ปิดฉากรูดม่านคอตก “ศึกปิดสวิตซ์สภาสูง” หรือวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ฝ่าย “นักเลือกตั้ง-นักประชาธิปไตย” มองเป็นกลไกค้ำยันการสืบทอดอำนาจจากรุ่น “เผด็จการคสช.” สู่รุ่น “รัฐบาลเลือกตั้งแบบผสม”
แท้ง “ไม่สำเร็จ” ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ช่วง 6-7ก.ย.ที่ผ่านมา มีการพิจารณา “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” จำนวน4ฉบับ ที่ส่วนใหญ่เป็นฉบับของเหล่า “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ที่ “อดอยากปากแห้งอำนาจ” มานานนับ8ปี
หลักใหญ่ใจความสำคัญล้วนมุ่งไปที่การแก้ไข “มาตรา272” ใน “รธน.60” สรุปความกระชับๆคือ “การให้ส.ว.มีอำนาจในการเข้ามามีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี ในช่วง5ปีแรกของรัฐสภาชุดปัจจุบัน” โดยเฉพาะ1ใน4ร่างแก้รธน. ที่อ้างว่า เป็น “ฉบับประชาชน” นำโดย “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย สวมหมวกอีกใบเป็น “คณะผู้รณรงค์แก้ไขมาตรา272” นำ 64,151 รายชื่อประชาชนที่เข้าชื่อเป็นผู้เสนอ มีเจตนารมณ์สำคัญคือ
“ส.ว.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้นส.ว.ต้องคงความเป็นกลางทางการเมือง การมีส่วนเลือกนายกฯในบัญชีพรรคการเมือง จะทำให้ประชาชนมองว่า มีส่วนได้เสียหรือหนุนพรรคการเมืองนั้นๆ”
ทว่าสุดท้ายในการลงมติชี้ขาด ร่างที่ 4 ซึ่งเป็นร่างตัดอำนาจส.ว.เลือกนายกฯ ที่สมชัย และประชาชนเข้าชื่อเสนอ พ่ายไปด้วยผลคะแนน ดังนี้ เห็นชอบส.ส. และส.ว. รวม 356 คะแนน ไม่เห็นชอบ ส.ส. และ ส.ว. รวม 253 คะแนน งดออกเสียง ส.ส. 8 คะแนน ส.ว. 45 คะแนน แต่คะแนนเห็นชอบนั้น ไม่เกินกึ่งหนึ่งคือ 364 คน จากจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 727 คน
ผลทำให้ “ปิดสวิตซ์ส.ว.” แท้งไม่สำเร็จ เมื่อสืบไปสืบมาก็พบว่า มี “151 เสียงส.ว.” คือตัวแปรสำคัญที่ “ขวาง” เอาไว้ไม่ให้อำนาจส.ว.เลือกนายกฯใน5ปีถูกล้มลงไป ล้วงลึกลงไป151วุฒิสภา พบว่า เป็น“ส.ว.สายทหาร-ตำรวจเก่า” ที่มีส่วนสำคัญ ถือว่า เป็นไปตามคาด
ไม่แปลก “ส.ว.” มาจากการ “แต่งตั้ง” ของ “คสช.” ในช่วงทำกฎหมายประเทศ คือรธน.ปี60 เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 จึงต้องตั้งส.ว.มารับภารกิจ5ปีเพื่อ “ปฏิรูปประเทศ” แถมมีส่วนเลือกนายกฯอีกด้วย
เมื่อตั้งรัฐบาลได้ในปี62 เท่ากับมีรัฐสภาไทยชุดแรกในปีเดียวกัน ดังนั้นระยะเวลา5ปี ถ้านับจากปี62 ส.ว.ทำงานมาแล้วเข้าสู่ปีที่3 ปีนี้ 2565 ก็จะเหลือระยะเวลา2ปีในการทำงาน ตามอายุตามที่รธน.กำหนด เท่ากับว่าส.ว.จะสิ้นภารกิจในปี67
ขณะที่ฟาก “ผู้แทน” ที่มาจากการเลือกตั้งในปี62 ก็อยู่ภายใต้กติกา รธน.60 ที่ระบบเลือกตั้งเป็นแบบ “บัตรใบเดียว” และ “จัดสรรปันส่วนผสม” ทำให้ได้พรรคใหม่ที่มาแรงโดนใจ “วัยรุ่น” วัยชอบเปลี่ยนแปลงอย่าง “พรรคอนาคตใหม่” และ “พรรคเล็ก” มากมาย
แม้ “อนาคตใหม่” จะถูกยุบจาก “อุบัติเหตุการเมือง” ถ่ายเลือดมาเป็นพรรค “ก้าวไกล” รวมทั้งพรรคหลักอย่าง “พรรคเพื่อไทย” ที่ถึงกติกาไม่เข้าทางปืน แต่ก็ยังได้ส.ส.มาเป็น “นัมเบอร์วัน” เพียงแต่ไม่ได้ตั้งรัฐบาล
สิ่งที่จะสื่อคือ ใดๆก็ตามก็ล้วนแล้วแต่มาจาก “คอก” เดียวกันคือรธน.60 ต่างกันที่วิธีการคือ “มา” กับ “ไม่ได้มา” จากการเลือกตั้งของประชาชนเท่านั้นเอง ฝ่าย “นักเลือกตั้ง” ท่องคำมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ฝ่าย “วุฒิสภา” ก็ท่องเช่นกันได้รับภารกิจเข้ามาปฏิรูปประเทศใน5ปีเท่านั้น
สิ่งที่โผล่ขึ้นมองเห็นคือวิวาทะเดือดๆเป็นการฟาดฝีปากกลางที่ประชุมรัฐสภา โดยเฉพาะก่อนลงมติเมื่อวันที่7ก.ย. เริ่มที่ส.ว. อย่าง “สมชาย แสวงการ” ที่ทนเห็น “สมาชิกวุฒิสภา” ถูกแซะ กระแหนะกระแหน เหน็บแนม โจมตี จากฝักฝ่าย “ผู้แทนราษฎร” อย่างไม่เกรงใจ ตลอดการอภิปราย2วัน ก็ถึงกับประกาศไม่รับทั้ง4ร่าง ไม่ยอมให้ใครมาปิดสวิตซ์ตัวเอง แถมยังตอกกลับฝั่ง “ส.ส.” ระบุใจความแบบสรุปๆว่า
“ถ้าไม่เห็นด้วย เพราะเป็นมรดกทรราชย์ หรือเป็นของคสช. หรือเผด็จการ ผมแนะนำท่าน ไม่ต้องกลับมาลงเลือกตั้งจะได้ไม่ต้องมาเจอกันอีก และเมื่อพวกผมพ้นไปแล้ว พวกท่านค่อยกลับเข้ามาสมัครใหม่ เว้นไปสักระยะ แล้วค่อยกลับมาอย่างสบายใจ พวกผมก็จะไม่อยู่ดูหน้าพวกท่านอีก เพราะอีก 2 ปีก็จะพ้นไปแล้ว ไม่ใช่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ท่านเข้ามาก็ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้”
ซีกพรรค “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ก็ถือเป็นแกนหลักในการเขย่าประเด็นต่างๆเพื่อระดมปิดสวิตซ์ส.ว. ก็แรงไม่แพ้กัน ถึงกับเปิดฉากโต้เดือดกับ อีก1ส.ว.อย่าง “เสรี สุวรรณภานนท์” ที่ก็เป็นอีกคนทนไม่ได้เหมือนกันที่ถูกส.ส.ก่นด่าระงมสภาฯ
โดยเฉพาะเจ้าประจำอย่าง “เจี๊ยบ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ฮาร์ดคอร์สายชนเผด็จการ ที่เสมือนจะปิดท้ายอำลาอาชีพผู้แทนฯ จากที่ประกาศลั่นโซเชียลฯ ไว้ จะไม่ขอลงส.ส.รอบหน้าอีกแล้ว ก็ด่าแล้วชิ่งออก ด้วยคำสั้นๆง่ายๆแต่แรงว่า “เลว”
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเอง ก็มิวายร่วมปิดสวิตซ์ส.ว. อย่าง “พรรคประชาธิปัตย์” หรือแม้กระทั่ง “พรรคภูมิใจไทย” ที่กำลังชุบตัวเตรียมก้าวกระโดดขึ้นเป็น “พรรคขนาดใหญ่” เพียงแต่พรรคเหล่านี้มีทีท่าแบบ “คมในฝัก”
แม้จุดยืนไม่ยอมรับ “เผด็จการสืบทอดอำนาจ” ตั้งแต่ก่อนร่วมรัฐบาลตามวิถีทางนักประชาธิปไตย แถมมีส.ว.สอดไส้เข้ามา5ปี แต่เมื่อมาร่วมรัฐบาลกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ชู ”ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ผลัดใบมาจากคสช. มาเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ก็สงวนท่าที ไม่ระดมด่าลั่นสภาฯ เหมือนฝ่ายค้านที่ไม่มีอะไรจะเสีย แต่ไปเปิดคมจากฝักตอนลงมติทีเดียวว่าไม่เอาส.ว.แล้วค่อยมาชี้แจงเหตุผลทีหลังถึงสาเหตุต่างๆ ที่ประชาชนบางส่วนอาจจะมองแบบเข้าใจผิดกันไปต่างๆนาๆ ยกตัวอย่างเช่น “หัวหน้าหนู อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ออกมาแจงยิบ ย้ำจุดยืน ที่ถูกมองผิดไปว่า “ไหนบอกก่อนเลือกตั้งว่า ไม่เอาส.ว.สืบทอดอำนาจ แล้วไยมาร่วมกับพรรคที่ชูต้นน้ำแห่งการสืบทอดอำนาจอย่าง พล.อ.ประยุทธ์”
“พรรคภูมิใจไทยจะไม่ยอมร่วมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือหมายความว่า ได้เสียง ส.ส.ข้างน้อย แต่ไปเอาเสียง ส.ว.มาเติมแล้วได้นายกฯ แบบนั้นเราไม่ไปร่วม การตั้งรัฐบาล ต้องได้เสียงในสภาเกินกว่า 375 เสียง” จากปากคำของ “อนุทิน” บางส่วน ที่ตัดมา ซึ่งยังมีฉบับเต็ม หาอ่านได้ตามหน้าข่าวทั่วไปบนแพลตฟอร์มออนไลน์
สรุปภาพรวม ในเมื่อรธน.60 มาตรา272 ไม่ถูกแก้ไข ส.ว.ขณะนี้เหลือเวลาการทำงานอีก2ปี แม้งาน “ปฏิรูปประเทศ” จะดูเหลวเป๋ว ดูไม่สะเด็ดน้ำ แต่ก็ยังมีส่วนที่จะร่วมเลือกนายกฯกับฝั่งผู้แทน อย่างส.ส.ที่เตรียมปรับทัพ จัดรูปขบวน ปั้นนโยบาย หาเสียงเต็มที่เพื่อรอสู้ศึกเลือกตั้ง ที่มีการคาดการณ์กันไว้จะเกิดขึ้นในปี 2566 หากไม่เกิดอุบัติเหตุการเมืองใดพลิกผัน
คงต้องมาจับตาดูกันอีกทีว่า ที่ว่าเลือกตั้งในปีหน้า ที่จะครบตามวาระอายุรัฐบาลพอดี4ปี ในกรณีที่หากอยู่ครบถึงวาระ ไม่มีการ “ยุบสภา” เสียก่อน กับอีกปีกว่าๆที่เหลือที่จะครบวาระ5ปีของส.ว. ในปี 2567 การทำงานร่วมกันจะเป็นในรูปแบบใด แต่มองดูแล้วคงจะเกิดยากที่จะร่วมมือกันแบบหล่อๆโลกสวย “ส.ส.-ส.ว.” ผนึกกำลังเดินหน้าประเทศ คงจะมีแค่ฝันเท่านั้น
ในที่สุดคงจะเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” ที่เมื่อมีประชุมร่วมกันที ก็จะมาห้ำหั่นกันที ทั้งที่มาจากรธน.ฉบับเดียวกัน เพียงเพราะต่างกันแค่กัน “มา” กับ “ไม่มา” จากประชาชน ก็คงไปจนกว่าส.ว.จะครบวาระ
เมื่อถึงเวลานั้นก็คงต้องมาว่ากันอีกทีว่าจะมี “ซ่อนกล” ใดไว้อีก หรือจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาใดให้ “การเมืองร้อนแรง” หรือไม่ ต้องติดตามต่อเนื่องกับกติกาประชาธิปไตยแบบไทยในเวลาอันใกล้นี้...!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี