"แสวง"มองโจทย์ใหญ่ กกต.เปลี่ยนความคิดคน ให้คนเห็นต่างอยู่กันได้ มองคำถาม“กกต.มีไว้ทำไม”มาจากเหตุไม่ถูกใจ แจงยิบคดีคุณสมบัติ“พิธา”ถือหุ้นสื่อ ชี้ความต่าง 3 ข้อ
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกโดย นักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง รุ่นที่ 13 (พตส.13) จัดอภิปราย หัวข้อ "กกต. มีไว้ทำไม" นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวตอนหนึ่งว่า ถึงวันนี้จะมาเป็นจำเลย แต่ตนก็ยินดีมา ร่วมอภิปราย ซึ่งคำถามว่า "กกตมีไว้ทำไม" นั้นได้ฟังมาตั้งแต่ปี 2562 เข้าใจว่าเป็นคำถามที่ไม่ใช่ต้องการคำตอบว่า กกต.ทำอะไรบ้าง แต่เป็นคำถามที่แสดงความรู้สึกผิดหวัง ไม่ชอบใจ กกต.ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่ค่อยมีเวทีอธิบาย และในการเลือกตั้งปี 2566 ก็ยังมีคำถามลักษณะนี้ทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าส่วนตัวรู้สึกพอใจระดับหนึ่ง แม้จะมีปัญหาระหว่างทางเกิดขึ้นบ้าง โดยดูจากการมาใช้สิทธิของประชาชนที่ถือว่ามีผู้มาใช้สิทธิมากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยมีผู้มาใช้สิทธิถึงร้อยละ 75 ถือว่ามากกว่าบางประเทศด้วยซ้ำ ขณะที่คุณภาพของการใช้สิทธิ์ถ้าดูจากเรื่องร้องเรียนก็พบว่าครั้งนี้มีเรื่องร้องเรียนน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมาที่มีเป็น 1,000 เรื่อง แต่ในครั้งนี้พบว่าหลายจังหวัดไม่มีเรื่องร้องเรียน
"คุณภาพของคะแนนที่ได้มา หรือคุณภาพคนมาใช้สิทธินั้น น่าจะเป็นโจทย์ใหม่ของประเทศเรา มีปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ออกมาเพื่อแก้ตรงนี้ ระยะสั้นคือการปราบปรามให้ใบเหลือง ใบแดง แต่ระยะยาวคือการให้ความรู้ที่ถูกต้องในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งในการเลือกตั้ง 2566 จะเห็นพัฒนาการอย่างมีนัยยะสำคัญ วิธีการลงคะแนนของคนมีการเปลี่ยนแปลงไป มีการเลือกการเมืองตามอุดมคติ และเลือกจากนโยบาย โดยเฉพาะประชานิยม ส่วนจะดีไม่ดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงทำให้เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อสิทธิ์ขายเสียงจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้วซึ่งมีร้องเรียนเข้ามานับพันเรื่อง แต่ทุกวันนี้บางจังหวัดไม่มี เรื่องร้องเรียนเลย ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันรุนแรง จึงคิดว่านี่เป็นสัญญาณบวกที่ดีในการพัฒนาการเมือง" นายแสวง กล่าว
เลขาธิการ กกต.ยังกล่าวด้วยว่าโจทย์หลักที่ถือเป็นวาระแห่งชาติคือการเปลี่ยนวิธีคิดของคน เพื่อทำให้คนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขถ้าการเมืองดี ซึ่งบทบาทของ กกต.เป็นเพียงแค่หน่วยงานในการเลือกตั้ง ต้องหาวิธีในการทำให้เกิดพื้นที่ที่คนสามารถอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกัน เพราะหลักประชาธิปไตยต้องพูดด้วยหลักเหตุและผล นี่ก็คือหน้าที่ของสำนักงาน กกต.ที่ต้องร่วมกับเครือข่ายที่จะทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมีคุณภาพ
"ผมเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นคนแรกที่จะมีหน้าที่พิจารณาเสนอให้ยุบพรรค ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ คนร้องยุบพรรคมา 135 เรื่อง ยกคำร้องไป 111 เรื่อง พรรคที่ 1 ยกไป 40 เรื่อง พรรคที่ 2 ยกมา 19 เรื่อง นี่คือความยุติธรรมเราทำตามหลักกฎหมาย แต่ฝ่ายการเมืองเอาไปพูดว่า จะมีการยุบพรรคเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะเราพิจารณาตามกฎหมายและข้อเท็จจริง เรายกไปแล้ว 111 เรื่องที่มีการร้องพรรคใหญ่ๆ พรรคดังๆ ซึ่ง กกต.ยกคำร้องไป 10 คำร้องตนก็โดน 10 คดี กกต.ไม่ได้มีหน้าที่ทำเกินกว่ากฎหมาย การที่เราทำตามกฎหมายแต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการก็จะถูกคำถามว่าทำไมไม่ทำแบบนั้น ไม่ทำแบบนี้ ดังนั้นยืนยันว่าเราทำตามกฎหมาย แต่ถ้าเราทำผิดกฎหมายเราจะโดน 157 " นายแสวง กล่าว
นายแสวง ยอมรับว่า กกต.รับมือกรณี fake news ได้ไม่ดี ซึ่ง กกต.ในฐานะคนเป็นกรรมการ ได้มอบสำนักงาน กกต.ให้ไปดำเนินการให้ชาวบ้านรู้กติกาเท่ากับ กกต.อย่างน้อยก็ใช้กติกาในการตัดสิน เพราะ กกต.เดินบนกฎหมาย มีคนได้คนเสีย หากกฎหมายไม่ดีให้ไปแก้กฎหมาย และหาก กกต.ปฏิบัติเกินกฎหมายหรือน้อยกฎหมายก็ติดคุก
ขณะที่ นายยุทธพร อิสรชัย คณะรัฐศาสตร์ สุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า มองว่าการเลือกตั้งที่มีกระบวนการควบคุมกำกับมากเกินไปจะทำให้การเลือกตั้งขาดความเสรี ทำให้เกิดข้อจำกัดและถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือการเมือง ซึ่ง กกต.ในฐานะคนตัดสินต้องยึดหลักให้ดีเพื่อตอบโจทย์คนในสังคม ดังนั้น การมี กกต.และองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ต่อการพัฒนาการเมืองให้มีเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่ครรลองของประชาธิปไตย ส่วนบทบาทของ กกต.กับการสร้างความสมดุลในระบอบประชาธิปไตยว่า กกต.จะต้องไม่เป็นสถาบันทางการเมืองที่ล้าหลังและทำให้การเลือกตั้งตอบโจทย์ โดยจะต้องปรับตัว ไม่ถอยหลังไปสู่ยุคเก่า เกิดคำถาม กกต.มีไว้ทำไม แต่ต้องถามคำถามว่า กกต.วันนี้จะทำอะไรให้กับสังคม โดยส่วนตัวอยากเห็น กกต.ลดความเป็นองค์กรภาครัฐ เพิ่มความเป็นองค์กรภาคสังคม และเป็น กกต.ของประชาชน
ขณะที่ในช่วงท้ายของการคำถามตอบ นักศึกษา พตส.ได้ถามนายแสวง ในประเด็นการทำงานของ กกต.ว่ามีการรังแกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ทั้งที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งนั้น เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า อันดับแรก ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อย่างที่สองคือ การเลือกตั้งคือความชอบธรรมที่จะมาบริหารประเทศ แต่ไม่ได้บอกว่า คนเลือกตั้งจะไม่มีความผิด หรือทำอะไรก็จะได้รับการยกเว้น ไม่ได้บอกว่าคนชนะเลือกตั้งจะทำอะไรก็ได้ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ส่วนกรณีการถือหุ้นสื่อที่เป็นลักษณะต้องห้าม มี 2 องค์ประกอบ คือ การเป็นเจ้าของหรือการเป็นผู้ถือหุ้น แล้วเป็นสื่อมวลชนประเภทใด คนติดสินก่อนเลือกตั้งคือศาลฎีกา หลังการเลือกตั้งคือศาลรัฐธรรมนูญ ส่วน กกต.ไม่ใช่คนตัดสินเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม เป็นเรื่องประจำตัวที่มีเอกสารยืนยันอยู่แล้ว หาก ผอ.ประจำเขตเลือกตั้ง ตรวจเจอก่อนก็ส่งเรื่องได้เลย หากเป็นแบบบัญชีรายชื่อ กกต.ก็เป็นคนส่ง ส่วนถ้าพบหลังการเลือกตั้ง คนส่งคือ ส.ส.หรือ สว.หรือ กกต.แล้วแต่โครงสร้างของเรื่อง
สำหรับแนวทางการปรับข้อเท็จจริงที่ใช้วินิจฉัยเรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ว่า 1.เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น 2.เป็นกิจการหนังสือ หรือสื่อมวลชนใด 3.คือประกอบกิจการหรือไม่ และ 4.คือเลิกกิจการไปแล้วหรือเปล่า ซึ่งเมื่อดูข้อเท็จจริงที่ผ่านมาเราจะเห็นข้อเท็จจริง 3 ประการคือลักษณะแรกตรงตามตัวหนังสือคือเป็นผู้ถือหุ้นสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเข้าองค์ประกอบทั้ง 4 เรื่อง แต่พอมาเรื่องลักษณะข้อเท็จจริงที่ 2 คือไม่ได้เป็นสื่อ แต่ในหนังสือบริคณห์สนธิเขียนว่ามีวัตถุประสงค์ในการทำสื่อ เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็จะฟังและวินิจฉัยว่าเข้าองค์ประกอบทั้ง 4 เรื่องหรือไม่ ซึ่งศาลให้ไปดูที่การประกอบกิจการว่าบริษัทนี้วางเสาไฟฟ้าขายของ แต่เขียนมีวัตถุประสงค์ในการทำสื่อ ก็จะดูเพื่อให้รู้ว่ามีรายได้จากสื่อ แล้วศาลไม่ได้ระบุว่าหรือไม่เป็นช่วงของการรับสมัครหรือไม่ แต่จะดูแค่ว่าประกอบกิจการหรือไม่ มีรายได้จากสื่อหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีลักษณะข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ ถ้าไม่เคยประกอบกิจการสื่อเลย ศาลก็ไม่ถือว่าเป็นสื่อ ลักษณะอย่างนี้เป็นเกือบ 100 เรื่อง ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ซึ่งศาลยกคำร้อง
“กกต.จึงนำแนววินิจฉัยนี้มาใช้ว่า ไม่ประกอบกิจการสื่อเลยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ไม่เคยมีรายได้จากตรงนี้เลย คือบริษัทไม่ได้ตั้งใจคำเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น แต่หนังสือบริคณห์สนธิมีวัตถุประสงค์ว่าทำสื่อ ส่วนลักษณะข้อเท็จจริงประการที่ 3 เป็นสื่อ ประกอบกิจการหรือไม่ ก็พบว่าตั้งแต่ต้น แต่ว่าหยุด ไม่ดำเนินการเพราะมีข้อพิพาทให้หยุด แต่ยังไม่เลิกกิจการ ดังนั้นข้อเท็จจริงจะต่างกันอยู่ 3 อย่างจากเคยก่อนหน้านี้ ซึ่งยังไม่เคยมีแนววินิจฉัยมาก่อน แต่เมื่อมีปัญหา กกต.ใช่ไม่ใช่คนวินิจฉัย กกต.เป็นคนส่งเรื่อง” นายแสวง กล่าว
นายแสวง กล่าวว่า ถ้าถามว่าทำไม กกต.ตรวจไม่เจอ ก็ต้องขอชี้แจงว่า กกต.จะมีการขอข้อมูลด้านต่างๆ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 26 หน่วยงาน เมื่อส่งมาว่าไม่พบข้อมูล กกต.ก็จะไม่ทราบ กฎหมายจึงมีการเขียนไว้ด้วยว่า “รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีสิทธิก็ยังไปสมัคร” บางครั้งกฎหมายก็เขียนให้พรรคการเมืองและผู้สมัครรับรองตัวเองด้วย ดังนั้นเมื่อหน่วยงานที่ตรวจสอบแจ้งมาว่า ไม่มีรายการตามนี้ไม่ว่าจะปี 2562 และ 2566 แต่มีคนมาร้อง กกต.ก็ดำเนินการตามกระบวนการ พิจารณาตามข้อเท็จจริงที่ต่างกันอยู่ 3 ข้อดังกล่าว แล้วยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่มีใครมาแทรกแซงได้ เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้ว
ขณะที่ นายปกรณ์ มหรรณพ กกต.กล่าวถึงการพัฒนางานของ กกต.ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งว่า ในการเลือกตั้งปี 2562 กับปี 2566 นั้น เราสามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ก่อนเวลา ซึ่งในปี 62 มีปัญหาเกี่ยวกับบัตรเขย่งจำนวนมาก ปัญหาคะแนนเขย่ง มีปัญหาเกี่ยวกับการประกาศผลหน้าหน่วยเลือกตั้ง การมารวมคะแนนของเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร และเลือกตั้งล่วงหน้าที่เขต แต่ปี 66 ไม่มีปัญหาเหล่านี้ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องนับผิดพลาดจำนวน 40 หน่วยจาก 90,000 กว่าหน่วย นั้นคือสิ่งที่เราได้พัฒนาและแก้ไข ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นเราได้รับไปแก้ไขตลอด มาถึงปี 66 เราได้ดำเนินการมาตามระยะเวลาที่กำหนดถูกต้อง ซึ่งจำนวนคนที่เราใช้ในการทำงาน 1 ล้านคน ใช้งบประมาณ 6 พันล้านบาท พูดกันมากว่าว่า กกต.มีไว้ทำไมใช้เงินไป 6 พันล้าน ซึ่งเงินที่เราใช้บริหารจริงๆนั้นมันไม่มากเลย แต่ภาพรวมมันเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์จะต้องทำความเข้าใจให้กับคนที่ซึ่งมีอคติกับเรา แต่เป็นอย่างที่ สว.ท่านได้พูดว่าเราต้องแก้ไขปรับปรุง
นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า อย่างที่บอกเราพัฒนา และเราทำตามกฎหมาย การที่เราพิมพ์บัตรเลือกตั้งโหลเพราะกฎหมายกำหนดให้เราต้องพิมพ์บัตรโหล เราแบ่งเขตเลือกตั้งเพราะต้องมีอำเภอหลัก เราถูกฟ้อง 5 สำนวน แล้วศาลปกครองก็พิพากษาว่าเราทำตามกฎหมาย หลังจากที่เราเลือกตั้งต้องประกาศผลภายใน 60 วัน ซึ่งเราก็ทำแล้ว นี่เกือบ 2 เดือนแล้วที่เราประกาศผล ก็อยากจะถามว่า “...มีไว้ทำไม เลือกนายกฯได้แล้วหรือยัง” สิ่งที่อยากทำความเข้าใจว่าในการเลือกตั้งปี 62 ไม่มีการแจ้งจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่าถือหุ้น ทุกประเด็นเรายินดีแก้ไขปรับปรุง และนี่คือสิ่งที่เราอยากชี้ว่าเรายินที่จะรับกระสุนและเตรียมน้ำไว้ให้รถทัวร์
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี