วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” เนื้อหาดังนี้ พลเอกประยุทธ์มั่นใจในเศรษฐกิจไทย จากนโยบายที่ช่วยคนรวยมากกว่าคนจน
พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวว่า มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว การเงินการคลังมีเสถียรภาพ จากการจัดเก็บรายได้รัฐบาลเกินเป้า และตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก
ความมั่นใจของพลเอกประยุทธ์ อ้างอิงกระทรวงการคลังเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 รายได้สุทธิ 836,643 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 91,339 ล้านบาท และอ้างอิงตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศเดือนมกราคม ปี 2566 อยู่ที่ 225,486.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม ปี 2565 ซึ่งมีอยู่ที่ 216,632.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผมตั้งข้อสังเกตว่า การดูตัวเลขรายได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ นั้น เป็นเพียงมิติเดียว
แต่ในมิติหนี้สาธารณะ รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ได้กู้เพิ่มหนี้สาธารณะเพื่อนำมาอุดหนุนให้ประชาชนอุปโภคบริโภคอันเป็นการเพิ่มภาระหนี้แก่ประเทศ แต่ไม่ได้เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพียงแต่เพิ่มความพึงพอใจจากการอุปโภคบริโภค ซึ่งได้ผลกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงรอบเดียว แต่ไม่ยั่งยืนปัญหาหนี้สาธารณะดังกล่าว ยังไม่แสดงผลในตัวเลขงบประมาณปี 2566 ทั้งนี้ ผู้ที่ติดตามตัวเลขงบประมาณ อาจจะยังไม่เห็นชัดเจนว่า โครงการกระตุ้นอุปโภคบริโภค ตัวอย่างเช่น ช็อปดีมีคืน ใช้วิธีไฟแนนซ์ด้วยการกู้หนี้สาธารณะ
หลักฐานว่า โครงการกระตุ้นอุปโภคบริโภค ใช้วิธีไฟแนนซ์ด้วยการกู้หนี้สาธารณะ ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ แต่ต้องดูจุดเริ่มต้นว่า งบประมาณปี 2566 เป็นงบที่ขาดดุลเกือบ 7 แสนล้านบาทอยู่แล้ว ดังนั้น โครงการที่มีผลเป็นการลดรายได้ของรัฐ ไม่ว่าจะอยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ แต่ก็จะเป็นการใช้วิธีไฟแนนซ์ด้วยการกู้หนี้สาธารณะมาเพื่อรองรับการลดรายได้ดังกล่าวโครงการตัวอย่างเช่น ช็อปดีมีคืน จึงมีผลเป็นการกู้หนี้สาธารณะมาเพื่อสนับสนุนการอุปโภคบริโภคอย่างแน่ชัด
นอกจากนี้ ยังมีมิติเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม หลักฐานว่าคนรวยได้รับประโยชน์มากกว่าคนจน คนรวยได้ประโยชน์จากโครงการอย่างเช่น ช็อปดีมีคืน มากกว่าคนจน อธิบายได้ด้วยตัวอย่างดังนี้ นาย ก. มีเงินได้สุทธิเกินกว่า 5 ล้านบาทต่อปี จะต้องเสียภาษีสำหรับรายได้ บันไดขั้นสูงสุด 35% นาย ก. ใช้สิทธิ์ ช็อปดีมีคืน 30,000 บาท นำไปลดรายได้ที่จะคำนวนเพื่อเสียภาษี ในการลดรายได้นั้น ทุกคนจะประหยัดภาษีในบันไดขั้นสูงสุด กรณีนี้คือ 35% คิดเป็นเงิน 10,500 บาท
นาย ข. มีเงินได้สุทธิ 2 แสนบาทต่อปี จะต้องเสียภาษีสำหรับรายได้ บันไดขั้นสูงสุด 5% นาย ข. ใช้สิทธิ์ ช็อปดีมีคืน 30,000 บาท ก็จะประหยัดภาษี ในบันไดขั้นสูงสุดด้วยเช่นกัน กรณีนี้คือ 5% คิดเป็นเงิน 1,500 บาท สรุปแล้ว โครงการนี้ ที่ไฟแนนซ์ด้วยหนี้สาธารณะ นาย ก. ได้รับเงินคืน 10,500 บาท ส่วน นาย ข. ได้ 1,500 บาท (ทั้งสองคนมีภาระต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในจำนวนเท่ากัน)
นี่เอง ที่นโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เน้นให้ประโยชน์แก่คนรวยมากกว่าคนจน ตัวอย่างพิสูจน์ได้ชัดเจน แทนที่จะทำโครงการที่แจกทั้งคนรวยและคนจน ถ้าใช้เงินจำนวนเท่ากัน แต่แจกเฉพาะคนจน กลับจะดีกว่าในทางความยุติธรรมของสังคม อนึ่ง ทุนสำรองของประเทศที่เพิ่มขึ้น หรือที่มีมาก ก็ไม่ได้แสดงผลงานของรัฐบาล แต่เกิดจากกระบวนการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสำคัญ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี