วันอาทิตย์ ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
ศาลแพ่งยกฟ้องไอลอว์ฟ้องนายกฯ ขอเพิกถอน ม.9 พรก.ฉุกเฉิน ชี้ปฏิบัติตามกฎหมาย

ศาลแพ่งยกฟ้องไอลอว์ฟ้องนายกฯ ขอเพิกถอน ม.9 พรก.ฉุกเฉิน ชี้ปฏิบัติตามกฎหมาย

วันอังคาร ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2566, 14.27 น.
Tag : ศาลแพ่ง ยกฟ้อง ไอลอว์ ฟ้องนายก พรก.ฉุกเฉิน
  •  

ศาลเเพ่งยกฟ้อง'ไอลอว์' ฟ้องนายกฯ-หน่วยงาน เพิกถอน ม.9 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายกว่า4.5 ล้าน   ศาลชี้ปฏิบัติโดยชอบตามกฎหมายไม่ใช่เหตุทางการเมือง ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง แต่เป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด19

25 กรกฎาคม 2566 ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ , นางชุมาพร แต่งเกลี้ยง ตัวแทนกลุ่มเฟมินิสด์ปลดแอก และนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ แนวร่วมม็อบคณะราษฎร เป็นโจทก์ฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) , สำนักนายกรัฐมนตรี , กองบัญชาการกองทัพไทย , กระทรวงการคลัง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นจำเลยที่ 1-6 เรื่องละเมิด ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนประกาศข้อกำหนดในมาตรา 9 ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 เรียกค่าเสียหายจำนวน 4,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 นับแต่วันฟ้อง


ฟ้องโจทก์สรุปความว่า โจทก์ทั้งสามถูกดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ จากการร่วมปราศรัยในการชุมนุมของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 ซึ่งข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็น และเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การกระทำของจำเลยให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนประกาศดังกล่าว และให้จำเลยที่ 3-6 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ตามฟ้องและให้ สตช. จำเลยที่ 6 ลบล้างประวัติอาชญากรแก่โจทก์ทั้งสามด้วย

ศาลพิเคราะห์เห็นสมควรวินิจฉัยประการแรกก่อนว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีเหตุต้องออกข้อกำหนดฯและจำเลยที่ 2 มีเหตุต้องออกประกาศฯตามฟ้องเพื่อบังคับใช้ในสถานการณ์ดังกล่าวหรือไม่ก่อน 

เห็นว่า ที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าการออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯพ.ศ.2548(ฉบับที่ 15 ) ลงวันที่ 25 ธ.ค.2563 ของจำเลยที่ 1 และการออกประกาศหัวหน้ารับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ของจำเลยที่ 2 เป็นกฎหมาย ละเมิดและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของโจทก์ทั้งสาม รวมถึงประชาชนที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี โดยเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นที่บุคคลมารวมตัวกันเป็นการชั่วคราวในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 4 บัญญัติรับรองไว้ว่า "บุคคลทุกคนย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ" นั้น แต่เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธดังกล่าวไม่ใช่เสรีภาพที่มีการรับรองและคุ้มครองไว้อย่างสมบูรณ์เด็ดขาด หากแต่รัฐสามารถจำกัดเสรีภาพดังกล่าวได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของกฎหมาย

โดยกำหนดเงื่อนไขไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 44วรรคสอง ว่า การจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัย สาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย" และวรรคสอง บัญญัติว่า "กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง" 

พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯมีเหตุผลความจำเป็นของการประกาศใช้ว่า โดยเป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และบัญญัติด้วยว่าพ.ร.ก.นี้ยังมีบทบัญญัติบางประการที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29ประกอบกับมาตรา 31มาตรา 44ของรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตาม บทบัญญัติแห่งกฎหมาย โดยพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯมาตรา  5บัญญัติว่า "เมื่อปรากฏว่า  มีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นและนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารร่วมกันป้องกัน แก้ไขปราบปราม ระงับยับยั้ง ฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชน ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ มาตรา 7 วรรคสี่ บัญญัติว่า "ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจหรือทหารซึ่งมีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี ผู้บัญชาการตำรวจ แม่ทัพ หรือเทียบเท่าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และกำหนดให้เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่และบังคับบัญชาข้าราชการและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการนี้ ให้การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นไปตามการสั่งการของหัวหน้าผู้รับผิดชอบนั้น

มาตรา 9 บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็วหรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย..."

จะเห็นได้ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ2548มาตรา 5 บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และมาตรา 9ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็วหรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนดและมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการทหารซึ่งมีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าแม่ทัพหรือเทียบเท่าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และกำหนดให้เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมาตรา 10 นายกรัฐมนตรีอาจมอบอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบตามมาตรา 7 วรรคสี่ เป็นผู้ใช้อำนาจออกข้อกำหนดตามมาตรา 9 แทนก็ได้

นอกจากนี้ตามมาตรา 17 ยังบัญญัติว่า พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก.นี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีที่จำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้อง ค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดังกล่าวนี้ เป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์ให้อำนาจฝ่ายบริหารในการบริหารสถานการณ์ที่กระทบหรืออาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรืออาจทำให้ประเทศหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศตกอยู่ในภาวะคับขัน จำป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารเพิ่มขึ้น

สำหรับแก้ไขปัญหาในแต่ละสถานการณ์ให้สำเร็จลุล่วงไปได้โดยเร็ว ในระยะเวลาชั่วคราวจนกว่าจะมีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน  ทั้งนี้เพียงเท่าที่จำเป็นและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและกระทบต่อสิทธิในการดำรงชีวิตและมีระยะเวลาเป็นการชั่วคราว และถือเป็นอำนาจอธิปไตยของรัฐในการใช้บังคับกฎหมายใด ๆ ที่มีอยู่ให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากภัยพิบัติสาธารณะและการฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับความเสียหาย เนื่องจากในปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ซึ่งมีความร้ายแรงมากยิ่งขึ้นจนอาจกระทบต่อเอกราชและบูรณภาพแห่งอาณาเขต และก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ รวมทั้งทำให้ประชาชนได้รับอันตรายหรือเดือดร้อนจนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข และไม่อาจแก้ไขปัญหาด้วยการบริหารราชการในรูปแบบปกติได้ สมควรต้องกำหนดมาตรการในการบริหารราชการสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินไว้เป็นพิเศษ เพื่อให้รัฐสามารถรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัย และการรักษาสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั้งปวงให้กลับสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ และป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุอันสมควรตามความจำเป็นและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและกระทบต่อสิทธิในการดำรงชีวิตและมีระยะเวลาเป็นการชั่วคราวทั้งยังมีผลบังคับกับประชาชนทั่วไป ตามความรุนแรงของสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ มิใช่เฉพาะเจาะจงกับโจทก์ทั้งสามหรือกลุ่มผู้ใช้สิทธิเรียกร้องทางการเมืองเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เมื่อตามทางนำสืบของโจทก์มีเพียงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลของผู้ร่วมชุมนุมและผู้ถูกดำเนินคดี ภาพข่าวจากสื่อ และข้อมูลทางสถานการณ์ผู้ป่วย อันเป็นความเห็นทางกฎหมายและข้อมูลทางการแพทย์เท่านั้น ทั้งๆที่โจทก์ทั้งสามก็ทราบว่าในช่วงการชุมนุมรวมตัวกันในวันเกิดเหตุดังกล่าวมีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด19 อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ไม่เคยปรากฏในประเทศไทยและที่ใดในโลกและไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ที่สามารถระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างเด็ดขาดเนื่องจากยังไม่มีข้อมูลและวัคซีนการป้องกันโรคเพื่อป้องกันโรค แต่จำเลยทั้งหก มีพยานหลักฐานยืนยันถึงที่มา ขั้นตอนเเละวัตถุประสงค์แห่งการประกาศใช้ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าว ผ่านการกลั่นกรองจากคณะทำงานโดยการบูรณาการร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง มิใช่การใช้ดุลพินิจหรืออำนาจเด็ดขาดเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1,2แต่เพียงผู้เดียว เมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิดยังถือเป็นเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นซึ่งกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ และเหตุดังกล่าวยังไม่คลี่คลาย อันถือเป็น สถานการณ์ฉุกเฉิน

จำเลยที่ 1,2 จึงมีอำนาจออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9(ฉบับที่ 15) และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในแต่ละฉบับ ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงโดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น อันเป็นการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงโดยเร็ว ภายใต้เงื่อนเวลาหรือเงื่อนไขในการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสาม แต่พฤติการณ์ในการชุมนุมรวมตัวกันของโจทก์ทั้งสามอาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อไม่มากก็น้อย

พยานหลักฐานของจำเลยทั้งหกมีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสาม ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง และรักษาอำนาจทางการเมืองของพวกจำเลยที่ไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของโจทก์ทั้งสาม จึงไม่มีเหตุจะเพิกถอนข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวและไม่มีเหตุให้จำเลยทั้งหกต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสาม พิพากษายกฟ้อง

-005

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'แก๊ง 3 นิ้ว\'คืนชีพ!! บุกประชิดรัฐสภา\'ขว้างกล้วย-สาดสี\'สุดเซ็งสภาฯล่ม ทำรื้อรธน.อืด 'แก๊ง 3 นิ้ว'คืนชีพ!! บุกประชิดรัฐสภา'ขว้างกล้วย-สาดสี'สุดเซ็งสภาฯล่ม ทำรื้อรธน.อืด
  • ‘ศาลคดีทุจริตฯ’ยกฟ้อง‘กกต.-เลขา กกต.’ ปมคำร้องผู้สมัคร สว.ระดับอำเภอ ‘ศาลคดีทุจริตฯ’ยกฟ้อง‘กกต.-เลขา กกต.’ ปมคำร้องผู้สมัคร สว.ระดับอำเภอ
  • ‘ครม.’เห็นชอบขยาย‘พรก.ฉุกเฉิน’จังหวัดชายแดนใต้ 3 เดือน ‘ครม.’เห็นชอบขยาย‘พรก.ฉุกเฉิน’จังหวัดชายแดนใต้ 3 เดือน
  • เปิดศึก!‘มท.’ข้องใจแผนที่อ้างอิง ไล่‘รฟท.’ยื่นศาลแพ่งค้านคำสั่งไม่เพิกถอนที่ทับซ้อน‘เขากระโดง’ เปิดศึก!‘มท.’ข้องใจแผนที่อ้างอิง ไล่‘รฟท.’ยื่นศาลแพ่งค้านคำสั่งไม่เพิกถอนที่ทับซ้อน‘เขากระโดง’
  • ครม.ต่อ‘พรก.ฉุกเฉิน’ 3 จังหวัดชายแดนใต้ถึง 19 ม.ค.68 ครม.ต่อ‘พรก.ฉุกเฉิน’ 3 จังหวัดชายแดนใต้ถึง 19 ม.ค.68
  • \'คปท.\'เตรียมแผนสำรอง หากศาลไม่รับอุทธรณ์ เล็งหาที่ชุมนุมใหม่ 'คปท.'เตรียมแผนสำรอง หากศาลไม่รับอุทธรณ์ เล็งหาที่ชุมนุมใหม่
  •  

Breaking News

'หมอวรงค์'สอนมวย'นพดล' หยุดถูไถ!ก้มหน้าก้มตาปกป้อง'คนชั้น 14'

'สืบตม.อุบลฯ'ลุยตรวจสถานประกอบการ สกัดกันค้ามนุษย์ผิดกฎหมาย

'พิพัฒน์'ขับเคลื่อนความร่วมมือแรงงานอาเซียน พบ'รมว.เกาหลี–มาเลเซีย' เตรียมยกระดับแรงงานไทยสู่มาตรฐานสากล

'สมเด็จพระสังฆราช'ประทานพระคติธรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved