‘บัญญัติ’ฟันธงการเมืองปี’66แรง
เข้าส่‘ธนาธิปไตย’
ใช้เงิน‘แจกกล้วย-เห็บ-งูเห่า-ดูด’
หวั่นทุ่มเงินสูงมากแล้วถอนทุนคืน
‘อนุทิน’ชี้รัฐบาลหน้ามีเสถียรภาพ
ต้องได้เสียงผู้แทนฯเกิน251ที่นั่ง
‘พท.’แทงกั๊กดึง‘ก้าวไกล’ร่วมรบ.
‘ชวน’นัดวิป3ฝ่ายถกเร่งก.ม.สำคัญ
“ปธ.สภาฯชวน” นัดคุยวิป 3 ฝ่าย 4 มกราคมนี้ เคลียร์ร่างกฎหมายสำคัญก่อนสภาหมดวาระ มีความหมาย เตือนอย่าเหลิงว่าจะชนะแน่ ปชช.จับตาดูอยู่ “ปธ.วุฒิสภา” ชี้
สมาชิกสว. จะเลือก “บิ๊กตู่” หรือ “บิ๊กป้อม” นั่งแคนดิเดตนายกฯ เป็นเรื่องต่างคนต่างคิด ยึด “อนุทิน” ยัน “รัฐบาลหน้า”จะมี “เสถียรภาพ” ต้องคว้าสส.เกิน 251 คน เชื่อสว.ไม่กล้าโหวตนายกฯ สวนความต้องการปชช. “บัญญัติ” ฟันการเมืองไทยปี’66 แรง เข้าสู่ “ธนาธิปไตย” ใช้เงินสารพัด “แจกกล้วย-เห็บ-งูเห่า-ดูด”สูงมาก เป็นพิเศษ แล้วถอนทุนคืน เกิดสงคราม‘ไอโอ’ ช่วงชิงพื้นที่ในโซเชียลฯ แนะกกต.คุมเข้มเลือกตั้ง สร้างความเข้าใจปชช.ด้าน4พรรคเล็กดิ้นสู้ อยู่พรรคเดิม
เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2566 นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการทำงานของสภาฯ ในช่วงที่ผ่านมาว่า ไม่สามารถให้คะแนนการทำงานของสภาฯ ได้ เพราะต้องรอดูทิศทางและความพร้อมของแต่ละพรรคการเมืองอีกครั้ง ขณะนี้มีความชัดเจนเฉพาะว่าใครอยู่ที่ไหนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าอาจจะสั่งองค์ประชุมง่ายขึ้น โดยหัวหน้าพรรค หรือผู้บริหารพรรคใหม่สามารถขอสมาชิกที่จะไปสังกัดพรรคนั้นแต่ยังไม่ลาออกจาก ส.ส. ขอให้ทำงานให้ประชาชน ในเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก ทั้งนี้ ตนขอชม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่มาตอบกระทู้แยกเฉพาะเองเสมอ แต่ผู้ตั้งกระทู้ยังเป็นชุดเดิม และไม่ได้กระจายตัว สรุปโดยภาพรวมสมาชิกสามารถดูแลทุกข์สุขชาวบ้านอยู่ในเกณฑ์ดี
ขอความร่วมมือทุกฝ่ายทำหน้าที่ลุล่วง
นายชวน กล่าวว่า ส่วนการควบคุมเสียง ส.ส.ให้เข้าร่วมประชุมนั้น หัวหน้ารัฐบาลไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่ได้มีหัวหน้าพรรคที่เป็นผู้แทนฯ เช่นกัน จึงประสานผ่านทางรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งตัดสินบางเรื่องไม่ได้ ดังนั้นตนจึงเห็นใจวิปรัฐบาล และผู้ควบคุมเสียง ทั้งนี้ พยายามช่วยประสานขอความร่วมมือ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็เหนื่อย และเป็นสิทธิของสมาชิกที่จะกดองค์ประชุม เราจึงไปตำหนิไม่ได้ ทำได้แค่ขอความร่วมมือ โดยหลังปีใหม่ตนจะขอความร่วมมือทุกฝ่าย ใช้เวลาที่เหลืออยู่ของภาฯ ทำหน้าที่ให้ลุล่วงไปให้ได้
ชวนนัดหารือวิป3ฝ่าย4ม.ค.นี้
“การทำงานปี’66 อยู่ที่ความร่วมมือของสมาชิก ผมตั้งใจว่าหลังปีใหม่ หรือวันที่ 4 มกราคม จะเชิญวิป 3 ฝ่าย คือวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา มาหารือเพื่อเร่งรัดกฎหมายที่เลื่อนขึ้นมาพิจารณา 3 ฉบับ ช่วงก่อนสภาหมดวาระมีความหมาย เพราะประชาชนจับตาดูอยู่ ใครที่คิดว่าชนะแน่ๆ และชนะท่วมท้น สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนก็ได้ จึงต้องระมัดระวังจนนาทีสุดท้าย” ประธานสภาฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ที่ตะหารือนั้น ได้แก่ 1.ร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2.ร่าง พ.ร.บ.มาตรฐานวิชาชีพสื่อ และ3.ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้านเสนอ
ปธ.วุฒิชี้สว.เลือกนายกฯต่างคนต่างคิด
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีการโหวตเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีกระแส และการตั้งข้อเกตไปยังสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ที่แบ่งออกเป็น2ฝ่าย คือฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กับฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เตรียมเป็นแคนดิเดตนายกของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า เป็นธรรมดาของสังคมต่อวุฒิสภา คงจะบอกว่าทุกคนเหมือนกันหมดไม่ได้ต่างคนต่างมีความคิดความเห็น ตนเชื่อว่าส.ว.ย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันแน่นอน แต่ในความเห็นที่แตกต่างต้องไปดูว่าก่อนจะโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ ก็จะต้องมีความชัดเจนแล้วว่าจะโหวตให้ใคร มีน้อยคนที่จะแสดงความชัดเจนในขณะนี้ เพราะไม่อยากขัดแย้งกัน ยิ่งตนเป็นประธานวุฒิสภา ยิ่งบอกไม่ได้ว่าจะเลือกใคร พรรคไหนดี หรือถ้าคะแนนที่จะโหวตให้ไม่ถึง แล้วพรรคอื่นได้ จะสนับสนุนหรือไม่ โดยหลักการแล้ววุฒิสภามีหน้าที่ดูว่าประเทศชาติเราจะเดินหน้าได้อย่างไร
ผลโหวตไม่ต้องเป็นไปในทิศทางเดียว
เมื่อถามว่าการโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ ครั้งหน้าถือว่าสำคัญ เพราะก่อนหน้านี้ ส.ว.250คนไม่มีแตกแถวเลยในการโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯในครั้งหน้าหากมี 2 ป. แข่งกัน จะใช้หลักอย่างไรในการโหวตเลือก นายพรเพชร กล่าวว่า ในการโหวตแคนดิเดตนายกฯ ครั้งหน้า จากที่ตนได้ยินสมาชิกหารือกัน คงต้องดูก่อนว่า เมื่อเขาเลือกไปแล้วจะมีความมั่นคงในระบบรัฐสภาหรือไม่ ส.ว.ก็คงจะเลือกให้ระบบรัฐสภาที่มี 2 สภาฯอยู่ได้ตามกฎหมายที่กำหนดมา ถ้าเราเลือกไม่ดี ไม่ถูกต้อง ก็จะมีผลกระทบ ไม่ว่าส.ว. ส.ส. ทุกคนก็รักประเทศชาติ อยากให้ประชาธิปไตยเจริญก้าวหน้า แน่นอนว่าอาจมีบางคนที่เขาผูกพันกับความต้องการอย่างไรก็คงต้องยืนตามนั้น
“การโหวตนายกฯของ ส.ว.ในครั้งหน้า ผมคิดว่าไม่ต้องเป็นไปในทิศทางเดียว เสียงมันย่อมไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความคิดของคนบางคนก็คิดว่าจะสามารถทำให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ แต่ผมจะไปตอบแทนสมาชิกคนอื่นไม่ได้จริงๆ ผมไม่มั่นใจหรอก เดี๋ยวก็ไปพาดหัวข่าวว่าผมทำอย่างนู้นอย่างนี้ ไว้รอให้มีการเลือกตั้งเสร็จแล้ว ค่อยชี้อะไรได้บ้าง” ประธานวุฒิสภา กล่าว
ต้องคำนึงถึงการสร้างความมั่นคง
เมื่อถามย้ำว่าความมั่นคงในที่นี้คือจำนวนระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกฯได้ มีส่วนด้วยหรือไม่ ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า มีส่วน คนที่จะเป็นนายกฯได้ หากเขาอยู่ในพรรคการเมืองแล้วรวมเสียงได้250 เสียงเศษๆ แล้วมาได้เสียง ส.ว.สนับสนุนอีก มันก็ไม่มั่นคงเท่าไหร่ ส่วนจะทำให้เกิดความวุ่นวายหรือไม่นั้น ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องพิจารณา แต่ต้องดูว่าโครงสร้างของ ส.ส.ที่ฟอร์มรัฐบาลได้นั้น ส.ว.พอใจหรือไม่ ถึงตรงนั้นค่อยมาดูกัน อาจจะไม่วุ่นวายจนถึงขนาดมีม็อบออกมาก็ได้ แต่จะให้ดีจำนวนเสียงส.ส.ต้องเยอะถึงจะรวมกันกับ ส.ว. ซึ่ง ส.ว.คือไปช่วยสนับสนุนการเลือกตั้งใหม่ในครั้งที่จะถึงนี้แน่นอนว่าจะต้องฟอร์มรัฐบาลให้ได้เร็ว แล้วรัฐบาลต้องมั่นคง ส.ว.คงจะต้องมีบทบาท และต้องคำนึงว่าจะสร้างความมั่นคงได้อย่างไร ถ้าไม่มั่นคง ก็จะยุบสภากันอีก
เมื่อถามว่า2ปีสุดท้ายของพล.อ.ประยุทธ์ จะถือว่ามีความมั่นคงหรือไม่ นายพรเพชร กล่าวว่า เป็นเรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไปวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้ไม่ได้
เมื่อถามย้ำว่า 2 ปีกับ 4 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ตรงไหนจะดีกว่า นายพรเพชร กล่าวว่า ยังไม่มั่นใจว่าจะมี 2 ปีหรือ 4 ปีหรือไม่ เมื่อถามว่า ตัวเลือกแคนดิเดตนายกฯของแต่ละพรรคการเมืองบางคนก็ 2 ปี บางคนก็ 4 ปี การพิจารณาจึงเชื่อมโยงกับความมั่นคงของรัฐสภาด้วย นายพรเพชร กล่าวว่า ต้องรอดูการฟอร์มรัฐบาลของรัฐสภาก่อน ถึงจะตอบได้ วันนี้ยังด่วนพูดไม่ได้
เตือนหนุนฝ่ายการเมืองขัดรธน.
เมื่อถามว่า หากฝ่ายค้านในขณะนี้ จับขั้วกันตั้งเป็นรัฐบาลได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ส.ว.พร้อมจะเลือกแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือไม่ นายพรเพชร กล่าวว่า หากสมมติแล้วตนตอบไม่ได้จริงๆ เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายค้านที่มารวมกันเป็นอย่างไร ส่วนตัวตนจะดูลักษณะของการรวมตัวของพรรคนั้นๆต้องมีความมั่นคง เป็นพวกเดียวกันจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คงจะมาบอกว่าฝ่ายค้านปัจจุบันจะมาเป็นรัฐบาลในครั้งหน้าไม่ได้หรอก เพราะทุกฝ่ายก็พร้อมที่จะเป็นรัฐบาลทั้งนั้น
เมื่อถามว่าขณะนี้มีการนับเสียงรวม ส.ว.เข้าไปด้วยกับพรรคที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร เป็นเสียงสนับสนุน 375 เสียง นายพรเพชร กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ยินใครทำแบบนั้น ก็ว่ากันไป แต่ตนเชื่อว่ายังไม่มี คงต้องให้มีความชัดเจนกว่านี้ก่อน
เมื่อถามว่าหลังช่วงปีใหม่การหาเสียงและลงพื้นที่ของนักการเมืองจะเข้มข้นมากขึ้น และมี ส.ว.บางคนมีท่าทีสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนใคร จะส่งผลให้สังคมครหาเรื่องการทำหน้าที่เป็นกลางของ ส.ว.หรือไม่ นายพรเพชร กล่าวว่า ตนมองว่าถ้าเขาทำอย่างนี้ก็ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นอันตรายต่อตัวเขาเองที่อาจจะถูกดำเนินการในทางกฎหมาย ถึงขั้นพ้นจากตำแหน่ง
‘อนุทิน’ชี้รบ.หน้าต้องคว้าสส.เกิน251
ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงเสถียรภาพรัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้งปีหน้าควรเป็นอย่างไรในขณะที่ ส.ว.ยังมีส่วนในการเลือกตั้งนายกฯอยู่ว่า แม้ ส.ว.ยังมีส่วนในช่วงขั้นตอนเลือกนายกรัฐมนตรีหากได้นายกฯ มา แล้ว หลังจากนั้นการดำเนินการใดๆ ในสภาฯ จะเป็นเรื่องของรัฐบาล โดยตัว นายกฯ กับ สภาผู้แทนราษฎร
“สิ่งสำคัญคือหลักการนั้นจะอยู่กับจำนวนส.ส. ที่แต่ละพรรคการเมืองรวบรวมได้ว่าจะเกินกึ่งหนึ่ง หรือจำนวน251เสียงจาก 500 เสียงได้หรือไม่ ซึ่งเราต้องเชื่อการตัดสินใจของประชาชน ต้องให้เกียรติประชาชนเป็นสำคัญ และมองว่าในระบอบประชาธิปไตย มันก็เป็นหลักการที่แฟร์ๆกับประชาธิปไตยรัฐบาลต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งถึงจะเป็นรัฐบาล และทำงานได้และมั่นคงเพราะถ้าไม่เกินกึ่งหนึ่ง เมื่อเปิดสภาแถลงนโยบายหรือหากมีการออกกฎหมายสำคัญ”นายอนุทิน ย้ำ
และระบุว่าเมื่อดูแล้วในรัฐบาลชุดหน้าอาจจะมีกฎหมายสำคัญ กฎหมายการเงินเช่น ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี เข้าสู่การพิจารณาก็ได้ในช่วงเดือน ส.ค.–ก.ย. ปีหน้า ถ้ารัฐบาลมีเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่งก็อาจจะจอดตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ไม่ต้องรอไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เชื่อสว.ไม่กล้าโหวตสวนเสียงปชช.
“ผมมั่นใจว่าส.ว.ก็ต้องมีกระบวนการความคิดว่าเขาจะสนับสนุนใครเป็นนายกฯ ถ้าความต้องการของประชาชนอย่างชัดเจน เขาคงต้องทำตามความต้องการของประชาชน นี่เป็นหลักที่คนที่เป็นนักการเมืองหรือเกี่ยวข้องกับงานการเมืองต้องยึดถืออยู่แล้ว”นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทินกล่าวด้วยว่ายกตัวอย่างในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งปี 2562 ท่านนายกฯ เข้ามาด้วยเสียง 253 เสียง ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตามท่านมีความชอบธรรม เพราะท่านได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่ง และรัฐบาลก็อยู่มาได้จนครบสมัย แต่รัฐบาลก็ต้องมีความสามารถในการบริหารบ้านเมืองด้วยจนอยู่พ้นมาได้เกือบ 4 ปีแล้ว
‘บัญญัติ’ฟันการเมืองไทยปี’66แรง
ด้านนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงสถาณการณ์การเมืองในปี 2566 ว่า การเมืองปีหน้า เด่นอยู่ 2 ด้าน 1.ด้านความเป็นธนาธิปไตย คือการใช้เงินเพื่อการเมืองในการเลือกตั้งปี 2566 จะสูงมากเป็นพิเศษ ซึ่งมีลักษณะเด่นเราก็เห็นมากขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ช่วงปี 2 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการแจกกล้วยในสภา ทั้งเรื่องเห็บ งูเห่า การดูด รวมถึงการพูดถึงค่าตัวส.ส. 30-40 ล้านบาท แสดงให้ว่ามีการใช้เงินเพื่อการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ
“นักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่เริ่มมีความรู้สึกตามคำพังเพย”กระแสหรือจะสู้กระสุน แม้แต่การสร้างกระแสก็ต้องใช้กระสุน” คือการทำการตลาดอย่างทุ่มเทมากขึ้นซึ่งตรงนี้อันตราย เพราะเมื่อมีการใช้เงินทางการเมืองมากเสมือนการลงทุน การถอนทุน ก็ย่อมจะเกิด เมื่อถอนทุนแล้วไม่พอต้องเตรียมทุนไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปอีก เมื่อถอนทุนก็ทำได้ เตรียมทุนไว้ก็ทำได้ จึงเกิดความรู้สึกเมามัน อาศัยอำนาจทางการเมืองที่สามารถเอื้ออำนวยผลประโยชน์ให้กับตนหรือพรรคพวกก็มีการทำธุรกิจการเมือง หรือธนกิจการเมืองตามมา อาศัยความได้เปรียบคู่แข่งขันที่เข้าไม่ถึงศูนย์กลางแห่งอำนาจ แล้วที่ร้ายไปกว่านั้นคือเมื่อเข้าไปศูนย์กลางอำนาจได้ การเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐจะเกิดขึ้น
ใช้เงินสร้าง‘ไอโอ’ชิงได้เปรียบ
นอกจากนี้ ยังมีการใช้เงินเพื่อสร้างเครือข่ายไอโอ ช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบในโลกโซเชียล ที่น่ากลัวที่สุดคือการใช้เงินสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ อาจจะเป็นเพราะเข้าใจว่าในช่วงระยะเวลา2-3ปีที่ผ่านมาภายใต้สถานการณ์โควิด-19 คนในสังคมไทยระดับพอมีพอกิน เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น
“ก็เลยคิดกันเอาเองว่าเครือข่ายอุปถัมภ์จะมีน้ำหนักมากพอในการช่วงชิงการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง มีการฟื้นฟูระบบบ้านใหญ่ วัฒนธรรมบ้านใหญ่ ซึ่งห่างหายไปแล้วระยะหนึ่งและฟื้นคืนกลับมา และที่น่ากังวลอีกคือการจับมือกับผู้บริหารท้องถิ่นในบางที่ สร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ในท้องถิ่นนั้นๆ” นายบัญญัติ กล่าว
และว่าขณะเดียวกัน ยังมีอีก 2 ลักษณะ คือ 1.สามารถสนับสนุนส่งเสริมให้มีการตั้งงบประมานตามโครงการต่างๆ ที่มากเกินจำเป็นที่เรียกว่า สร้างงานให้ผู้รับเหมา ไม่ใช่สร้างเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน 2. การเบียดบังผลประโยชน์รัฐ คือการกำหนดเงื่อนไขให้รัฐต้องชดเชยเงินจำนวนมากในการดำเนินการตามโครงการเพื่อประโยชน์สาธารณะ เรื่องเหล่านี้คือกระบวนการที่ตามมา ถ้าการเมืองใช้เงินมาก ใช้เงินซื้อเสียง แล้วถ้าเราจะช่วยทำให้ประชาชนเห็นพิษภัยของการซื้อสิทธิ์ขายเสียงตั้งแต่ต้นมือ โดยเฉพาะถ้าเราสามารถทำให้ประชาชนเข้าใจว่า เงินของรัฐที่ถูกเบียดบังไปทั้ง 2 ลักษณะมีจำนวนแต่ละปีมหาศาล นั่นคือภาษีประชาชน
“ถ้าเราช่วยกันป้องกันการเมืองในลักษณะการลงทุนไม่ให้ประสบผลสำเร็จ รัฐก็จะเหลือเงินไม่ถูกเบียดบังนำมาทำประโยชน์ให้ประชาชนได้มากมาย นี่คือภาพของธนาธิปไตย ที่กำลังจะรุนแรงมากขึ้น และพิษภัยที่พอจะมองเห็นและน่าจะเข้าใจได้ว่า ปี 2566 จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นจนถึงการเลือกตั้ง” นายบัญญัติ กล่าว
แบ่งฝักแบ่งฝ่ายรุนแรงมากขึ้น
นายบัญญัติ กล่าวอีกว่า ลักษณะเด่นที่ 2 ของการเมืองในปี 2566 คือสภาพความขัดแย้งแบ่งฝ่ายรุนแรงมากขึ้น ซึ่งความจริงขณะนี้รุนแรงอยู่แล้ว สะท้อนออกมาคือการด้อยค่ากันเองจนเกินเหตุผล ระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญติ หรือพรรคการเมือง ความจริงการวิพากษ์วิจารณ์หรือการตรวจสอบการถ่วงดุล เป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่ถ้าเราตรวจสอบถ่วงดุล ในลักษณะที่เราด้อยค่าจนเกินความเป็นจริงเกินเหตุผล ต่างฝ่ายต่างก็ทำกันมากขึ้น วันหนึ่งประชาชนจะรู้สึกว่าดูไม่มีใครดีเลย ซึ่งจะทำให้เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย และการทำการเมืองแบบแบ่งฝ่าย เช่นการแบ่งฝ่ายทางความคิด เศรษฐกิจ สังคม การเมือง อนุรักษ์นิยม เสรีนิยม สังคมนิยม เป็นเรื่องธรรมดา แต่การแบ่งฝ่ายที่รู้สึกจะนำได้สู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงของสังคมไทย คือ การแบ่งเป็นพวกเขาพวกเรา ถ้าเป็นพวกเราถูกหมด ถ้าเป็นพวกเขาผิดหมด มันจะนำไปสู่อันตราย ท้ายที่สุดประชาชนที่จะเข้าร่วมกระบวนการแบ่งฝ่ายด้วย จะไม่ได้ตัดสินปัญหาที่เหตุที่ผลความถูกและความผิด แต่ตัดสินว่าเป็นพวกเขาหรือพวกเรา คือกระบวนการปลูกความชิงชัง ให้เกิดขึ้นกับคู่แข่งขัน ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งจะก่อให้เกิดความรุนแรงทางสังคมเกิดการเผชิญหน้ากันได้
เตือนอาจเกิดความรุนแรงช่วงเลือกตั้ง
“หลักการของประชาธิปไตย ที่ว่าประชาธิปไตยดีเพราะการเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธีก็เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยการเผชิญหน้าในระหว่างกัน เกิดความรุนแรงเข้าหากัน ผมว่าปี 2566 ก็จะมีปรากฎการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะใกล้เลือกตั้งเข้าไปทุกที ถ้ารัฐมีอำนาจหรือผู้เกี่ยวข้องเองไม่ได้ตระหนักในอันตรายเหล่านี้ ความรุนแรงที่น่ากังวลอาจจะเกิดขึ้น เวลาเลือกตั้ง หรือหลังเลือกตั้งได้” นายบัญญัติ กล่าว
นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในปีพ.ศ.2500 สมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม ที่มีการใช้เงินทองอำนาจรัฐใช้อิทธิพล และมีข้าราชการบางหน่วยบางสังกัดคอยเดินเวียนเทียนลงคะแนนแทนคนที่ไม่มาลง และยังมีบัตรสำรองที่ลงคะแนนแล้วอยู่ก้นหีบ สิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ และองค์กรที่ต้องตระหนักถึงอันตรายคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และหากกกต.ล้มเหลวจะทำให้เหตุการรุนแรงไปกันใหญ่ เพราะการเลือกตั้งสกปรกไม่สุจริตที่เกิดขึ้นสมัยจอมพลป. มีการชุมนุมเรียกร้องในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้ตนคิดว่า ถ้าการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่เรียบร้อย มีการกล่าวหาว่าเลือกตั้งสกปรก การชุมนุมเรียกร้องอย่างน้อยที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดที่เป็นเมืองของมหาวิทยาลัยและในทุกภาคของประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ชี้ช่องหรือชี้โพรงให้กระรอกแต่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเมื่อสถานการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้น
แนะกกต.ลงพื้นที่ให้ความรู้ปชช.
“กกต. ชต้องคิดอ่านเดินหน้าลงสู่ชนบทได้แล้ว อาจจะต้องไปจับมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฎทั่วประเทศ เพื่อเดินหน้าตามโครงการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ในความสำคัญของการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ให้ประชาชนได้เกิดความรู้สึกตระหนักในความเป็นพลเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตยและสำคัญที่สุด ให้ประชาชนตระหนักในพิษภัยของการเมืองที่ใช้เงินว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา ตรงนี้สำคัญมาก โครงการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในกรุงเทพของ กกต.ไม่ว่าจะเป็นโครงการให้ความรู้ความเข้าใจ การเมืองการเลือกตั้งต่อบุคคลที่พรรคการเมืองส่งไปหรือต่อบุคคลภายนอกควรจะเบาๆลง และเอาแรงไปเดินสู่ชนบทจะเป็นประโยชน์มากกว่า โครงการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในการเมืองการเลือกตั้งต่อบุคคลภายนอกดูจะถูกครหานินทาอยู่เสมอว่าไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรเพราะผู้ที่เข้ารับการอบรมก็ไม่ได้นำความรู้ความเข้าใจนี่ไปใช้เพื่อประชาธิปไตยสักเท่าไหร่ แต่กลายเป็นศูนย์กลางของการสร้างคอนเนคชั่น แต่โอเคถ้ามีกำลังเหลือก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ในขณะที่ปัญหาที่เผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่ตรงนี้ ปัญหาใหญ่คือต้องช่วยให้การเลือกตั้งบริสุทธ์ิยุติธรรม โดยลดการซื้อสิทธิ์ขายเสียงอย่างไร เพื่อไม่ให้ความเสียหายเกิดขึ้นได้ภายหลัง” นายบัญญัติ กล่าว
เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยประกาศพร้อมจับทุกขั้วจัดตั้งรัฐบาลจะเกิดปัญหาตามหรือไม่ นายบัญญัติกล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเดินหน้าทางการเมืองอย่างไร แต่ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนเช่นกันว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่สำหรับคนอย่างพวกเราๆ ที่ทำการเมืองมานานเราก็จะดู 2 ส่วนด้วยกัน คือ1.การเลือกตั้งได้สะท้อนเจตจำนงของเราออกมาในลักษณะเช่นไร ประชาชนคิดอย่างไรสนใจแนวคิดไหนที่จะไปร่วมกันได้หรือไม่ และ2.การจะไปร่วมกับใครอย่างไรจะทำประโยชน์ตามนโยบายที่ได้บอกกล่าวไว้ตอนรณรงค์หาเสียงไว้ว่าทำได้จริงหรือไม่
พท.แทงกั๊กดึง’ก้าวไกล’ร่วมรบ.
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุว่าหากพรรค พท. จัดตั้งรัฐบาลโดยรวมกับพรรคการเมืองอื่นแล้วก็จะทิ้งพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านว่า ตอนนี้พรรค พท. กำลังทำหน้าที่แต่ละเขตอย่างเต็มที่เต็มความสามารถเพื่อที่จะแลนด์สไลด์ ส่วนหลังการเลือกตั้งค่อยว่ากันอีกครั้ง เราก็อยู่ฝั่งประชาธิปไตยด้วยกันมันคุยกันง่ายอยู่ วันนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งเสียก่อน เชื่อว่าฝั่งประชาธิปไตยต้องสู้ไปด้วยกัน ไม่ได้อยู่ว่าใครทิ้งใคร มันอยู่ที่ตัวเลขเป็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปที่จะพูดถึง
รับลงลุยหนักมุ่งแลนด์สไลด์
“หากพรรค พท.ได้แลนด์สไลด์จริงๆก็ไม่อาจจะร่วมกับพรรคการเมืองไหนก็ได้ อันนี้เรื่องเป็นเรื่องของอนาคต ฉะนั้น การเลือกตั้งยังไม่เกิดคงไปตัดสินใจอะไรไม่ได้ ฝนยังไม่ตกอย่าเพิ่งกางร่มเลย เดี๋ยวมันจะยุ่ง”นายสมคิด ย้ำ พร้อมยังยอมรับว่าพท.มีเป้าหมายแลนด์สไลด์เพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โดยเราทำงานหนักทุกเขต ทั้งขึ้นป้ายหาเสียงและประชาสัมพันธ์ เรื่องอื่นเรายังไม่ได้คิดยังไม่ได้สรุปอะไรกันเลย
4พรรคเล็กยังสู้ในนามพรรคเดิม
นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ (พธม.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพรรคเล็กว่ามีความชัดเจนทางการเมืองแล้วหรือไม่ว่า ตอนนี้กลุ่มของตนรวบรวมกลุ่มพรรคเล็กที่ยืนยันจะสู้ต่อในนามพรรคเดิมของตนเอง ประกอบด้วย นายปรีดา บุญเพลิง ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน, นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย, นายสุรทิน พิจารณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งหลังเทศกาลปีใหม่ต้องรอดูว่าจะเหลือกี่พรรคที่จะยุบพรรค หรือย้ายไปอยู่พรรคใหญ่
เมื่อถามว่าแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ จะประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็จะไม่เปลี่ยนใจใช่หรือไม่ นพ.ระวีกล่าวว่า ตนไม่เปลี่ยนใจ เราคิดว่าอยู่พรรคเดิมสู้ได้
‘เสี่ยติ่ง’ยังไม่สรุปส่งลูกไปพรรคไหน
ด้าน นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ หัวหน้าพรรคพลเมืองไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ เพราะยังไม่มีความชัดเจนในหลายอย่าง และยังไม่ได้ตัดสินใจ ขอดูเหตุการณ์อีกนิด ส่วน น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลเมืองไทย ลูกสาว ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่พรรคไหน เพราะยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็จะต้องตัดสินใจในเร็วๆ นี้
“ในการตัดสินใจ จะต้องดูลูกสาวเป็นหลักว่า ลงแล้วมีโอกาสได้หรือไม่ เพราะการเลือกตั้งรอบหน้า จะต้องลงสมัคร ส.ส.เขต ซึ่งที่มองไว้อาจจะเป็นในพื้นที่ กทม. ฝั่งธนบุรี ซึ่งมีหลายพรรคที่เชิญชวนเราเข้าไปร่วม ทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน พรรคใหม่และพรรคเก่า”นายสัมพันธ์ย้ำ
‘พีระวิทย์’ดันน้องเข้า สอท.
ขณะที่ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทรักธรรม กล่าวว่า แม้จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี แต่ก็จะส่งน้องชายลงสมัคร ส.ส.เขต จ.สระบุรี โดยจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ซึ่ง นายดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย, นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็จะย้ายไปอยู่พรรค สอท.ด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวในช่วงหลังปีใหม่ ส่วนพรรคเล็กอื่นๆ ถ้าเขาจะยังอยู่ที่เดิมเราก็คงจะต้องปล่อยเขาไป
‘สนธิรัตน์’ร่วมคุยการเมือง‘กูเซ็ง’
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์ข้อความ ระบุว่า “มีความยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานแต่งงานลูกสาว ส.ส.วัชระ ยาวอหะซัน เป็นงานแต่งงานที่อบอุ่นท่ามกลางพี่น้องชาวมุสลิม ที่เปรียบเสมือนเพื่อนและญาติมิตรมากมาย ของตระกูลยาวอหะซัน และขอแสดงความยินดีกับครอบครัวยาวอหะซันในงานแต่งครั้งนี้”
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ภายในงานได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนทางการเมืองกับ นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นราธิวาส พร้อมทีม สจ. และแกนนำในพื้นที่ ที่ร่วมพูดคุยต้อนรับกันอย่างอบอุ่น นราธิวาสเป็นพื้นที่ที่ทางพรรคสร้างอนาคตไทยได้รับ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการดำเนินงานทางการเมืองร่วมกัน และพร้อมส่งผู้สมัครทั้ง 4 เขตจาก 5 เขตในจังหวัดนราธิวาส ยกเว้นเขตของความเป็นพี่เป็นน้องของ ส.ส.กูเฮง ที่มาร่วมงานในฐานะอาของเจ้าสาว ซึ่งก็ได้พบปะอย่างอบอุ่น ถึงจะอยู่ต่างพรรค แต่เป็นไมตรีจิตที่มีต่อกันด้วยความซาบซึ้งยิ่งครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี