“ชวน” ใช้เวทีแถลงนโยบายรัฐ กรีด 16 กบฏยันเหตุไม่โหวต”เศรษฐา”ไม่หักหลังคนใต้ แนะ”นายกฯคนที่30 ”อย่าล้ำเส้น ทุจริตทำผิดซ้ำ อย่าทำธุรกิจการเมืองเอื้อพวกพ้อง อยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ อยู่ที่ตัวทำ หากทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ก็จะปลอดภัยโดยไม่ต้องติดคุก ไม่ไปอยู่ในกลุ่มโคตรโกง หรือโกงทั้งโคตร พร้อมขอชดเชยคนใต้ สร้างถนนหลักคู่”เพชรเกษม”หลังถูกเลือกปฏิบัติ ซัดไร้นโยบายแก้ไฟใต้ 20 ปี สูญเสีย 7,250 ศพ หลังใช้กำปั้นเหล็กขัดหลักนิติธรรม “เด็กพท.”ประท้วงวุ่น
เมื่อเวลา 17.20 น.วันที่ 12 ก.ย. 2566 นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ลุกขึ้นอภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า นโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาจะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ผู้บริหารรัฐบาล ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี จนถึงคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในส่วนนายกฯ ตนแสดงความยินดี แม้ว่าตนไม่ได้โหวตเห็นชอบ ไม่ใช่เพราะเรื่องคุณสมบัติ แต่ท่านมาจากพรรคการเมืองที่เลือกปฏิบัติกับประชาชน ตนเป็นหนึ่งใน สส.ที่ทุกข์ร้อนแทนพี่น้องประชาชนที่ถูกเลือกปฏิบัติในยุคพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ที่ใช้หลักว่า พัฒนาจังหวัดที่เลือกเรา ส่วนจังหวัดไม่เลือกไว้ทีหลัง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้
"ผมและเพื่อนสส.ปชป.จึงคิดว่าจะต่อสู้ด้วยระบบประชาธิปไตยเลือกใช้การรณรงค์กับชาวบ้านในพื้นที่ว่า อย่าเลือกพรรคที่เลือกปฏิบัติกับพวกเรา พรรคที่กลั่นแกล้ง ไม่พัฒนาพื้นที่บ้านเรา เราไม่ใช้วิธีรุนแรง ซึ่งก็ได้ผลเพราะประชาชนไม่เลือกพรรคของท่านมาตลอด 3 สมัยที่ผ่านมา พรรคท่านไม่ได้สส.แม้แต่คนเดียวในภาคใต้ แม้จะได้สส.แบบแลนด์สไลด์ในภาคอื่น ดังนั้นเมื่อผมขอร้องประชาชนไม่ให้เลือก แต่วันหนึ่งกลับมาโหวตเลือก ก็เท่ากับหักหลังชาวบ้านทรยศประชาชน ตนจึงขออนุญาตพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมติไม่รับรองนายกฯด้วยวิธีงดออกเสียง แต่ตนขออนุญาต ไม่เห็นชอบ"นายชวน กล่าว
นายชวน กล่าวต่อว่า แต่ตนให้ความเป็นธรรมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เพราะนั่นเป็นเรื่องโยบายในอดีตที่มีผลต่อเนื่อง กระทบต่อนโยบายการพัฒนาประเทศ ทั้งที่จังหวัดภาคใต้ล้วนสร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมาก ทั้งที่เลือกปฏิบัติ แล้วมาเก็บภาษีไม่ละเว้น ตนรับไม่ได้กับวิธีนี้จึงต่อสู้มาจนถึงปัจจุบัน ตนนับนายกฯคนที่21-29 ไม่มีใครโดนตรวจสอบเข้มข้นเหมือนนายกฯคนที่30 ที่มีการนำประวัติการทำธุรกิจมาตรวจสอบ ตนไม่มีความรู้เรื่องนี้ ตนไม่เคยรู้จักนายเศรษฐา เพิ่งรู้จักเมื่อสักครู่ เพราะนายเศรษฐาให้เกียรติมาพบตนที่ห้องอาหาร การตรวจสอบจึงเป็นประโยชน์ต่อนายเศรษฐา แต่เมื่อมามองมาตรฐานของการเลือกนายกฯ มาตรฐานที่พรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาพรรคเพื่อไทย เสนอบุคคลเป็นนายกฯ ตนคิดว่าคุณสมบัตินายเศรษฐาคุณสมบัติไม่ด้อยกว่าคนอื่นในอดีต จึงขอแนะนำว่า คืออย่าล้ำเส้น อย่าติดคุก อย่าหนีออกไปต่างประเทศ อย่าทำอะไรก็ตามที่มีปัญหาเมื่อพ้นออกจากตำแหน่ง วันนี้ยังวัดไม่ได้ว่าท่านซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ ไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตรวจสอบท่านเป็นประโยชน์กับท่านมาก ท่านสามารถชี้แจงสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้
“นายกฯคนที่ 30 จะเจอชะตากรรมอย่างไร จึงอยู่ที่ภาคปฏิบัติ เราไม่อาจวัดในวันนี้ได้ ดังนั้นการตรวจสอบความเป็นไปได้ของรัฐบาลที่เกิดจากผู้ปฏิบัติถือเป็นสิ่งสำคัญ เราจะหนีชะตากรรมเรื่องคดีได้คือการไม่โกง สอดคล้องกับสิ่งที่นายกฯแถลงในนโยบายความซื่อสัตย์สุจริต” นายชวน กล่าว
ทำให้นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า อย่าพูดเรื่องในอดีต อย่ารื้อความหลัง นี่เป็นการแถลงนโยบายรัฐบาล ขณะที่วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เห็นว่า นายชวนกำลังอภิปรายถึงความเป็นไปได้ของความสำเร็จหรือไม่ในนโยบายรัฐบาล ไม่ถือว่าผิดข้อบังคับ
ขณะที่นายชวน ได้กล่าวอภิปรายต่อว่า ตนยืนยันว่าอภิปรายตามข้อบังคับการประชุมที่ 41 ซึ่งความสามารถในการสำเร็จของนโยบายรัฐบาลอยู่ที่ผู้ปฏิบัติคือนายกฯ และครม. ตนให้ความเป็นธรรมกับนายเศรษฐา ชี้แจงตรงไปตรงมา ข้อวิตกกังวลเรื่อง นักธุรกิจมาทำการเมืองจะมีปัญหาหรือไม่นั้น ประสบการณ์ในอดีตเมื่อนักธุรกิจมาทำการเมือง ทำธุรกิจเป็นการเมือง ทำการเมืองเป็นธุรกิจ จึงทำให้ความไว้วางใจลดน้อยลง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก ถือเป็นประโยชน์ ขออย่างเดียวอย่าทำธุรกิจการเมือง อย่านำผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วนพวกมาเกี่ยวข้องการเมือง เพราะจะกระทบต่อส่วนรวมของบ้านเมือง เพื่อนตนที่เป็นนักการเมืองติดคุกไป 10 คน เพราะทำการเมืองเป็นธุรกิจ เกรงใจลูกพี่ มีอันเป็นไปอย่างน่าเสียดาย จึงถือเป็นบทเรียนสำคัญ ของนายกฯคนที่ 30 ที่ตนย้ำเรื่องนี้เพราะเป็นโอกาสดี เมื่อเราได้นายกฯคนนี้มา อย่างน้อยที่สุดท่านคงจะมีความเข้าใจบาปบุญคุณโทษ ท่านมาจากครอบครัวที่ดีงาม คงรู้ว่าคนที่ถูกเอาเปรียบ หรือเลือกปฏิบัติ นอกจากขัดหลักประชาธิปไตยแล้ว ก็ไม่ควรจะมองข้ามละเลยไป
“ผมขอเสนอให้ท่านนายกฯทบทวนเหตุการณ์นี้ตามความเป็นจริง เพื่อชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติในอดีตที่ผ่านมา ผมเรียกร้องเรื่องนี้มานานตั้งแต่ยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และได้รับการชดเชยบางส่วนคือการปรับปรุงถนนเพชรเกษมที่ถูกละเลยให้ดีขึ้น ผมเคยหวังพึ่งพานายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ตอนเป็นรมว.คมนาคม ท่านก็ลงไปดูให้ แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น เพราะอธิบดีกลัวถูกย้าย ต้องสนองงานฝ่ายการเมือง ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดี ที่นายกฯจะทบทวน และจะใช้วิจารณาญาณ ติดตามศึกษาความเป็นจริงแล้วหาทางแก้ไข ผมเคยเสนอตอนปลายรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ขอให้สร้างถนนสายหลักคู่ขนานกับถนนเพชรเกษม ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ รับปากแล้วไปหาเสียงว่าถ้าได้กลับมาจะดำเนินการให้ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้กลับมา” นายชวน กล่าว
นายชวน กล่าวต่อว่า จากที่ตนดูคำแถลงนโยบายหน้าแรกที่ระบุว่ามุ่งมั่นจะสร้างความสามัคคีปรองดอง ตนประทับใจ แต่มันจะเกิดขึ้นได้เมื่อประชาชนได้รับการปฏิบัติเสมอกัน ไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากความคิดทางการเมืองที่ต่างกัน ตนขอยกตัวอย่าง 7,520 คน คือตัวเลขผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 2547-2566 แม้งบประมาณจะมากเท่าใดก็ไม่มีความหมายเท่ากับชีวิตคนหนึ่งคน ซึ่งเท่าที่ตนตรวจสอบคำแถลงนโยบายรัฐบาล14 หน้า ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับสถานการณ์ใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้เลย ไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี2548เป็นต้นมา ถ้าเราเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญ1ในข้อใดของทั้ง14หน้าทำไมไม่เขียนไว้เลย แม้นายกฯจะย้ำเรื่องหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง แต่เราไม่เห็นข้อมูลชัดเจน ซึ่งต้นเหตุเกิดจากวันที่ 8 เม.ย. 44 จุดเริ่มต้นใช้นโยบายละเมิดหลักนิติธรรม คือ คนร้ายไม่เกิน 20 คน จัดการเดือนละ 10 คน 2เดือนก็หมด คำว่าจัดการท่านเข้าใจดี วันหนึ่งตนไปงาน นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล สว. ไปตลาดโต้รุ่ง ได้ยินว่าเกิดเหตุยิงกัน ซึ่งเมื่อไปถึงพบ 3ศพ ที่สุด กลุ่มอาร์เคเค ก็เกิดขึ้น หลังทดลองปล้น ก่อเหตุปละปลายมาตลอด3 ปี จนถึงวันที่ 4ม.ค. 47 ก็เกิดเหตุปล้นอาวุธสงคราม 413 กระบอกในค่ายทหารที่ปิเหล็ง และอาวุธเหล่านั้นที่คนร้ายใช้ทำร้ายพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐทุกอาขีพ จำนวน 7,520คน ยกเว้น หมอกับนักการเมือง
น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงนายชวน เพราะพูดจาส่อเสียด และไม่อยู่ในประเด็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกว่า 20 ปี พูดซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ ได้วินิจฉัย ขอให้นายชวนพูดอยู่ในเนื้อหา เพราะเรื่องที่พูดอยู่ ลึกเกินไปกว่านโยบายรัฐบาล
โดยนายชวน กล่าวตอนท้ายว่า เป็นความจริงที่ต้องยอมรับถ้าจะแก้ไขปัญหา การที่ฝ่ายบริหารตัดสินเองแทนศาลให้จัดการเดือนละ 10 ราย ซึ่งผลพวงปรากฏถึงทุกวันนี้ เชื่อว่านายกฯจะแก้ไขปัญหานี้ และคำแนะนำที่ดีที่สุด คือ พระบรมราโชวาทในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงแนะนำว่า เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เราจะใช้วิธีแก้แค้นนอกกฎหมาย อาจสะใจคนบางกลุ่มแต่เป็นที่มาของปัญหา ดังนั้น เราจำเป็นต้องยึดว่า พุทธทำผิด ตำรวจอัยการฟ้อง ศาลตัดสิน เช่นเดียวกับมุสลิมทำผิด ตำรวจอัยการฟ้อง ศาลตัดสิน อย่าให้ฝ่ายบริหารเป็นผู้ตัดสินเองว่า ตายเดือนละ 10 คน อันเป็นที่มาของการละเมิดหลักนิติธรรม ทั้งนี้ หากทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ท่านนายกฯ จะปลอดภัยเมื่อครบ 4 ปีหรือไม่ครบก็ตาม โดยไม่ต้องติดคุกอันเกิดจากการทุจริต ไม่ไปอยู่ในกลุ่มโคตรโกง โกงทั้งโคตร
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี