‘ทีมโฆษก รทสช.’ยื่น‘พม.’เร่งปรับปรุงกฎกระทรวงป้องกันการนำเด็กไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต ยกพฤติกรรมมีบางพรรคการเมืองนำเด็ก 10 ขวบขึ้นเวทีปราศรัย ทำให้เกิดความเกลียดชังและยุยงให้เด็กฝ่าฝืนกฎหมายกฎระเบียบของโรงเรียน
12 สิงหาคม 2566 นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) , นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายณัฐนันท์ กัลป์ยาศิริ อดีตผู้สมัครสส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อปลัดทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อให้มีการตรวจสอบและเพิ่มข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับกฎกระทรวงพัฒนาสังคมฯ เพื่อป้องกันการนำเด็กไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต
นายพงศ์พล เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์พรรคการเมืองให้เด็กอายุ 10 ขวบ ขึ้นเวทีปราศรัยทางการเมืองในการชุมนุมทางการเมือง และปรากฏคำปราศรัยด้วยถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) ซึ่งแทนที่จะมีการห้ามปรามหรือแนะนำให้กระทำในสิ่งที่เหมาะสมกับวัย กลับได้รับการกล่าวและมีท่าทีให้การสนับสนุนเพราะเป็นแนวทางที่พรรคการเมืองและพวกพ้องของตนเองได้รับผลประโยชน์จากกการกระทำดังกล่าว และเกิดการเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ ยังปรากฏกรณีที่มีกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีความเคลื่อนไหวสอดคล้องและเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองได้คอยยุยงส่งเสริมเด็กให้ละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎระเบียบของโรงเรียน ฝ่าฝืนกฎหมายแผ่นดินจนถึงขนาดถูกดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรง และยังถูกนำเรื่องราวการดำเนินคดีมาเผยแพร่ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเพื่อสร้างคะแนนนิยมและความชอบธรรมให้กับพรรคการเมืองของตนเองและพวกพ้อง โดยปราศจากคำแนะนำให้เด็กประพฤติตนอยู่ในกรอบที่เหมาะสมกับวัยเรียน ซ้ำร้ายยังนำเสนอข้อมูลข่าวสารเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางการเมืองโดยใช้เด็กเป็นเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดกระแสสังคมกดดันกับเด็กและเกิดความเสียหายกับเด็กและสังคมอย่างประเมินค่ามิได้
“ล่าสุดยังปรากฏข้อมูลมีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมครอบงำ กดดันให้เด็กกระทำความผิดยุยงส่งเสริมให้เด็กกระทำความผิดต่อกฎหมาย แล้วนำกิจกรรมดังกล่าวไปขอรับเงินทุนสนับสนุนการเคลื่อนไหวจากผู้ที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง ไม่หวังดีต่อเด็ก เข้าข่ายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากเด็ก ทำให้หลายภาคส่วนของสังคมเกิดความกังวลว่าพฤติกรรมดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเด็กโดยมิชอบส่งผลเสียต่อเด็ก ทำให้เด็กต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง ซึ่งอาจกระทบต่อการเรียน สภาพจิตใจและพัฒนาการของเด็กได้และที่สำคัญเด็กต้องถูกดำเนินคดีโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์” นายพงศ์พล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนแล้วผิดหลักสากลของ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” (THE UNITED NATIONS CONVENTION ON THE RIGHTS OF THE CHILD) ที่ไทยลงนามไว้กับองค์การสหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2538 ซึ่งมีใจความว่า เยาวชนควรได้รับการคุ้มครองจากการแสวงหาผลประโยชน์ในทุกรูปแบบ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมายื่นหนังสือถึงกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อให้มีการตรวจสอบเพิ่มข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการปรับกฎกระทรวง เพื่อป้องกันการนำเด็กไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี