ยันปมพิธาทำตามขั้นตอนก.ม.
กกต.โต้ก้าวไกล
ชี้เป็นอำนาจโดยตรงตามรธน.
เรื่องคุณสมบัติต้องส่งศาล
เก็บหลักฐานรอบคอบแล้ว
ปัดเร่งรีบดำเนินการให้จบ
กกต.ยันการส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เป็นการใช้อำนาจโดยตรงตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดใน ม.82พร้อมแจงกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องทำเลือกตั้งไม่สุจริตที่ต้องเรียกชี้แจงตามระเบียบสืบสวนฯ ระบุเจ้าตัวสามารถใช้สิทธิยื่นแจงศาลฯได้ ยันใช้เวลารวบรวมหลักฐานรอบคอบแล้วไม่ได้เร่งรีบเร่งรัด
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม สำนักงานคณะกรรมการการเชือกตั้ง (กกต.)ออกหนังสือชี้แจงกรณีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า ตามที่กกต.ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่รัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 วรรคสี่ บัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร... มีเหตุสิ้นสุดลง... ให้ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย...” การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ กกต.ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ กล่าวคือ มาตรา 82 วรรคสี่ บัญญัติให้ กกต. เป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง สามารถส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้
กรณีดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หรือการกระทำอันอาจเป็นเหตุให้การเลือกตั้ง มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือมิได้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ต้องนำบทบัญญัติตามมาตรา 43 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 และ ข้อ 54 ของระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 มาใช้บังคับแต่อย่างใด
กกต.ยังระบุอีกว่า เมื่อปรากฏว่า สมาชิกภาพของ ส.ส. คนหนึ่งคนใด มีเหตุสิ้นสุดลง กกต.จะรรวบรวมข้อเท็จจริง โดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาหรือให้ส.ส. ผู้มีเหตุสิ้นสุดสมาชิกภาพนั้น มารับทราบข้อกล่าวหา หรือให้มาชี้แจงข้อเท็จจริงข้อกล่าวหาทั้งสิ้น เพราะบุคคลดังกล่าวสามารถใช้สิทธิของตนเองไปชี้แจงข้อเท็จจริง และเสนอพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดี ตามบทบัญญัติของพ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วางแนวทางเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว รายละเอียดปรากฏตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 14/2562 เรื่องพิจารณาที่ 10/2562 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562
ส่วนข้อกล่าวอ้างว่า กกต.เร่งรัดพิจารณาและดำเนินการอย่างเร่งรีบไม่ละเอียดรอบคอบนั้น ขอชี้แจงว่า การดำเนินการของ กกต. เป็นเพียงกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง โดยไม่ได้เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดมีเหตุสิ้นสุดสมาชิกภาพฯ ขอยืนยันว่า กกต.ไม่ได้ดำเนินการอย่างเร่งรีบหรือเร่งรัดที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเสร็จสิ้นเร็วกว่าปกติ ทั้งนี้ กกต.ใช้ระยะเวลารวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ดังนั้น การส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยเป็นกระบวนการที่กกต. ปฏิบัติตามมาตรา 82 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันทุกประการ
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เดินทางไปสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อร้องขอให้ตรวจสอบพรรคก้าวไกล กรณีนำเด็กอายุ 10 ขวบ 2 คนมาขึ้นเวทีร่วมปราศรัยที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเย็นวันที่ 9 กรกฎาคม พรรคก้าวไกลจัดเวทีขอบคุณประชาชนและฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายกฯ โดยมีแนวร่วมและส.ส.ของพรรคก้าวไกล ประชาชนมาร่วมกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งเชิญนักสิทธิเด็กและสตรี นักแสดง และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นเวทีปราศรัยด้วย ช่วงหนึ่งมีการนำเด็กอายุประมาณ 10 ขวบ 2 คนขึ้นเวทีสัมภาษณ์ให้กล่าวความในใจถึงนายกฯพิธา การให้พูด hate speech ซึ่งเป็นแนวคิดคิดเดียวกันกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลและขบวนการปลุกปั่นทางสังคมและการเมืองอันอาจส่งผลต่อเด็กและเยาวชน ตามปรากฏในโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยมีกองเชียร์คอยส่งเสียงเป็นกำลังใจอยู่ด้านล่าง ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
นายศรีสุวรรณกล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าว ตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 2546 มาตรา 26 และ มาตรา 27 ระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามมิให้ผู้ใดส่งเสริมหรือยินยอมหรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากเด็ก และห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ หากฝ่าฝืนอาจมีโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนั้น การนำเด็กมาขึ้นเวทีปราศรัยทางการเมืองยังขัดหลักการสากลว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่องค์กรสหประชาชาติได้ให้ความสำคัญกับหลักการ “กันเด็กออกจากการเมือง” และ “เด็กต้องได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์กับเด็กในทุกรูปแบบจากรัฐ” โดยหลักการอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่จัดทำขึ้นในปี พ.ศ.2532 ที่ประเทศไทยได้ลงนามภาคยานุวัติรับรอง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 ไว้แล้วด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี