ระดมสับงบกลาง! ฝ่ายค้านฉะรัฐบาล ตั้งงบหมื่นล้านแต่ไม่เบิกจ่ายสักบาทเดียว

ระดมสับงบกลาง! ฝ่ายค้านฉะรัฐบาล ตั้งงบหมื่นล้านแต่ไม่เบิกจ่ายสักบาทเดียว

วันพุธ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2565, 17.17 น.

"ฝ่ายค้าน"ระดมสับ"งบกลาง"เบิกจ่ายไม่ฉุกเฉินจริง ฉะรัฐบาลตั้งงบกลางหมื่นล้าน แต่ไม่เบิกจ่ายสักบาทเดียว จับไต๋ไร้เลือกตั้งปี 66 หลัง กกต.ไม่ของบจัดกาบัตร จวกหน่วยงานไม่รอบคอบ คิดไม่ออกของบกลาง จมูกไวแฉกลิ่นทุจริตโชย ใกล้เลือกตั้ง คิดเป็นอื่นไม่ได้

เมื่อเวลา 17.45 น.วันที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท ในวาระ 2 และวาระ 3 ระหว่างการพิจารณามาตรา 6 ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายงบกลาง จำนวน 590,470,000,000 บาท ที่จำแนกเป็น 12 รายการ โดย กมธ.และ ส.ส.ฝ่ายค้าน ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ต่างอภิปรายไปในทิศทางเดียวกันคือ การเสนอปรับลดงบกลางลง เนื่องจากเป็นการตั้งงบที่ไม่ได้นำไปใช้ในงานเร่งด่วน และฉุกเฉิน งบจำนวนมากนำไปใช้จ่ายให้กับเงินเดือนข้าราชการ อีกทั้งยังไม่มีความโปร่งใส และตรวจสอบยาก


โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ.ที่ขอสงวนความเห็นว่า จากรายงานของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา พบว่างบกลางมีปัญหาเรื่องความโปร่งใส 3 เรื่องคือ 1.กระบวนการพิจารณา 2.กระบวนการใช้จ่าย และ 3.กระบวนการตรวจสอบ โดยงบกลางในรายการเงินเลื่อนเงินเดือน และเงินปรับวุฒิข้าราชการ ที่ปี 2566 ตั้งงบไว้ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ปี 2557 - 2564 ไม่เคยมีการเบิกจ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว ดังนั้น เราจึงสามารถปรับลดลงได้ ส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินเร่งด่วนจำเป็น ปี 2566 ตั้งงบไว้ 92,400,000,000 บาท โดยปี 2565 อนุมัติไปตามมติครม.แล้ว 4.4 หมื่นล้านบาท และยังต้องนำมากลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลที่ตั้งเงินเดือนไว้ไม่พอจ่ายสำหรับปีนี้ จึงต้องเข้าไปขอให้ครม.อนุมัติอีก 2.3 หมื่นล้านบาท โดยตนได้เคยพูดว่า งบที่มีอย่างจำกัด หากไม่ปรับโครงสร้างอย่างจริงจัง อาจจะกระทบกับเงินเดือนข้าราชการก็เป็นได้ และก็เป็นจริงๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ครม.มีมติจะจัดสรรงบกลางให้กองทุนน้ำมัน 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน หรืออาจจะต้องเลื่อนไปถึงงบกลางของปี 2566 หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เงินสำรองจ่ายฉุกเฉินเร่งด่วนจำเป็น มีการเบิกจ่ายต่ำมากเฉลี่ย 5 ปี เบิกจ่ายเพียง 50% ทั้งนี้ งบส่วนนี้สามารถโอนเปลี่ยนแปลงระหว่างรายการงบกลางได้ โดยที่เราไม่รู้ว่าเอาไปไหน และเอาไปทำอะไร ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณควรจะต้องดูถึงความพร้อมของการดำเนินการและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการด้วย ตนจึงขอตัดลดงบกลางในทุกรายการให้เหลือ 590,000,000,046 ล้านบาท

ด้าน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ในฐานะ กมธ.ที่ขอสงวนความเห็น อภิปรายว่า ตนขอเสนอปรับลดงบกลาง 5% เพราะมีอัตรา 18.5% ของงบประมาณทั้งหมด ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี แต่กลับไม่มีการวินัยในการใช้งบ จนอาจจะทำให้เกิดภาวะภัยทางศีลธรรม ในกระบวนการพิจารณาปีนี้ มีหลายครั้งที่ตั้งงบที่ดูแล้วไม่พอที่จะทำโครงการ เมื่อตนถามหน่วยงานนั้นไป ก็จะได้รับคำตอบว่า ไว้ไปขอจากงบกลาง ตัวอย่างแรกคือ โครงการสวัสดิการประชารัฐ ที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้คือการเพิ่มจำนวนประชากรผู้ใช้สิทธิจาก 13 ล้านคน เป็น 18 - 20 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 35 - 50% แต่การจัดการกองทุนประชารัฐสวัสดิการ พบว่ามีการเพิ่มงบเพิ่มเพียง 18% โดยทางหน่วยงานก็ชี้แจงว่า จะไปเอางบจากงบกลาง

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวอย่างที่สอง คือ งบจัดการเลือกตั้ง ถ้านายกฯ ตัดสินใจลาออก และยุบสภาในวันนี้ ตนจะไม่ติดใจหากจะใช้งบกลางมาจัดการเลือกตั้ง เพราะผ่านมา 8 ปี เราต้องยอมรับว่า การที่ท่านจะตัดสินใจลาออกก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ และเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือการคาดการณ์ แต่ตนไม่เข้าใจว่า สภาชุดนี้จะครบวาระในช่วงเดือนมีนาคม 2566 จะมีเหตุผลอะไรทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสำนักงบประมาณ ไม่ตั้งงบสำหรับการเลือกตั้งในปี 2566 หรือว่าท่านรูอะไรที่ตนไม่รู้ว่าปีหน้า จะไม่มีการเลือกตั้งตามวาระ ตนจึงถามหน่วยงานว่า จะนำเงินมาจากไหนจัดเลือกตั้ง คำตอบที่ได้คืองบกลาง ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ดีกว่าไม่รู้ๆๆ สักเล็กน้อย แต่ในอนาคตหากทุกหน่วยงานตั้งงบไม่รอบคอบเช่นนี้ และหวังไปพึ่งงบกลางในดาบหน้า ต่อให้นำงบกลางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้ง 8 ปี มารวมกันก็คงไม่พอ การตั้งงบกลางสูงอาจจะทำให้สบายใจ แต่ถ้าตั้งไว้สูงแล้วทำให้หน่วยงานชะล่าใจว่าถ้าตั้งงบไม่พอก็ขอจากงบกลางได้เรื่อยๆ สุดท้ายจะมีงบไม่พอสำหรับกรณีฉุกเฉิน

ด้าน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปราย ว่า ขอปรับลดงบกลาง 20% เพราะไม่น่าจะสอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วน ฉุกเฉิน เป็นที่รู้และกังวลว่าเป็นงบที่ตรวจสอบยาก และเป็นงบที่มีการเปิดช่องให้รั่วไหลมาที่สุด เพราะดูแล้วครบวงจร เมื่อประมาณปี 2561 นายกฯไปแก้กฎหมายระเบียบวินัยการเงินการคลัง ไปเพิ่มอำนาจให้ตัวเองในการอนุมัติงบกรณีฉุกเฉินและจำเป็นมากขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วเมื่อบ้านเมืองโปร่งใสก็ยิ่งต้องแก้ให้อำนาจลดลง ให้เข้าสู่ระบบ ซึ่งในการจัดงบประมาณปีก่อนๆ และปีนี้ การจัดงบกลางเพียงแต่ตั้งเป็นก้อนกลมๆมา โดยไม่มีรายละเอียดให้ ทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก และเมื่อ กมธ.ติดตามงบประมาณ สภาฯ ไปดูการใช้งบและขอเอกสาร ก็ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือมีการปกปิดข้อูลและไม่ให้รายละเอียด ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสและมีเงื่อนงำ ซึ่งดูได้จากการที่นายกฯอนุมัติงบกลางไปให้มหาวิทยาลัย 2 - 3 แห่งไปทำวิจัย โดยการอ้างโควิด ไม่ทราบว่าการวิจัยฉุกเฉิน จำเป็นอย่างไร เพราะกลัวผลวิจัยจะออกมาต้องใช้เวลาเป็นปี จึงไมมีเหตุผลที่ใช้งบกลางให้กับการวิจัย และเป็นการซ้ำซ้อนกับงบของกระทรวง ที่เกี่ยวข้องดำเนินการอยู่ ที่สำคัญไปกระจุกอยู่ในบางมหาวิทยาลัย

"จึงเป็นการจัดงบฯ ที่ไม่ตอบโจทย์ของประชาชน ไม่ได้เร่งด่วน ฉุกเฉินจริงๆ ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือไปพบว่าได้กลิ่นการทุจริต จึงขอย้ำว่าการใช้งบกลาง ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มีปัญหา ทำให้เราคลางแคลงใจตลอด และหากปีนี้ให้งบกลางไปอีก ยิ่งเป็นปีที่เข้าสู่การเลือกตั้ง ก็คิดไปได้ทั้งนั้นว่าจะเอาไปทำอะไร ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ประชาชนจริงๆ" นายสุทิน กล่าว

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top