสัญญา สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ไร้คุณธรรมจริยธรรม อนุมัติเงินงบประมาณ 13,800ล้านบาทเพื่อจัดซื้อเครื่องบิน รบ F-35A ใช้งบฯจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไม่มีความจำเป็น ในภาวะที่ประเทศมีปัญหาด้านเศรษฐกิจที่รุนแรง ประชาชนเดือดร้อน ผมจึงไม่อาจจะไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป” นายยุทธพงศ์ ระบุ
‘ก.ก.’จี้ปล่อยนักโทษการเมือง-คดีม.112
เวลา11.28น.น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ตอนหนึ่งว่า นับตั้งแต่รัฐประหารปี2557 คสช.และพล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำลายทั้งระบบกฎหมายปกติ ระบบนิติรัฐแล้วสถาปนาระบบกฎหมายชุดใหม่ขึ้นมาแทน เพื่อดำเนินคดีกับประชาชน แม้หลังปี2561 จะมีการเลือกตั้งที่ทำให้สถานการณ์เบาบางลงแต่จากกระแสการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่ได้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งในปี2563 จึงเกิดการดำเนินคดีการเมืองและการใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างบิดเบือนตามนโยบายสมัย คสช.อย่างรุนแรง กว้างขวางและสร้างความเสียหายร้ายแรงกว่าเดิม โดยเฉพาะการนำ ม. 112 กลับมาใช้อีกครั้ง ในลักษณะของคดีนโยบาย มาดำเนินคดีกับแกนนำการชุมนุมหลายบุคคล มีการฟ้องในต่างจังหวัดให้ผู้ต้องหาต้องสู้คดีด้วยความยากลำบาก มีการรื้อฟื้นคดีย้อนหลังไปหลายปี และยังมีการดำเนินคดีไม่เว้นแม้แต่เยาวชนอายุไม่ถึง18ปี หรือเพียงการแสดงออกอย่างแต่งชุดครอปท็อป เป็นต้น
เผยถูกจับดำเนินคดีแล้ว1,832คน
ขณะเดียวกัน ผู้ถูกกล่าวหาด้วยคดี ม.112 ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ทั้งที่พฤติการณ์เป็นเพียงแสดงออกทางการเมืองหรือแสดงความคิดเห็นโดยสันติ ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี ไม่มีพฤติการณ์ที่จะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จนผู้ต้องหาหลายคนอดอาหารประท้วง มีการให้ประกันด้วยเงื่อนไขมุ่งริดรอนเสรีภาพ ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมืองโดยไม่ได้รับการประกันตัวอย่างน้อย 30คน จากวันที่ 18 ก.ค.2563 จนถึงวันที่ 30มิ.ย.2565มีผู้ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไปแล้วอย่างน้อย1,832คน เป็นเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18ปี 282ราย มีผู้ถูกดำเนินคดี ม.112 กว่า 200คนจึงต้องคืนความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทุกคนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง นับตั้งแต่การรัฐประหารปี2557คืนความปกติให้สังคมไทย ให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมไม่ว่าจะมีความคิด ความเชื่อและความฝันที่แตกต่างกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการอภิปรายของ น.ส.เบญจา กลุ่ม สส.พรรคก้าวไกล ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับชูภาพใบหน้าของ น.ส.ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ หรือ ใบปอและน.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือผักบุ้ง จำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองคนได้รับสิทธิ์ประกันตัวต่อสู้คดีและปล่อยนักต่อสู้ทางการเมืองทุกคน
นายกฯแจงซื้ออาวุธดูงบ-ความจำเป็น
เวลา12.43น.พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงว่า มีหลายประเด็นเกี่ยวข้องกับกรอบอำนาจหน้าที่ การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ต่างๆได้มีการชี้แจงไปหลายครั้งแล้ว ทั้งในวาระก่อนหน้านี้ วาระงบประมาณ วาระในกรรมาธิการ สรุปได้ว่าถ้าให้เท่าไรตนก็ทำเท่านั้น หากไม่ผ่านก็ไม่ผ่าน หากผ่านก็ทำได้ เพราะฉะนั้นจะได้เป็นหลักการสักที สิ่งที่เขาชี้แจงมามีเหตุมีผลของเขาเองในเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ อันไหนจำเป็นไม่จำเป็น เร่งด่วนไม่เร่งด่วน ถ้าท่านบอกว่าไม่เร่งด่วนทั้งหมดก็ไม่เป็นไร ตนไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว ในเรื่องของสิ่งที่กล่าวว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ตนก็ได้รับรายงานมามีข้อมูลในส่วนที่ตนรับทราบอยู่แล้ว อะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะนำเข้าสู่กระบวนการดำเนินการต่อไป
ส่วนเรื่องของการชุมนุม การใช้อำนาจเพื่อป้องกันผู้เห็นต่าง ตนถามว่าที่ผิดกฎหมายนั้นคือกฎหมายปกติหรือไม่ เป็นกฎหมายที่เขียนมาใหม่หรือเปล่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นตนให้ความระมัดระวังอย่างที่สุดในการใช้กฎหมาย อะไรแจ้งเตือนได้ก็ไปแจ้งเตือน แต่เพราะมีกลุ่มเยาวชน ซึ่งอาจได้รับคำชี้แจงที่ทำให้เข้าใจผิดเพี้ยนไป ก็ได้มีการไปพูดคุยถึงผู้ปกครอง เพื่อไม่ต้องการให้อยู่ท่ามกลางอันตรายและต้องถูกดำเนินคดี สำหรับการดำเนินคดีก็เป็นเรื่องของศาล ศาลยุติธรรม เยาวชนก็ต้องไปศาลเยาวชน ตนไม่เคยไปใช้อำนาจก้าวล่วงอำนาจศาลใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นกรุณาระวังด้วยที่จะไปละเมิดอำนาจศาล
ซัดพรรคอันตราย-ปลุกโจ๋ทำลายล้างระบบ
“สิ่งที่ท่านพูดเรื่องสิทธิมนุษยชน ผมก็พยายามให้อย่างเต็มที่แล้ว ผมให้เกิน100%ไปแล้ว กฎหมายหลายตัวก็มีอยู่ ผมพยายามผ่อนหนักผ่อนเบา ผ่อนสั้นผ่อนยาวมาให้โดยตลอด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมการเคลื่อนไหวพวกนี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานี้ที่มีรัฐบาลในช่วงนี้และมีพรรคการเมืองบางพรรคที่เข้ามาอยู่ตรงนี้ เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด ผมคิดว่าคนไทยทั้งประเทศก็คงมองออก ไม่ว่าการจะไปพูดจาในโรงเรียน มหาวิทยาลัย เพื่อทำลายล้างระบบของเราทั้งหมด เพื่อจะเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ผมคิดว่าคนไทยคงไม่ยอม เพราะฉะนั้นจะมาโทษเจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้ที่ทำโน่นนี่ไม่ได้ เพราะท่านเป็นคนเริ่มทำเอง กฎหมายทุกฉบับผมไม่ได้กำหนดขึ้นมาใหม่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อย่าพูดกระทบเพื่อนบ้าน-ล้ำแดนเราก็เตือน
พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงต่อว่า เมื่อวานนี้ (21 กรกฎาคม) เรื่องการปกป้องประเทศในเรื่องของการดูแลชายแดน เรื่องน่านฟ้าต่างๆ ตนได้พูดไปหลายครั้งแล้ว แต่ท่านก็พยายามที่จะฟื้นขึ้นมาอีก ตนก็ยอมรับว่าจะทำให้ดีที่สุด ถ้าจะให้ถูกใจท่านทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ ตนไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่ทำงานด้วยระบบ ทำงานด้วยความร่วมมือ การสานสัมพันธ์กับต่างประเทศ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็ตามแต่เขาก็เป็นเพื่อนบ้านเรา เรื่องกิจการการเมืองภายในเป็นเรื่องของเขา เรื่องของการต่อสู้ก็เป็นเรื่องของเขา เราคงไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวายเรื่องสถานการณ์แบบนี้ในประเทศของเราเช่นกัน ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ด้วยเรื่องการพูดจาต่างๆ และสิ่งที่เป็นภาพปรากฏที่เป็นจริงบ้างไม่จริงบ้างและทุกอย่างตนได้สอบถามแล้วว่ามีการดูแลจากหน่วยงานในพื้นที่กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย การที่บอกว่าทำไมเราไม่รับผู้ที่เดือดร้อนในต่างประเทศเข้ามา เราเคยนำเข้ามาแล้วหลายแสนคน เราใช้วิธีการหาพื้นที่ปลอดภัยให้เขา ดูแลเรื่องอาหาร ยารักษาต่างๆ โดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งท่านต้องเข้าใจว่าชายแดนของเรามันมีชายแดนที่ติดกันและไม่มีอะไรชัดเจนนอกจากแนวที่ยึดถือกันไว้ตามธรรมชาติและอยู่ห่างกันระหว่างเราและกลุ่มต่อต้านไม่เกิน 500 เมตร เพราะฉะนั้น การที่จะมีการปะทะกันของฝ่ายตรงข้ามโอกาสที่จะเกิดปัญหาก็มีมากมายพอสมควร ซึ่งเรามีการตักเตือนไปหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นการใช้อาวุธกระสุนควันเตือน เมื่อมีกระสุนมาตกฝั่งเรา หากยังฝ่าฝืนต้องใช้อาวุธจริง
อย่าบิดเบือนภาพยืนโดดเดี่ยวเยือนตปท.
พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงต่อ ในประเด็นที่มีการนำภาพของตนขณะไปต่างประเทศว่าไม่ได้รับการต้อนรับ ภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพที่ประกอบกันทั้งสิ้น ภาพที่ตนไม่ได้รับการทักทายพูดจา จับตนมายืนท่ามกลางคนที่กำลังคุยกันและให้ตนไปยืนเฉยๆและหาว่าคนไม่คุยกับตน ตนคิดว่าไม่ใช่ ไม่ต้องมาเถียงตนแต่ให้ไปขอข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศได้ “ถ้าท่านไม่เคยไป ท่านไม่เคยเป็น ท่านไม่เคยอยู่ ท่านอย่ามาว่าผม เอาให้ท่านเป็นเสียก่อน แล้วท่านค่อยทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ผมไม่ได้ว่าผมทำดีที่สุดอยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เหน็บเงินเดือนหลักแสนไม่จ่ายหนี้กยศ.
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ตนไม่ได้ไปทำลายระบบ วันนี้ก็เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับคนที่ออกนอกระบบการศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการนำกลับเข้ามา ในส่วนของหนี้กยศ.ทำไมต้องสอนให้คนไม่รับผิดชอบ ที่ตนทำคือทำให้คนต้องรับผิดชอบ เมื่อกู้เงินต้องรับผิดชอบ แต่ทำอย่างไรให้ไม่เป็นภาระเรื่องส่งดอกเบี้ยต่างๆ แต่ท่านบอกให้นำเงินทั้งก้อนแจกไปให้หมดเลย แล้วจะเอาเงินจากที่ไหน มีหลายคนที่ตนไม่อยากเอ่ยชื่อ ได้เงินเดือนหลักแสนแต่ยังไม่จ่ายหนี้กยศ.เพราะฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญคือ คนมีรายได้น้อย คนไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา
ต้องเลือกเรียนสาขาที่ตลาดต้องการ
“การศึกษาเป็นสิ่งที่ดี จะเรียนอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละครับ แต่วันนี้สาขาที่เขาต้องการคืออะไรบ้าง ก็ฝากท่านไปช่วยแนะนำด้วยว่า เราควรเรียนในสาขาอะไรที่ประเทศต้องการ ที่ผู้ประกอบการต้องการ ถ้าจบมาในสาขาที่เขาไม่ต้องการเขาก็ไม่รับ มันก็ไม่มีงานทำ มันก็คือภาระของประเทศ เราก็ต้องดูแลกันต่อไปอีก ผมก็ทิ้งไม่ได้อยู่ดีและผมเคยบอกไปแล้วว่า การเรียนปริญญาบางครั้งมันมีปัญหา ใช้งบประมาณสูง รายได้ไม่เพียงพอ ผมก็บอกว่าขณะนี้โลกต้องการแรงงานที่เกิดจากในส่วนของอาชีวะ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย สร้างเสริมประสบการณ์และไปเรียนปริญญาต่อทีหลัง”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ต้องร่วมมือกัน-อย่าละเมิดสิทธิกันและกัน
พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงต่อว่า วันนี้สิ่งที่เราต้องทำคือร่วมมือกันให้อยู่รอดไปด้วยกัน ตนทำให้มันอยู่รอดและจะค่อยๆดีขึ้นเองในกรอบที่สามารถกระทำได้ที่เป็นไปตามกติกา คนเราต้องทำตามกติกา สิทธิมนุษยชนนั้น ตนก็มีของตนเอง ท่านก็มีของท่าน ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด ตนอาจจะต้องรับผิดชอบมากหน่อยเพราะมีหน้าที่การงานมากหน่อย แต่ตนจะไปอ้างสิทธิมากกว่าคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะตนมีสิทธิเท่าท่านทุกคน แต่อย่าละเมิดซึ่งกันและกัน
ลั่นไม่จำเป็นต้องใช้สปายแวร์เพกาซัส
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องสปายแวร์’เพกาซัส’ตนไม่รู้จัก ท่านว่าตนไม่ฉลาดอยู่แล้ว ตนไม่มีความจำเป็นต้องมาตามเรื่องแบบนี้ เปิดดูในโซเชียลก็เห็นอยู่แล้ว ว่าใครเป็นคนทำ มาจากไหน ใช้งบประมาณกันเท่าไหร่ มีคณะทำงานอยู่ที่ไหนบ้าง ตนยังไม่ทำอะไรเลย เป็นเรื่องประชาชนต้องเรียนรู้กันเอง ตนไม่ให้ค่าคนเหล่านี้อยู่แล้ว คนที่เผยแพร่ต่อตนเห็นใจเพราะเขาไม่เข้าใจ แต่คนต้นเรื่องมีกระบวนการอยู่เป็นเรื่องของกฎหมายก็ว่ากันไป
ไม่ทะเลาะใคร-ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์
ทุกอย่างตนไม่แก้ตัว มีสาระสำคัญต้องพูดให้เกิดประโยชน์ต่อสภาแห่งนี้ ต่อประเทศชาติ ในเวลานี้ มากกว่าเรื่องที่มาตีกันไปมา ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ดีกว่า วันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน ตนไม่ต้องการทะเลาะกับใคร ขึ้นอยู่กับมติ ขึ้นอยู่กับประชาชน กับรัฐธรรมนูญ ตนไม่ใช่คนเขียนรัฐธรรมนูญ สั่งใครไม่ได้อยู่แล้ว การเอาคนนั้นมาพูด เอาหนังสือพิมพ์มาอ่าน ตนรับไม่ได้ หลายครั้งตนเตือนแล้ว อย่าละเมิดสิทธิมนุษยชนของตน ครอบครัวของตน ตนไม่อยากย้อนถึงความเสียหายต่างๆ ถ้าพูดเงินไม่พอเป็นหนี้เป็นสิน ทำไมไม่เติมเงินตรงนั้นตรงนี้ ไปเก็บเงินจากคนที่เอาไปใช้ประโยชน์ที่เป็นหนี้อยู่ วันนี้ที่ตนใช้หนี้ให้อยู่กี่แสน ที่ยังไม่นับอยู่อีกหลายคดี เอามารวมตนจะให้ กยศ.เต็มจำนวนเลย
ฝ่ายค้านลุกประท้วงตอบไม่ตรงคำถาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายกฯชี้แจงแล้วเสร็จ เกิดความวุ่นวานเล็กน้อย เมื่อฝ่ายค้านต่างลุกขึ้นประท้วงนายกฯ เพราะตอบไม่ตรงคำถามและมีการกล่าวพาดพิง อาทิ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล (ก.ก.)
‘ชัยวุฒิ’ปัดใช้’เพกาซัส’ไร้อำนาจทำ
ต่อม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ดีอีเอส) ชี้แจงประเด็นยอมรับใช้สปายแวร์ หรือระบบเพกาซัสเจาะข้อมูลมือถือประชาชนว่าได้เห็นข้อมูลในโซเชียลมีเดียที่มีการนำไปปั่นกันซึ่งได้ย้อนคลิปชี้แจงในสภาที่ได้พูดไปนั้นระบุว่าตนไม่ได้พูดว่ามี แต่พูดว่ากำลังศึกษาระบบนี้ และรู้ว่ามีระบบนี้ อยู่ที่ใช้ในระบบความมั่งคงและเรื่องยาเสพติด แต่ไม่บอกว่ามีในเมืองไทยหรือระบบราชการ ยืนยันว่ากระทรวงดีอีเอสไม่ได้ทำ เพราะไม่มีอำนาจตามกฎหมาย แต่คนบางกลุ่มบิดเบือนกล่าวหาว่าตนยอมรับว่ามี อย่าไปบิดเบือนให้มันเกิดความสับสนเลย ไปพูดเรื่องที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ดีกว่า
“ผมฟังการประชุมมาหลายครั้ง ท่านนายกฯไม่ได้พาดพิงถึงทั้ง2คนนี้ที่พูดไปเลย คุณยุทธพงศ์ก็บอกว่าขอถามหน่อยทำไมไม่ตอบเรื่องนี้ ท่านนายกฯไม่ได้ตอบ หรือที่เขาอยากฟัง หรือตอบไม่ตรงใจท่าน ก็เป็นสิทธิของนายกฯ แบบนี้นายกฯก็เสียหาย”นายชัยวุฒิ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี