วันอังคาร ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
อ่านโดยพลัน!TDRIชำแหละนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง66 ขายฝัน-หวังผลแค่เฉพาะหน้า

อ่านโดยพลัน!TDRIชำแหละนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง66 ขายฝัน-หวังผลแค่เฉพาะหน้า

วันอังคาร ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 19.43 น.
Tag : เลือกตั้ง เลือกตั้ง66 จับชีพจรเลือกตั้ง การเมือง ยุบสภา ทีดีอาร์ไอ นโยบายหาเสียง
  •  

อ่านโดยพลัน!TDRIชำแหละนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง66 ขายฝัน-หวังผลแค่เฉพาะหน้า

28 กุมภาพันธ์ 2566 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทความ “ข้อสังเกตและข้อห่วงใยต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคม ของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566” เนื้อหาดังนี้...


การเลือกตั้งที่จะเกิดในปี 2566 นี้ถือเป็นการเลือกตั้งในช่วงของการเปลี่ยนผ่านเพราะจะเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งวุฒิสมาชิกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนสามารถลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีได้  การเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีความสำคัญในแง่ของการเตรียมการกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ และจะเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ประชาธิปไตยลงรากปักฐานในประเทศไทยได้อย่างมั่นคง

ในขณะนี้ แม้จะยังไม่มีการประกาศยุบสภา เราก็ได้เห็นการแข่งขันทางนโยบายของพรรคการเมืองอย่างเข้มข้นแล้ว โดยพรรคการเมืองต่างๆ ได้ประกาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาเสียงจากประชาชนเกือบทุกกลุ่ม ทั้งนโยบายให้สวัสดิการ เงินอุดหนุน สร้างงานและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ  ตารางที่ 1 แสดงนโยบายของพรรคการเมืองจำนวน 9 พรรค รวม 87 นโยบาย เฉพาะที่มีรายละเอียดที่ชัดเจนเพียงพอ ณ วันที่ 20 ก.พ. 2566 

ในฐานะสถาบันทางวิชาการอิสระ ทีมวิจัยของทีดีอาร์ไอมีข้อสังเกตตลอดจนข้อห่วงใยหลายประการต่อนโยบายของพรรคการเมือง

ข้อห่วงใยที่สำคัญที่สุด คือ แม้นโยบายหลายอย่างที่พรรคการเมืองประกาศออกมาเป็นนโยบายที่มีจุดประสงค์ดีที่มุ่งแก้ไขความเดือดร้อน และปัญหาของประชาชนกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางก็ตาม แต่ก็ยังมีหลายนโยบายที่น่าจะสร้างปัญหาให้แก่ประเทศในระยะยาว ด้วยเหตุผลหลายประการ คือ

หนึ่ง สร้างภาระทางการคลังจากการใช้งบประมาณมากเกินตัว

สอง มีแนวโน้มว่าจะใช้เงินนอกงบประมาณผ่านรัฐวิสาหกิจต่างๆ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งทำให้การใช้เงินดังกล่าวไม่ผ่านกระบวนการงบประมาณและทำให้รัฐสภาในฐานะผู้แทนของประชาชนไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือ

สาม สร้างบรรทัดฐานหรือวัฒนธรรมซึ่งทำลายวินัยของประชาชนในการชำระเงินกู้ เช่น นโยบายที่จะยกเว้นหรือลดหนี้เงินกู้ต่างๆ โดยไม่สมเหตุผล หรือลดบทบาทของเครดิตบูโร

ทีมวิจัยประมาณการพบว่ามีอย่างน้อย 2 พรรคการเมืองที่น่าจะต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี เพื่อดำเนินนโยบายที่ประกาศไว้ และหากรวมต้นทุนด้านการคลังของนโยบายของทั้ง 9 พรรคการเมือง (โดยไม่นับนโยบายที่ซ้ำกัน) ก็จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นทั้งหมด 3.14 ล้านบาทต่อปี (ตารางที่ 2) หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากงบประมาณรายจ่ายสำหรับปี 2566  ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมนโยบายของบางพรรคการเมืองที่มีข่าวว่าจะทยอยประกาศออกมา “เกทับ” นโยบายของพรรคการเมืองอื่นที่ประกาศมาก่อน เช่น นโยบายลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขนานใหญ่

ข้อสังเกตคือ พรรคการเมืองส่วนใหญ่ที่ประกาศนโยบายต่างๆ ออกมายังไม่ได้ระบุว่าจะหางบประมาณมาจากแหล่งใด เช่น จะมีการเก็บภาษีใดเพิ่มขึ้นหรือจะตัดลดงบประมาณที่มีอยู่ในปัจจุบันในด้านใดลง (ยกเว้นพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งเสนอที่จะลดขนาดกองทัพ ในขณะที่อีกพรรคการเมืองหนึ่งอ้างว่ารัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง) กล่าวอีกนัยหนึ่ง พรรคการเมืองต่างๆ ได้ประกาศนโยบายเพื่อหาเสียงกับประชาชนโดยเสนอให้สวัสดิการและความช่วยเหลือต่างๆ เสมือนนโยบายดังกล่าวไม่มีต้นทุนทางการคลังใดๆ เลย

ข้อห่วงใยประการที่สอง นโยบายจำนวนมากที่ประกาศออกมาส่วนใหญ่เน้นแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้าของประชาชน โดยไม่ได้เพิ่มขีดความสามารถของประเทศอย่างแท้จริงในระยะยาว กล่าวคือ ไม่ช่วยทำให้แรงงานมีทักษะที่สูงขึ้น ภาคธุรกิจตลอดจนภาคเกษตรมีผลิตภาพที่สูงขึ้น สามารถอยู่รอดในการแข่งขัน และภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อห่วงใยประการที่สาม หลายนโยบายที่ประกาศออกมาอาจไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง เนื่องจากจะต้องแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่จำนวนมาก โดยยังไม่ปรากฏว่าพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายดังกล่าวได้ศึกษาอย่างเป็นระบบถึงแนวทางในการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ตลอดจนต้นทุนและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเลย  

ข้อห่วงใยทั้งสามประการข้างต้นนำมาสู่ข้อห่วงใยประการที่สี่คือ หากพรรคการเมืองยังแข่งขันกันหาเสียงเพื่อหวังเอาชนะกันเช่นนี้ ก็จะทำให้เกิดสภาพ “ปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก” (dilemma) คือ หากรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเป็นรัฐบาลผสม นำเอานโยบายของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลมาประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อปฏิบัติแล้ว ประเทศไทยก็น่าจะประสบปัญหาทางการคลังอย่างมากจนอาจเกิดวิกฤติ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงต้นรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หรือหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในลาตินอเมริกา

เนื่องจากจะเพิ่มหนี้สาธารณะของไทยที่อยู่ในระดับร้อยละ 61 ของ GDP ในปัจจุบันให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้จะไม่เกิดวิกฤติทางการคลัง ก็อาจทำให้เกิดปัญหาความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ดังที่หน่วยงานจัดอันดับเครดิต (credit rating agency) ต่างๆ เริ่มแสดงความวิตกกังวลกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาที่มีความอ่อนไหวตามมา ดังตัวอย่างของอังกฤษซึ่งประสบปัญหาความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเมื่อปีที่แล้วจนนายกรัฐมนตรีต้องลาออก เนื่องจากตลาดการเงินเห็นว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายการคลังอย่างไม่รับผิดชอบ

ในทางตรงกันข้าม หากรัฐบาลใหม่ไม่นำเอานโยบายสำคัญของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลไปเป็นนโยบายของรัฐบาลแล้ว ประชาชนก็จะเสื่อมศรัทธาต่อการเมืองในประชาธิปไตยเนื่องจากเกิดความรู้สึกว่าถูกนักการเมืองหลอก ซึ่งจะมีผลทำให้การลงรากปักฐานของประชาธิปไตยในประเทศไทยเป็นไปได้ยากขึ้น

จากข้อวิตกกังวลดังกล่าว เราจึงมีข้อเสนอดังต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง เราอยากเห็นพรรคการเมืองทบทวนนโยบายต่างๆ ที่ประกาศออกมาอีกครั้งหนึ่งว่ามีความเป็นไปได้จริงทั้งในทางการคลังและทางกฎหมายเพียงใด และปรับปรุงให้มีความเหมาะสมมากขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง

ประการที่สอง เราอยากเห็นการปฏิรูปกติกาในการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะกติกาที่เป็นอยู่ทำให้เกิดการแข่งขันนโยบายที่เสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อประเทศดังที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งนี้ในปัจจุบัน มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับที่พยายามป้องกันการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลคือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อย่างไรก็ตามกฎหมายทั้งสองฉบับก็ยังไม่มีประสิทธิผล เนื่องจากมีจุดอ่อนที่สำคัญ

พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดในมาตรา 57 ให้พรรคการเมืองที่ประกาศโฆษณานโยบายที่ต้องใช้เงิน จะต้องนำเสนอข้อมูล 3 รายการคือ วงเงินที่ต้องใช้และที่มาของวงเงิน ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย และผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย อย่างไรก็ตามกฎหมายกำหนดบทลงโทษไว้เบามาก โดยในกรณีที่พรรคการเมืองไม่จัดทำข้อมูลดังกล่าว กกต. มีเพียงอำนาจสั่งให้จัดทำให้ถูกต้องเท่านั้น และหากพรรคการเมืองยังฝ่าฝืนก็จะเสียค่าปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และอีก 1 หมื่นบาทต่อวันจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง  นอกจากนี้ ยังไม่เคยปรากฏว่า กกต. ได้เคยจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบายของพรรคการเมืองเปิดเผยต่อสาธารณะแต่อย่างใด ซึ่งทำให้เกิดคำถามต่อขีดความสามารถของ กกต. ในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว 

ส่วน พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ ถูกออกแบบมาเป็นเครื่องมือควบคุมระบบงบประมาณรายจ่ายและการก่อหนี้สาธารณะ อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวก็มีช่องว่างสำคัญคือ ให้ความหมายของ “เงินนอกงบประมาณ” โดยไม่ครอบคลุมการใช้จ่ายเงินของรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่ดำเนินงานตามนโยบายรัฐ ซึ่งหมายความว่า หากรัฐบาลกำหนดให้สถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือธนาคารออมสิน ใช้เงินของตนเข้าแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล การดำเนินการดังกล่าวก็จะไม่ถูกควบคุมโดยกฎหมายนี้ ซึ่งมีผลทำให้รัฐบาลสามารถใช้เงินดำเนินนโยบายโดยไม่ผ่านการตรวจสอบกลั่นกรองของรัฐสภาได้

ดังนั้น จึงควรมีการแก้ไขเพื่อลดช่องว่างในกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว โดยให้อิสระแก่พรรคการเมืองในการหาเสียงด้วยการสร้างสรรค์นโยบายต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว จะต้องใช้เงินงบประมาณเท่านั้นโดยไม่สามารถใช้เงินนอกงบประมาณได้ และห้ามใช้เงินงบประมาณเกินกว่าวงเงินที่เคยเสนอต่อ กกต. เพื่อสร้างความรับผิดชอบในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลต่อประชาชน และรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน 

ในบทความที่จะตามมา ทีมวิจัยจากทีดีอาร์ไอจะตั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงนโยบายต่างๆ ของพรรคการเมืองในแต่ละด้านโดยเฉพาะเจาะจง

#บทความโดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และนิพนธ์ พัวพงศกร

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'อิ๊งค์\'งงข่าว\'ยุบสภาฯ\' ยัน\'พรรคร่วมฯ\'แน่นปึ้ก ลั่น!คุมสถานการณ์ได้ไม่เกินมือ 'อิ๊งค์'งงข่าว'ยุบสภาฯ' ยัน'พรรคร่วมฯ'แน่นปึ้ก ลั่น!คุมสถานการณ์ได้ไม่เกินมือ
  • จับตา‘แดง-น้ำเงิน’! เปิดเกมต่อรองการเมือง ระวัง‘ข่าวจริง’ที่มาก่อนเวลา จับตา‘แดง-น้ำเงิน’! เปิดเกมต่อรองการเมือง ระวัง‘ข่าวจริง’ที่มาก่อนเวลา
  • \'สุวัจน์-เทวัญ\'ขอบคุณชาวโคราช ไว้วางใจเลือก\'หมอวรรณรัตน์\'เป็นนายกเทศมนตรี 'สุวัจน์-เทวัญ'ขอบคุณชาวโคราช ไว้วางใจเลือก'หมอวรรณรัตน์'เป็นนายกเทศมนตรี
  • ‘อนุสรณ์’ขอบคุณชาวเทศบาลนครเชียงใหม่ หนุน‘อัศนี’เพื่อไทยเป็นนายกฯอีกสมัย ‘อนุสรณ์’ขอบคุณชาวเทศบาลนครเชียงใหม่ หนุน‘อัศนี’เพื่อไทยเป็นนายกฯอีกสมัย
  • ‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ติงหลังรู้ผลเลือกตั้งเทศบาล อย่าแดกดันคนในพื้นที่เป็นเมือง‘ทานหญ้าบุรี’ ‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ติงหลังรู้ผลเลือกตั้งเทศบาล อย่าแดกดันคนในพื้นที่เป็นเมือง‘ทานหญ้าบุรี’
  • พ่ายยับ!‘เท้ง’แถลงผลเลือกตั้ง ‘ปชน.’ได้มา 3 เทศบาลเมือง 7 เทศบาลตำบล พ่ายยับ!‘เท้ง’แถลงผลเลือกตั้ง ‘ปชน.’ได้มา 3 เทศบาลเมือง 7 เทศบาลตำบล
  •  

Breaking News

'สรวงศ์'เผยเล็งพิจารณาร้านอาหาร-ของชำขายเหล้าวันพระใหญ่ได้

'สรวงศ์'บอก'ภูมิใจไทย'การันตีแล้วไม่คว่ำงบฯ 69

ครม.ออก‘G-Token’ 5 พันล้าน เครื่องมือระดมทุนใหม่ผ่านดิจิทัล

'ชัชชาติ' นำทีมทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล วางดอกไม้ยืนไว้อาลัยผู้เสียชีวิตที่ตึกสตง.

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved