ยกเลิกแอป‘ไทยชนะ’
ขานรับลดระดับโควิด-19
สธ.แจงยังต้องเฝ้าระวัง
บริการฉีดวัคซีนต่อเนื่อง
ติดเชื้อ823รายตายอีก7
เจอป่วยฝีดาษลิงอีก2คน
ยกเลิกแอปฯไทยชนะ ไม่ตรวจเอกสารโควิดผู้เดินทางเข้าไทย ในขณะที่สธ.ยังเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ป่วยอีก 823 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 7 ศพ ขณะเดียวกันยังพบผู้ป่วยฝีดาษลิงเพิ่มอีก 2 ราย ที่ภูเก็ต เป็นหญิงไทย-ชายเยอรมัน
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศไทยประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ซึ่งเป็นวันแรกของการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เข้ารักษาตัวโรงพยาบาล 823 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศทั้งหมดทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,458,697 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)ส่วนการรักษา มีผู้หายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 811 ราย ยอดหายป่วยสะสม (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) 2,474,400 ราย กำลังรักษาตัว 6,467 รายมีผู้เสียชีวิตใหม่อีก 7 ราย ยอดรวมเสียชีวิตสะสม (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) 11,073 รายจำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ 466 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 260 รายสายพันธ์ใหม่โผล่มาอีก
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก “Center for Medical Genomics”ระบุ โควิดเจเนอเรชัน 3 โอมิครอน BA.2.75.2 พบแล้วในไทยรวม 4 ราย ส่วนโอมิครอน BQ.1.1 เหลนของ BA.5 พบทั่วโลกเพิ่มเป็น 228 ราย จากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “GISAID” พบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2.75.2 ในไทยเพิ่มรวมเป็น 4 ราย โดยทั่วโลกพบเพิ่มเป็น 729 ราย โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2.75.2 ที่กลายพันธุ์เพิ่มเติมจาก BA.5 บนส่วนหนามถึง 13 ตำแหน่ง โอไมครอน BA.2.75.2 ได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดประมาณ 71% เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ BA.5 ที่ระบาดอยู่ทั่วโลกตอนนี้
BA.5ยังยึดพื้นที่-จับตาBQ.1.1ช่วงหนาว
ศูนย์จีโนมฯยังระบุด้วยว่า จากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก GISAID ยังไม่พบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BQ.1.1 ในประเทศไทย แต่ทั่วโลกพบเพิ่มเป็น 228 ราย โอมิครอน BQ.1.1 ทั่วโลกเพิ่มจาก 136 ราย เมื่อ 7 วันก่อนเป็น 228 ราย BQ.1.1 เป็นเหลนของโอมิครอน BA.5 ซึ่งกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่งสำคัญ
ส่งผลให้อนุภาคไวรัสเข้าจับกับผิวเซลล์มนุษย์ได้ดี เพื่อแทรกเข้าภายในเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวน นอกจากนี้ ยังช่วยหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันเป็นเลิศ ส่งผลให้ดื้อต่อแอนติบอดีสำเร็จรูปทุกชนิดที่องค์การอาหารและยาสหรัฐ ให้ใช้ได้ รวมทั้งแอนติบอดีค็อกเทลอย่างเอวูเชลด์ (Evusheld) และ เบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab)
“คงต้องเฝ้าติดตามช่วงเข้าฤดูหนาวของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งแต่เดือนธันวาคม กับการผ่อนคลายมาตรการไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่าง จะก่อให้เกิดการระบาดของโอมิครอน BA.2.75.2 หรือ BQ.1.1 หรือไม่ หรือ BA.5 ยังคงระบาดครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่กลายพันธุ์ไปมากกว่าสามารถเข้ามาแทนที่ และถูกกำจัด (elimination) ไปด้วยวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือภูมิที่ได้รับจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ”ศูนย์จีโนมฯระบุ
รบ.ย้ำป่วยโควิดสีแดงใช้ยูเซฟได้
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการดูแลผู้ป่วยโควิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยืนยันการรักษาพยาบาลได้ตามสิทธิฟรี ทั้งสิทธิบัตรทอง สิทธิข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม ดูแลรักษาตามอาการและดุลยพินิจแพทย์
รายละเอียด มีดังนี้ 1.รักษาแบบเจอ แจก จบ กรณีไม่มีอาการ ยังรักษาในรูปแบบเทเลเฮลธ์ผ่าน 4 แอปพลิเคชันได้ตามปกติ โดยพบแพทย์ทางไกล วินิจฉัยอาการ และจัดส่งยาทางไปรษณีย์ 2.รับยารักษาโควิดตามอาการที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. ดูรายชื่อร้านยาที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ https://www.nhso.go.th/downloads/197 3.ยกเลิกแจกชุดตรวจ ATK ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หากไปโรงพยาบาลแพทย์พิจารณาให้ตรวจคัดกรอง จะไม่มีค่าใช้จ่าย 4.ผู้ป่วยหนักรับการรักษาเป็นผู้ป่วยในในโรงพยาบาลตามสิทธิ 5.การใช้สิทธิ UCEP Plus กระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงหลักเกณฑ์ UCEP Plus ใหม่ มีผล 1 ตุลาคม โดยกำหนดให้เฉพาะผู้ป่วยโควิดที่มีอาการป่วยวิกฤต (สีแดง) สามารถใช้สิทธิ UCEP Plus เข้ารักษาได้ที่รพ.ทุกแห่ง โดยไม่มีเงื่อนไข 72 ชั่วโมงแรก ซึ่งต้องมีอาการเจ็บป่วยวิกฤตตามเกณฑ์ UCEP Plus เช่น มีภาวะหัวใจหยุดเต้น ทางเดินหายใจอุดกั้น หายใจหอบเหนื่อย มีภาวะอาการระบบทางเดินหายใจรุนแรง ไม่สามารถหายใจได้ ช็อก ความดันโลหิตต่ำ หรืออาการอื่นที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนผู้ป่วยโควิดอาการสีเหลือง เช่น กลุ่ม 608 ที่ไม่มีอาการ จะไม่ครอบคลุมสิทธิ UCEP Plus แต่สามารถเข้ารักษาที่สถานพยาบาลตามสิทธิสุขภาพของตนได้ ทั้งนี้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) มีศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เป็นหน่วยประสานระหว่างประชาชนและสถานพยาบาล ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ข้อมูล สอบถามโทร.0-2872-1669
สธ.เดินหน้าฉีดวัคซีนต่อเนื่อง
จากกรณีที่มีการปรับให้ “โควิด-19” เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เข้ารับบริการได้ในสถานพยาบาลทุกระดับ รวมถึงการปรับจุดฉีดวัคซีน ซึ่งมีการยุบศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อไปแล้ว โดยให้บริการฉีดวันสุดท้าย เมื่อ 30 ก.ย. ที่ผ่านมานั้น
เกี่ยวกับกรณีของวัคซีน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ประมาณ 144 ล้านโดส การรับเข็มกระตุ้นยังต่ำกว่า 40% มีเพียงเขตสุขภาพที่ 13 กทม. ที่รับเข็มที่สามเกิน 40%
ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป แม้โรคโควิด-19 จะปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง แต่สิ่งสำคัญคือการรับเข็มกระตุ้น โดยในส่วนของสถานพยาบาลต่างๆ ในภูมิภาค 76 จังหวัด สามารถไปรับบริการโรงพยาบาลภาครัฐได้ทั้งหมดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่มีการเตรียมและกระจายวัคซีนโควิด-19 ทั้งชนิดเชื้อตาย ไวรัลเวกเตอร์ mRNA และโปรตีนซับยูนิต ไปทุกพื้นที่
สำหรับการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป LAAB สำหรับกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การรับสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการฉีดได้ เช่น ผู้ป่วยไตวายที่รับการฟอกไต ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิ ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบหรือแพ้ภูมิตนเองที่ได้รับยากดภูมิ รวมถึงผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำกลุ่มอื่นๆ
ส่วนการรับวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมให้บริการ ซึ่งจะมีการฉีด 3 เข็ม ในช่วงสัปดาห์ที่ 0, 4 และ 12 โดยสามารถรับพร้อมวัคซีนชนิดอื่นได้ หากเด็กมีประวัติติดเชื้อให้เว้นระยะห่างไปก่อน 3 เดือน
เข้าสู่ระยะปลอดภัย
ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างปลอดภัย เมื่อเทียบกับช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยช่วง 2 สัปดาห์นี้พบว่า ผู้ป่วยปอดอักเสบลดลงจาก 650 ราย เหลือ 480 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจลดลงจาก 331 ราย เหลือ 263 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 7 วัน จาก 17 ราย ลดเหลือ 12 ราย ขณะที่ผู้ป่วยรายวัน ผู้รักษาหาย และอยู่ระหว่างการรักษามีแนวโน้มดีขึ้นทั้งหมด
แต่สิ่งสำคัญคือ ผู้เสียชีวิตในสัปดาห์ที่ผ่านมา 72 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 10 รายนั้น พบว่าเป็นผู้สูงอายุเกือบทั้งหมด โดยอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปถึง 47 ราย ขณะที่อายุ 60-69 ปี มี 13 ราย เกือบทุกคนมีโรคประจำตัว นอกจากนี้ ยังพบว่า 51% ไม่ได้รับวัคซีน ส่วนผู้ที่รับวัคซีนมา 2 เข็ม แต่เข็มสองนานเกิน 3 เดือน พบเสียชีวิต 29%
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์ของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า ช่วงการระบาดของโอมิครอน BA.4/BA.5 ในเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2565 การฉีดวัคซีน 2 เข็มยังได้ประโยชน์ป้องกันการป่วยหนัก 60% และป้องกันเสียชีวิต 72% แต่จะดีกว่าถ้าฉีดเข็มกระตุ้น การป้องกันป่วยหนักเพิ่มขึ้นเป็น 83% ป้องกันการเสียชีวิต 93% และหากฉีดเกิน 4 เดือนแล้วต้องรับเข็ม 4 จะช่วยป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตได้ 100% ดังนั้น ครอบครัวที่มีกลุ่มเสี่ยง 608 ถ้ายังไม่ได้รับวัคซีนหรือยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้นต้องพามารับ ซึ่งจากข้อมูลพบว่ายังมีผู้สูงอายุอีก 1.9 ล้านคนยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
ควรได้รับเข็มกระตุ้นต่อไป
ทั้งนี้ การรับวัคซีนเข็มกระตุ้น จะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ ซึ่งข้อมูลพบว่า การฉีดในผู้สูงอายุช่วยลดการเสียชีวิตลง 41 เท่า เมื่อเทียบคนไม่ได้รับวัคซีน และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม โควิด จะเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง สถานที่สาธารณะ พื้นที่ปกติจะผ่อนคลายความเข้มงวด ดังนั้น คนไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้นจึงควรรีบมารับ เพื่อป้องกันความเสี่ยง
และหากปีหน้ามีวัคซีนโควิดรุ่นใหม่ ภาครัฐก็พร้อมจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ สำหรับคนที่ต้องการ โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเสี่ยง ส่วนวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็ก 6 เดือนถึงต่ำกว่า 5 ขวบ จะมาถึงใน 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้
พญ.ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สำหรับวันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป กทม.ยังให้บริการวัคซีนตามความสมัครใจอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่ม 608 จะให้รับวัคซีนเข็มสามเกิน 70% โดยจะเปิดบริการทั้งนัดหมายและวอล์กอิน (Walk in) เช่น
หากมีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนประสานศูนย์บริการสาธารณสุขหรือสำนักงานเขต ดูแลให้วัคซีนเชิงรุกในพื้นที่ที่ต้องการ ส่วนเรื่องผลข้างเคียงจากการรับวัคซีนสามารถติดต่อตามสิทธิสุขภาพของตน ส่วนกรณีข้อมูลในหมอพร้อมไม่ถูกต้อง เราเปิดสายด่วน 1555 ประสานแก้ไขข้อมูลได้.
ยกเลิกแอปไทยชนะ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับโรคโควิด19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยกเลิกแอปไทยชนะ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดในระบบจะถูกทำลายทิ้ง ตามมาตรฐานความปลอดภัยทางสารสนเทศ ขณะที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด19 อาทิ เอกสารรับรองการได้รับวัคซีน และผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทย
“ขณะนี้ โรคโควิด19 ได้ถูกปรับลดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงติดตามสถานการณ์การแพร่เชื้ออย่างใกล้ชิด รวมถึงการรับวัคซีนเข็มกระตุ้นยังคงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงได้มาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ จึงอยากให้ประชาชนมารับการฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน อีกทั้งการเว้นระยะห่าง การใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในสถานที่แออัดยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ แม้อาการจะไม่รุนแรงแต่ก็อาจเป็นLong Covidได้ มากไปกว่านั้น รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็อายุหกเดือนถึงสี่ขวบ จำนวนสามล้านโดสไว้แล้ว คาดว่าจะมาถึงและกระจายการฉีดให้แก่เด็กทั่วประเทศในช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคมนี้” นางสาวรัชดา กล่าว
สธ.พบฝีดาษลิงอีก2ราย
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เปิดเผยว่า สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 นครศรีธรรมราช ตรวจพบผู้ป่วยโรคฝีดาษวานร 2 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยัน รายที่ 9 และรายที่ 10 ในภูเก็ต ประวัติพบว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน โดยผู้ป่วยยืนยันรายที่ 9 เป็นเพศหญิง สัญชาติไทย อายุ 37 ปี อาชีพ พนักงานบริการ เริ่มป่วยตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2565 มีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตัว วันที่ 17 ก.ย. 2565 ผู้ป่วยซื้อยารับประทานเอง ต่อมา เริ่มมีผื่นที่บริเวณก้น มีผื่นตุ่มหลายประเภท ทั้งตุ่มน้ำใส ตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง ทั่วร่างกาย ไม่คัน แต่เจ็บบริเวณที่เป็นตุ่ม จนถึงวันที่ 25 ก.ย. 2565 ขณะที่มีอาการป่วยในวันที่ 17 ก.ย.ให้ประวัติว่าได้สัมผัสใกล้ชิดกับชายชาวเยอรมัน อายุ 54 ปี ซึ่งต่อมาเริ่มมีอาการผื่นและตุ่มหนองที่บริเวณหน้าอก ในวันที่ 27 ก.ย.โดยไปรับการรักษาที่ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต และแพทย์ซักประวัติผู้ป่วยได้ข้อมูลว่า ไม่ได้สัมผัสผู้ป่วยที่มีผื่นหรือตุ่มที่ผิวหนัง และไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ ในช่วง 21 วัน ก่อนป่วย แต่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดชาวต่างชาติ แพทย์วินิจฉัยว่าสงสัยเป็นโรคฝีดาษวานร ส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเชื้อ วันที่ 26 ก.ย. 2565 ผลตรวจ PCR พบเชื้อ Monkeypox virus
“กรมควบคุมโรคส่งทีมปฏิบัติการสอบสวนโรคจากกองระบาดวิทยา และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 นครศรีธรรมราช ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต และ รพ.ในพื้นที่ดำเนินการสอบสวนโรคตั้งแต่วันที่ 27 – 30 ก.ย. 2565 ค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จนพบชาวเยอรมนี เป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 10 จากผลการตรวจ PCR ข้อมูลการสอบสวนพบว่าติดเชื้อผ่านการสัมผัสใกล้ชิด”อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี