ล้วงลึก ‘เรืองไกร’ นักร้องผู้ช่ำชอง: ผมทำงานคนเดียวหาข้อมูลได้ลึก มีประสบการณ์ ใครจะมาสอน! กับปมร้อนเริ่มจุดชนวน ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ อาวุธสังหารทางการเมือง?
“เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ถูก “สปอร์ตไลท์”ส่องจับตาเป็นอย่างมาก เพราะ “อาจหาญ” ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้สอย “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ “พรรคก้าวไกล” ได้รับคะแนนเลือกตั้งมา “14 ล้านเสียง”
นั่นจะหมายความว่าจะ “ลอยลำ” นั่ง “เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ถ้าหาก ”เรืองไกร” ไม่ยื่นเรื่องร้อง ”พิธา” ปมถือหุ้นสื่อ “ไอทีวี บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) 42,000 หุ้น” ว่ามีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่
ท่ามกลางความสงสัยว่าเหตุใด ”เรืองไกร” ขยับยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบนักการเมืองหลายคนจน “เก้าอี้สั่นคลอน” ได้ ซึ่งแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา อาทิ การตรวจสอบขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปได้ไม่ต้องเสียภาษี คุณสมบัตินายกฯ “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกฯผู้ล่วงลับ จากกรณีจัดรายการชิมไปบ่นไป
หรือกรณี “พระเครื่องสะสม” ของ “บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯรักษาการในปัจจุบัน หรือ “บิ๊กป้อม พล.อ.ประวัตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ปม “ยืมนาฬิกาหรูของเพื่อน” จากผลงานการร้องตรวจสอบของเขาเป็นที่ประจักษ์
จึงเป็นที่ความเข้าใจผิดของหลายคนแม้แต่หลายคนในวงการเมือง หรือนักวิชาการว่าเขาเป็นทนาย เรียนจบมาด้านนิติศาสตร์ วันนี้สำนักข่าว “แนวหน้าออนไลน์” จะขอพาไปพูดคุยเพื่อรับฟังหลายเรื่องจากปากชายที่ชื่อ “เรืองไกร” โดยตรงกันเลย
ไม่รอช้าเกริ่นเริ่มกันที่คำถามแรกกับ ที่มาที่ไปของการมายื่นต่อกกต.ให้ตรวจสอบ "พิธา"?
“เรืองไกร” เริ่มเล่าให้ฟังว่า เห็นข้อเท็จจริงว่ามีชื่อพิธาถือหุ้น itv เมื่อเห็นแล้วสิ่งแรกที่ต้องหาคือเอกสารทั้งหมดมีอะไร ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เอกสารอยู่ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าทั้งหมด ซึ่งเราสามารถขอได้ และเห็นว่ามีชื่อพิธาในเอกสารประชุมผู้ถือหุ้นเม.ย.ปี 66 ซึ่งมันเลยวันสมัครส.ส.มาแล้ว
“จึงสันนิษฐานได้ว่าพิธา ถือหุ้น itv 42,000 หุ้น จึงเป็นเหตุที่ต้องมาร้อง และการมาร้องตรงนี้เพื่อจะหาหลักฐานเพิ่มไม่ว่าทางตรงหรือโดย กกต. พอพิธาโพสต์ ในวันที่ 9พ.ค.66 ซึ่งเป็นวันเดียวกันหลังผมให้ข่าวกับสื่อ โดยพิธาหาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทุนผูกขาดอะไรโน่น นี่ นั่น มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง เราก็ไม่สนใจ สิ่งที่สนใจคืองบการเงิน ซึ่งเรื่องบัญชีผมถนัดอยู่แล้ว เราก็เรียกงบการเงินมาดูว่าเขาทำธุรกิจอะไร”
เรืองไกร แจกแจงต่อว่า จากนั้นก็ดูวัตถุประสงค์ที่จดเพิ่มจากแบบสำเร็จรูปมีกี่ข้อ เมื่อดูหมดแล้วก็ส่งไปที่กกต. เพื่อให้ตรวจสอบแล้วก็ดูย้อนไปว่าที่พิธา ไปให้สัมภาษณ์ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ว่าเขาเคยถูกคุมตัวจากทหารจากเรื่องปฏิวัติ ในวันเดียวกับที่คุณพ่อเขาเสีย บอกว่านั่งเครื่องบินที่ “ทักษิณ ชินวัตร” แบบตั๋วฟรี ถามว่าตั๋วอะไร พออธิบายความแล้วทุกคนก็งง ตนก็งง
ตอนนั้นตนอยู่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ดูงานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)อยู่ ไม่เคยเห็นชื่อพิธา ว่าไปถูกอายัดเงินตอนไหน โดยพิธาได้แสดงหลักฐานว่าไปงานศพพ่อทันครึ่งไม่ทันครึ่ง แต่กระดานที่งานศพ เขียนวันที่ 18พ.ค. แต่บอกพ่อเสียวันปฏิวัติวันที่ 19ก.ย.49 ซึ่งความจริงคุณพ่อเสียวันที่ 18 พ.ค.49
“ผมจำได้แม่น เพราะวันที่ 18 พฤษภาคม เป็นวันเกิดสตง. ซึ่งคนสตง.ทุกคนเรารู้ ตัวนี้เป็นตัวพยานหลักฐานเชื่อมโยงมาดูบัญชีหุ้น ถ้าพ่อคุณพิธาเสีย ปี 49 แล้วอ้างเป็นผู้จัดการมรดกก็ควรจะเป็นชื่อคุณพิธาในฐานะผู้จัดการมรดกตั้งแต่รายชื่อผู้ถือหุ้น ปี50 แต่พอไปตรวจแล้วเป็นปี 51 การถือหุ้นก็ถือครองมาตลอด โดยไม่ได้เคลื่อน ไหว ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหุ้นเลย”
เราจึงสันนิษฐานได้ว่าในขณะที่สมัครส.ส.เมื่อปี 66 รวมทั้งบัญชีนายกฯ พิธาน่าจะถือครองหุ้นแล้ว จึงมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3)หรือไม่ ซึ่งอันนี้เป็นหน้าที่ของกกต.ไปตรวจสอบ ซึ่งเราพยายามชี้ช่องตามข้อกล่าวหาเท่านั้นเอง
สถานการณ์ดูประจวบเหมาะที่พิธา-ก้าวไกล ได้รับเลือกตั้งคะแนนมาเป็นอันดับ 1 ตัวเต็งว่าที่นายกฯคนที่ 30?
เรืองไกร : จริงๆไม่ได้เกี่ยวกัน แต่ว่าอาจประจวบเหมาะเท่านั้นเอง ในวันที่ 9พ.ค.66 ได้แจ้งผู้สื่อข่าว ขณะที่เรายังไม่รู้ผลเลือกตั้ง ยังคิดว่า “พรรคเพื่อไทย” จะ “แลนด์สไลด์” ด้วยซ้ำไป ไม่มีใครคิดว่าก้าวไกลจะมาถึงตรงนี้ คนที่มาพูดย้อนหลังไปก็เหมือนหวยออกแล้วมาบอกว่ารู้อย่างนี้ซื้อ 00 หรือ 99 ดีกว่า
ตอนที่ยื่นคำร้องช่วงวันที่ 9-10 พ.ค.ที่ผ่ามา ก็ไม่รู้ว่าประเด็นนี้จะขยายมาเยอะขนาดนี้ จนเป็นเหมือนกับว่าไปล้ม “14 ล้านเสียง” ใครจะไปรู้เพราะการเลือกตั้งมันเป็นความลับ ฉะนั้น อย่า “จินตนาการ” เยอะเกินไป
จากการดูรายชื่อผู้ถือหุ้น เราก็ดูครอบคลุมที่พิธาอ้างเป็นผู้จัดการมรดก ที่บอกว่ายื่นป.ป.ช.ซึ่งดูรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินในวันที่ 25พ.ค.2562 ก็ไม่มีรายการหุ้นไอทีวี ซึ่งพิธา ก็ชี้แจงว่ามายื่นเพิ่มเติม ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ก็ยืนยันว่ายื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อวัน เวลาใด
“เดี๋ยวก็จะเห็นเองในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ ครบกำหนดหลังการยุบสภา 20มี.ค.2566 ซึ่งหุ้นตัวนี้น่าจะยังถืออยู่เพราะเพิ่งมาขาย เมื่อวันที่ 6มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งก็จะรู้ว่าหุ้นนี้อยู่ในฐานะอะไรการตรวจพยานหลักฐานมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันเป็นงานถนัดของคนตรวจสอบอยู่แล้ว”
"พิธา"โพสต์แจงผ่านเฟซบุ๊คว่าหุ้นตัวนี้ถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2557 แล้ว?
เรืองไกร : ถ้าเป็นข้อเท็จจริงก็ไม่ได้หมายความว่าเขา “ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้น” เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนว่าเป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หรือนอกตลาดหลักทรัพย์ เขียนแค่ว่าคุณเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วน กฎหมายก็จะเขียนแค่ว่าคุณเป็นเจ้าของกิจการหรือไม่
แจ้งเรื่องมีหุ้นตั้งแต่สมัยเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่?
เรืองไกร : นั่นก็แสดงว่ารู้อยู่แล้วว่ามีหุ้นอยู่ ถ้าอย่างนั้นเป็นผู้จัดการมรดกมาตั้งแต่ปี 50 แล้วทำไมวันที่ 25พ.ค.62 จึงไม่แจ้งป.ป.ช. แต่ใช้วิธีแจ้งเพิ่มเติม โดยขณะที่สังกัดพรรคอนาคตใหม่พิธา แจ้งเงินลงทุน 45 รายการ ซึ่งไม่มีเงินลงทุนบริษัทภรรยา และไม่มีรายการหุ้น itv
หากเป็นการถือครองหุ้นแทนทายาทคนอื่นจะมีผลเปลี่ยนแปลงทางบวกกับนายพิธาหรือไม่?
เรืองไกร : พิธาชี้แจงว่าศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกปี 50 ก็ต้องเอาพยานหลักฐานมาดู ซึ่งหลังจากนั้นทุกๆปีผู้จัดการมรดกจะต้องรายงานสถานะการเป็นผู้จัดการมรดกว่าดำเนินการจัดการอย่างไรไปบ้าง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องคุณสมบัติห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าพิธา ในวันที่สมัครส.ส.ตั้งแต่ปี 62 จนถึงปัจจุบันได้มีการโอนหุ้นไปหรือยัง แต่การดำเนินการเมื่อวันที่ 6มิ.ย. ถามว่าเข้าเงื่อนไขลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่
พิธาเขายกข้อต่อสู้ "ผู้จัดการมรดก" ไม่ใช่ "เจ้าของมรดก"?
เรืองไกร ตอบว่า ถามว่าแล้วคุณมีส่วนในมรดกด้วยมั้ย มรดกมีอะไรบ้างอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์มีเฉพาะหุ้นหรือแล้วที่พิธาบอกว่ามีหุ้นตัวอื่นอีกด้วย ซึ่งก็ถูกถอดออกจากตลาดฯ เมื่อพิธามาเป็นผู้จัดการมรดกแล้วต้องอธิบายด้วยว่า รายละเอียดทรัพย์และหนี้สินคุณพ่อของพิธามีอะไรบ้าง ก็เป็นเรื่องครอบครัวในส่วนกงสีที่จะว่ากันไป
แต่ในส่วนของพิธา ที่ปรากฏชื่อตามพยานหลักฐานกฎหมายบริษัทมหาชนจำกัด เขาให้สันนิษฐานว่าถูกต้อง ซึ่งไม่ได้หมายเหตุวงเล็บอะไรไว้เลย ผ่านมา 16 ปีแล้ว คุณมาบอกว่าอันนั้นคือผู้จัดการมรดก ต้องเอาพยานหลักฐานมาแสดงว่าคุณจดแจ้งการถือครองหุ้นในฐานะอะไรในชั้นของการพิจารณาไต่สวน
กรณีมีสถานะเป็นผู้จัดการจัดการมรดกสามารถโอนหุ้นที่เป็นมรดกทำได้หรือไม่?
เรืองไกร : เรื่องนี้เป็นไปตามกฎหมายแพ่ง พิธาต้องอธิบาย เพราะคุณบอกศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกปี 50 จนถึง 66 ทุกรอบปี คุณทำอะไรไปบ้างทั้งหมดต้องแจงเครือญาติ ทายาทมรดกทางนิติกรรม ซึ่งเป็นกฎหมายส่วนบุคคล
“กฎหมายไม่ได้บังคับให้ยื่นต่อป.ป.ช.แต่ในฐานะที่คุณบอกว่าต้องโปร่งใสและเมื่อวันที่6มิ.ย.คุณให้สัมภาษณ์ว่า Account on activity แปลว่าตรวจสอบได้ หรือ Good governance ซึ่งแล้วแต่จะใช้คำว่าอะไร ถ้าจะแฟร์ๆคุณพิธา ต้อง Open Data ของคุณเอง”
นักกฎหมายอาวุโสในวงการเมือง บอกว่าพิธาไม่ผิดเรื่องหุ้นitv แต่ข้อบังคับพรรรคก้าวไกลเองอาจจะเป็นปัญหาได้?
เรืองไกร ชี้ว่า แบบนี้คือ “ความเห็นนอกสำนวน” ซึ่งหลายคนที่แสดงความเห็นเป็นการพูดต่อหน้าไมค์ ต่อหน้าสื่อพูดอะไรอย่างไรก็ได้ แต่จะไม่อยู่ในสำนวนแน่นอน ถ้าอยากให้ความเห็นตัวเองอยู่ในสำนวนก็เขียนความเห็นของท่านเข้าไปสู่กกต. โดยอ้างว่าในฐานะพยานบอกเล่าหรือพยานผู้ชำนาญการได้
“แต่หลายคนที่พูดแล้วก็จบไปไม่ได้สนใจอะไรอีกหลังจากนั้น รวมทั้งอินฟลูเอนเซอร์สื่อโซเชียล แค่พูดแสดงความเห็นเท่านั้น ท่านก็ได้ประโยชน์จากกรณีของพิธา เพราะตัวเองก็มีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ จึงไม่มีเวลามาขึ้นศาลเหมือนผม”
การพิจารณาคดีความขัดแย้งระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.)กับ itv จะมีผลต่อคุณสมบัติพิธาหรือไม่?
เรืองไกร : ถ้า itv เขาชนะคดี สปน.ต้องชดเชยเสีย "ค่าโง่" ให้กับไอทีวี ซึ่งมีแนวโน้มอาจเป็นไปได้เพราะศาลวินิจฉัยว่าจากกรณีสปน.คัดค้านข้อกฎหมายว่าอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจชี้ขาดว่าการ สปน. บอกเลิกสัญญาไม่ชอบ
ทางสปน.จึงได้รายงาน ครม.เมื่อธ.ค. 2564 และได้มีการสู้คดีมาจนถึงวันนี้ โดยสปน.ไปร้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ แต่ศาลปกครองบอกว่าอนุญาโตตุลา การวินิจฉัยชี้ขาดชอบด้วย พรบ.อนุญาโตฯแล้ว
ดังนั้น ถ้าสปน.เลิกสัญญาโดยไม่ชอบแล้วitvไปเรียกค่าชดเชยจากสปน.แสนกว่าล้านบาท ก็ต้องพับไป และร้องถูกยึดคลื่นออกอากาศทำให้ได้รับความเสียหาย มันไปเกี่ยวอะไรกับพิธา ในเมื่อมีคนบอกว่าพิธาถือ 42,000 หุ้นเท่านั้น หรือ 0.005 % ของหุ้นitvทั้งหมด ต้องไปดูคำต่อสู้ของสปน. เขาบอกว่า itv คิดค่าปรับเกินสัดส่วนไม่ควรจะต้องจ่าย
“พิธา และคนพรรคก้าวไกล ต้องไปอ่านสตอรี่ ไม่ยาว มีไม่กี่พันหน้าหรอก คุณอ่านหนังสือราชการเป็นหรือเปล่า คุณเป็นส.ส.มากี่ปี เห็นคุณตรวจสอบงบประมาณโน่นนี่ เดี๋ยวเอา PowerPoint ข่าวโน่นนี่มาตัดแปะ พอทีเรื่องของตัวเองไม่เปิดบัญชีของพรรคคุณทุกคน ผมถามว่าวันนี้บัญชีที่คุณขอเขามาคนละล้านๆ วันนี้คุณได้เท่าไหร่ 400 เขต คุณขึ้นเว็บของพรรคเอง แล้วมีคนบริจาคให้ที่ตั้งยอดไว้ 30 ล้าน ได้เท่าไหร่เปิดมาสิผมตามดูคุณอยู่”
เรืองไกร ขยี้ต่อว่า ไม่ใช่ไม่รู้นะว่าไอ้เงินบอกว่าผ้าป่ากฐินเท่าไหร่ จะให้รอดูตอนคุณยื่นงบต่อกกต.หรือ มันนานไป ตนอยากเห็นสมุดบัญชีคุณ ถ้าคิดจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันการเมือง ไม่ว่าเขาจะเลือกตั้งคุณหรือไม่ได้รับเลือกตั้งก็ต้องเปิดเผยโดยนโยบายของคุณเอง เพราะพรรคอื่นไม่ได้เขียนแต่พรรคก้าวไกลเขียน
“พิธาถือหุ้น 16-17 ปี จัดสรรปันส่วนแบ่งมรดกคุณพ่อไปถึงไหนแล้วที่บอกว่าหุ้น itv ไม่มีอะไร คุณเรียนจบบัญชีธรรมศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 1 และเรียนจบเมืองนอกมาไม่ใช่หรือ ผมแค่เด็กเทศบาล จบปริญญาตรีบัญชีเกียรตินิยมอันดับ 2 มหาวิทยาลัยรามคําแหง เพราะเอ็นฯติดวิศวะ ม. เกษตรศาสตร์ แต่ไม่สบายเลยเรียนไม่จบ ก็เปลี่ยนมาเรียนบัญชีรามฯ พอจบปริญญาตรีก็ต่อปริญญาโทบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมรู้แค่นิดๆหน่อยๆงูๆปลาๆ คุณตรวจบัญชีกับผมตรวจคนละเรื่องกัน”
กรณีที่พิธา ถือหุ้นสื่อ จะมีผลแค่คุณสมบัติแคนดิเดตนายก หรือส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 ด้วย?
เรืองไกร : มีผลทั้ง2อย่างอยู่แล้ว เพราะกฎหมายตัวเดียวกันที่กำหนดลักษณะต้องห้ามเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าวันสมัครมีข้อเท็จจริงเรื่องถือหุ้นเป็นข้อเท็จจริงเดียวกันมันเท่ากับผิดข้อห้าม 2 ลักษณะ คือ ห้ามสมัครส.ส.และหากเป็นแคนดิเดตนายกฯศาลวินิจฉัยว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นในกิจการสื่อมวลชนใดๆก็จะเข้าลักษณะต้องห้าม
“อันนี้เป็นเรื่องราวที่จะเป็นสตอรี่ ยาวเลยการสมัครส.ส.ปี 62 และสมัครบัญชีนายกฯ ปี 66 ทั้งที่เป็นหัวหน้าพรรคไม่ได้เพราะขาดสภาพสมาชิกพรรคตามข้อบังคับพรรคฯอันนี้ก็จะยุ่ง”
พรรคก้าวไกล ที่รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 หากมีผลกระทบกับพิธา อาจจะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองตามมา ม็อบลงถนนประท้วง รวมทั้งส.ส.ก้าวไกล จะต้องเลือกตั้งใหม่?
เรืองไกร ถามกลับตรงๆว่า คุณเคารพกฎหมายหรือเปล่า กฎหมายบอกว่าคุณเลือกตั้งได้รับคะแนนมาก คุณได้รับเลือกตั้ง แต่กฎหมายไม่ได้รับรองว่าคนที่ได้รับเลือกตั้งถ้าทำผิดกฎหมายแปลว่าไม่ผิดนะ
“ถามว่ามีกฎหมายไหนคุ้มครอง คุณบอกว่า 14 ล้านเสียง แปลว่าคุณทำอะไรก็ได้ไม่ผิดใช่หรือไม่ คุณตอบตรงนี้ให้ได้ก่อน ต่อให้คุณได้ 30 ล้านเสียง ก็ไม่ได้หมายความรับประกันว่าคุณทำผิดกฎหมายได้ ถ้าคุณมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง”
เรืองไกร ร่ายต่อว่า ก็ต้องถามว่าทำไมคุณไม่ไปโอนก่อนล่ะ ก่อนที่จะลงสมัคร ทำไมเพิ่งมาคิด แล้วทำไมไม่เปิดเผยตั้งแต่ยื่นบัญชีต่อป.ป.ช. แต่ใช้วิธียื่นเพิ่มเติมคุณคิดอะไรอยู่ เพราะการยื่นเพิ่มเติมป.ป.ช.จะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
“คุณจะให้ผมเรียกพยานหลักฐานอะไรอีกมั้ย หลักฐานที่คุณว่าทั้งกะบิส่งมาได้จะได้รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร คุณไปถามใคร เลขาป.ป.ช.ยังบอกไม่ได้ บอกแค่ว่าไปยื่น รวมทั้งพรรคก็ไม่ได้ระบุวันเวลา ผมก็สงสัยว่ามันพ้นเวลา 6 เดือน ซึ่งถ้ายื่นเพิ่มเติมภายใน 6 เดือน ป.ป.ช.ก็จะเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน แต่คุณพิธา มีเห็นในเว็บป.ป.ช แค่ครั้งเดียว การยื่นบัญชีเพิ่มเติม จะประทับลับ แสดง ว่าคนอื่นไปดูไม่ได้
เหมือนที่เราไปขอดูพล.อ.ประยุทธ์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ซึ่งทางป.ป.ช.บอกว่าเปิดไม่ได้ เขายื่นด้วยเจตนาของเขาไว้เป็นหลักฐาน แต่ไม่ได้ยื่นให้คนอื่นรู้ ซึ่งพิธายื่นถัดจากวันที่ 25 พ.ค.เป๊ะๆ ผมเก็บแฟ้มข้อมูลจากไฟล์ PDF ของป.ป.ช. ไม่มีหุ้น itv ทั้งที่คุณถือหุ้นนี้มาตั้งแต่ปี 51 และสามารถทำหมายเหตุได้ว่าถือในฐานะกองมรดก ในขณะที่ที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณเอามาลงยื่นบัญชี ผมก็สงสัยว่าคุณยื่นบัญชีแบบไหน
หลักเกณฑ์ใช้การพิจารณาว่าควรยื่นตรวจสอบ?
เรืองไกร : เมื่อความปรากฏ เหมือนภาษาหนังสือกกต.ที่แถลง จะมีผู้ใดหรือไม่มีผู้ใดร้องก็ได้ เหมือนกับเจ้าพนักงานตำรวจ เมื่อความผิดซึ่งหน้าก็ต้องดำเนินการไม่ต้องมีผู้ร้องก็สามารถจับกุมได้ เป็นอำนาจเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานสำหรับกฎหมายแต่ละฉบับ หากไปเจอคนลัก จี้ ชิง ปล้น ตำรวจก็ต้องดำเนินการ
ขณะเดียวกันเรื่องร้องเป็นหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองว่าเราประชาชนมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือราชการ เราก็ช่วยในฐานะผู้ร้องผู้กล่าวหา แต่เราไม่ใช่เจ้าหน้าที่ อยู่ดีๆจะไปทำหนังสือถามพิธาอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ได้ หรือขอนั่นขอนี่จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ข้าราชการขอกันเองไม่เสียตังค์
อย่างไรก็ตาม การส่งตรงจากหน่วยงานหนึ่งไปอีกหน่วยงานหนึ่ง เขาเชื่อถือมากกว่า ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามีการพลิกแพลง ดัดแปลงเอกสารหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราเพียงแต่ว่ามีเค้าโครงหนังสือ ทำคำร้อง มีเลขที่หนังสือ มีวันที่ มีหน่วยงาน ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของกกต.เขาดำเนินการเอง ถ้าเขาเห็นว่าต้องรวบรวมพยานหลักฐานชิ้นนี้เข้ามาอยู่ในสำนวน
ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีคนให้ข้อมูลหรือมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็น “ใบสั่งทางการเมือง”?
เรืองไกร : ก็พิสูจน์ให้ได้ว่าตนถูกใช้จ้างวานโดยใคร ตนก็ไปคนเดียวหาหลักฐานข้อมูลอย่างนี้ไม่ มีใครดูได้ลึกกว่าตนซึ่งเรียนจบบัญชีม.รามฯ เกียรตินิยม และ จบปริญญาโทบัญชี ธรรมศาสตร์ เป็นนักตรวจเงินแผ่นดินมา 5-6 มีประสบการณ์สอบบัญชีข้างนอกมาอยู่แล้ว เอาหุ้นเข้าตลาดฯมาแล้ว รวมทั้งจดตั้งห้างหุ้นส่วน และจดเพิ่มทุน ลดทุน ทำมาหมดทุกกรณีแล้ว ตรวจสอบภาษีก็ทำแล้ว
“ใครจะมีความรู้มาสั่งมาสอนผมได้คุณไปหาตัวมา แต่ก็ยอมรับว่ามีทีมงานแม้ส่วนใหญ่ทำงานเฉพาะตัวโดยทำงานในห้องนอน สมัยเลี้ยงลูกก็ใช้โต๊ะอนุบาล ก.ไก่ ข.ไข่ ของลูกเป็นที่วางโน๊ตบุ๊ค แต่ปัจจุบันใช้คอมพิวเตอร์ มีปริ้นเตอร์ มีฮาร์ดดิสก์ กับเอทานอล ตัวเก็บข้อมูลของแต่ละคน แยกเป็นโฟลเดอร์เก็บไว้ครบหมด ผมเห็นข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องก็แยกเก็บเอาไว้หมดทั้งของพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ ของพล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ ของแต่ละคนผมมีระบบ Permanent ไฟล์ ท ำcurrent file ผมชำนาญอยู่แล้ว ยิ่งมีคอมพิวเตอร์มาช่วยทำให้ยิ่งสบายมากกว่าสมัยก่อนที่เจาะแฟ้มเก็บข้อมูล”
รู้สึกอย่างไรกับคำพูดที่ว่า "เรืองไกร" คืออาวุธลับทางการเมืองหรืออาวุธสังหารของฝ่ายตรงข้าม?
เรืองไกร ออกตัว ขอบคุณมาก แต่เป็นแค่จินตนาการของพวกคุณล้วนๆ ความจริงไม่ใช่ เพราะเรืองไกรทำงานคนเดียวมาโดยตลอด ที่ผ่านมาทุกครั้งผมก็ร้องทุกฝ่าย หรือถ้ามองว่าเป็นมือสังหารฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงยืนยันว่าผมไม่มีหน้าที่ไปสังหารใคร ผมมีหน้าที่ร้องอย่างเดียว ส่วนใครจะตั้งฉายาให้ผมอย่างไรก็คงต้องแล้วแต่เขา
คงจะชัดเจน และรู้ลึกถึงตัวตนกันมากขึ้น สำหรับ “นักร้องผู้ช่ำชอง” การยื่นตรวจสอบ “บุคคลทางการเมือง” อย่างเรืองไกร เพราะอย่างน้อยการทำงานในสิ่งที่ตัวเองถนัดมันคือตัวตนของเรา ในแบบที่ไม่ต้องหลอกตัวเอง
แม้สังคมบางส่วนจะ “หมั่นไส้” จนอยากจะ “สาวหมัดใส่” แต่ก็เป็นเพียงบางกลุ่ม บางส่วน ที่ล้วนมีส่วนได้-เสียกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมือง แต่มันคือสีสันชั้นดี ที่ทำให้ได้รสชาติ ได้อารมณ์ และความรู้สึกถึงความร้อนแรงทางการเมืองขึ้นมาเท่าทวีคูณ กับกรณีปมร้อน “พิธา-ก้าวไกล” ก็เช่นกัน งานนี้ดูกันยาวๆกับมหากาพย์ที่จุดชนวนโดย นักร้องที่มีนามกระเดื่องว่า "เรืองไกร”!!!