“สหายแสง” มั่นใจแจงได้ปมป่าดงพะทาย ยันต่างกับคดี"เอ๋ ปารีณา"ทำกินมาก่อนเป็นผู้แทน เชื่อโดนดิสเครดิตจากฝ่ายตรงข้าม
วันที่ 3 ธันวาคม 2565 นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือสหายแสง หรือครูแก้ว ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เปิดเผยกรณีครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย ว่า ตนขอย้อนทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่ป่าดงพะทายในพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ และถูกกล่าวหาว่าไม่มีสิทธิ์เข้าไปครอบครอง เดิมที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ใช่พื้นที่ สปก. ไม่ใช่ป่าสงวน หรือที่ดินสาธารณประโยชน์ โดยเมื่อปี 2519 คณะกรรมการจัดสรรที่ดินแห่งชาติ ได้เข้ามาจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรเพื่อทำประโยชน์ พร้อมมอบหมายให้จังหวัดนครพนม และที่ดินจังหวัดนครพนมเข้าไปดูแล
ต่อมามีบางรายที่ไม่ทำตามเงื่อนไข ไม่ได้ทำกินตามสิทธิ์ บางรายทำตามเงื่อนไข จนสามารถออก นส.3 ได้แล้วบางส่วน สำหรับพื้นที่ของตน เริ่มเข้าไปทำประโยชน์ จากการเช่าปลูกมันสำปะหลัง ทำไร่อ้อยจากชาวบ้าน ตั้งแต่ปี 2529 ในช่วงที่มีตำแหน่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่ง และเป็นเกษตรกร มีการเช่าหลาย 100 ไร่ ทำการเกษตร ภายหลังชาวบ้านบางรายมีปัญหาทางการเงิน จึงมาขอขายสิทธิ์ให้ ตนรู้ว่าตามข้อกฎหมายไม่สามารถซื้อขายได้ แต่เพื่อความถูกต้อง ไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง จึงมีการเจรจาตกลงกับเกษตรกร ทั้งที่มีใบจับจอง รวมถึงมีการปล่อยให้บุคคลอื่นเข้ามาทำประโยชน์ และตกลงทำสัญญาว่าจะซื้อจะขาย และมีการจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย โดยตนมั่นใจว่าสามารถทำได้ เพราะเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ไม่ใช่ที่ดิน สปก. หรือสาธารณะตามกฎหมาย ในฐานะเป็นคนไทย ในฐานะเป็นเกษตรกร จึงเข้าไปทำประโยชน์การเกษตร
หลังตกลงซื้อขายใบจับจองกับชาวบ้าน มีเนื้อที่ประมาณกว่า 30 แปลง ประมาณ 200 ไร่ โดยมีการซื้อขายมาตั้งแต่ปี 2522 -2533 ต่อมาตนได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในปี 2544 สมัยแรก ไม่ได้มีการนำไปชี้แจงบัญชีทรัพย์สินกับ ป.ป.ช.ตามกฎหมาย เนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจว่าเป็นสิทธิ์ในการครอบครอง จากนั้น ในปี 2546 จึงมีการทำบ้านสวน ปลูกยางพาราในพื้นที่ จนกระทั่งในปี 2548 เป็น ส.ส.สมัยที่สอง สังกัดพรรคเพื่อไทย ได้มีทางเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่มาให้ความรู้ ในการชี้แจงบัญชีทรัพย์สิน จนกระทั่งมั่นใจว่า เป็นสิทธิ์ที่ตนครอบครอง จึงได้นำไปยื่นบัญชีทรัพย์สิน โดยแนบสัญญาว่าจะซื้อจะขายกับชาวบ้านที่ขายสิทธิ์ และหลักฐานการเข้าไปทำประโยชน์ ป้องกันปัญหาผิดกฎหมายเกี่ยวกับการปกปิดชี้แจงทรัพย์สินอันเป็นเท็จฯ”
ครูแก้ว หรือสหายแสง กล่าวอีกว่า จนกระทั่งต่อมา ในปี 2552 -2553 ตนย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทย และมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับประเด็นครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย และยื่นให้ ป.ป.ช.มีการตรวจสอบ ผ่านมา 10 ปี ยังไม่มีการพิจารณา และระบุว่ามีความผิด ที่สำคัญประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นมาอีกรอบ หลังตนปะทะคารมในสภากับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปรามปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร จึงถูกนำมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เนื่องจากตนเชื่อว่ามีนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นำมาเป็นประเด็นเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง กล่าวหาว่าตนไม่มีสิทธิ์ครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย พร้อมยื่นเอาผิดทางกฎหมายจริยธรรม
ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าจากปี 2532 จนถึง ปี 2562 ตนมารับตำแหน่ง ส.ส. สมัยแรกปี 2544 และปัจจุบันเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ก่อนนี้ที่มีการเข้าไปครอบครองทำกิน ไม่เคยใช้สิทธิ์ และไม่มีตำแหน่ง ทางการเมืองมาก่อน ตนถือว่าใช้สิทธิ์คนไทย เป็นเกษตรกรคนหนึ่ง เข้าไปทำประโยชน์ ตั้งแต่ก่อนเข้ามามีตำแหน่ง ส.ส.สมัยแรก ก่อนนี้เคยหารือกับทางที่ดินจังหวัดนครพนม เพื่อวางแนวทางในการดำเนินการขั้นตอน จำหน่ายคืนสภาพที่ดินดังกล่าว เพราะเป็นที่รกร้างว่างเปล่า และเข้าไปดำเนินการเดินสำรวจออกโฉนดตามกฎหมาย แต่ยังรอขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์หรือพิพาทเอาที่ดินของชาวบ้าน ตนได้มาครอบครองด้วยความบริสุทธิ์ ในเมื่อตนครองครองทำประโยชน์มาจริง และมีการได้สิทธิ์มาจากชาวบ้านที่ยินยอม จึงมั่นใจว่าเป็นสิทธิ์ของตนที่จะนำมาชี้แจงเป็นบัญชีทรัพย์สิน ไม่มีเจตนาปกปิด
"อย่าเอาผมไปเทียบกับ อดีต ส.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ที่เป็นการครอบครองที่ดิน สปก. แต่ของผมเป็นที่รกร้างว่างเปล่าที่สามารถเข้าทำประโยชน์ได้ตามกฎหมาย ถือว่าแตกต่างกัน และทำประโยชน์มานานกว่า 20 ปีแล้ว มาถึงวันนี้ถึงแม้จะถูกพิจารณาความผิดตามกฎหมายจริยธรรม มั่นใจว่าผมสามารถชี้แจงได้ และไม่มีความผิดตามกฎหมาย และมีการชี้แจงข้อเท็จจริงไปแล้ว ตามความเป็นจริงไม่มีปรุงแต่ง จึงไม่มีความหนักใจแต่อย่างใด ยืนยันไม่ได้เข้าไปครองครองบุกรุก หรือทำประโยชน์ในที่ดินรัฐ แต่เป็นที่ดินที่ตนสามารถเข้าไปทำประโยชน์ได้"ครูแก้ว กล่าว
-001