"อ.ปณิธาน"ฉายภาพความขัดแย้งยาวนาน‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ และบทเรียนสำคัญของ"ไทย"
27 ต.ค. 2566 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านการต่างประเทศและความมั่นคง อดีตอาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการ “แนวหน้า Talk” ฉายภาพความขัดแย้งที่ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งโดยพื้นฐานก็มีความขัดแย้งกันมาตั้งแต่การที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ที่เป็น “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” ของ 3 ศาสนา คือยิว คริสต์และอิสลาม โดยเฉพาะชาวยิวกับชาวอาหรับโดยเฉพาะปาเลสไตน์และจอร์แดน ที่ต่างก็งัดหลักฐานอ้างว่าพวกตนเองเคยอยู่ในบริเวณนั้นมาเป็นพันปี
กระทั่งช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยิวในสหรัฐอเมริกา รวมถึงในทวีปยุโรปโดยเฉพาะเยอรมนี ที่ได้รับผลกระทบจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยนาซีเยอรมัน ได้พากันอพยพไปอยู่ในดินแดนดังกล่าวและก่อตั้งประเทศอิสราเอลขึ้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของการกระทบกระทั่งกับชาวปาเลสไตน์และกลุ่มอาหรับ ซึ่งต้องบอกว่าทั้ง 2 ฝ่ายมักไม่คุยกัน หรือคุยกันคนละความถี่ สะท้อนปมลึกในเรื่องเชื้อชาติและศาสนา อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็มีวิธีคิดแบบ “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน” ใครมีกำลังก็ทำลายอีกฝ่าย
“ตอนนี้อิสราเอลบอกว่าฮามาสคือนาซีใหม่ ฆ่าเขามากสุดในวันเดียว อันนี้รุนแรงมาก แล้วเขาก็เอารูปการฆ่าล้างชนชาวยิวสมัยนี้ แล้วเห็นว่ามีรูปคนไทยที่โดนทำร้ายไปโชว์ที่สหประชาชาติ หลายคนก็บอกไม่ให้โชว์ เขาก็บอกทำไมล่ะ? แล้วก็บอกว่าถ้าใครไม่ประณามศีลธรรมคุณใช้ไม่ได้ แล้วรวมทั้งเลขาธิการสหประชาชาติ เขาพยายามผลักดันให้ขับไล่-ปลดออก อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นความขัดแย้งมันลงรากลึก” อาจารย์ปณิธาน กล่าว
อาจารย์ปณิธาน กล่าวต่อไปว่า เมื่ออังกฤษถอนตัวออกจากภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสหรัฐอเมริกาเข้ามาแทนที่ สหรัฐฯ ได้จัดระเบียบพื้นที่ใหม่ รับรองประเทศอิสราเอล หลังจากนั้นชาวปาเลสไตน์ก็กลายเป็นผู้พลัดถิ่นและผู้อพยพ กระทั่งได้ดินแดนฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ ทั้งนี้ อิสราเอลยังได้พื้นที่เพิ่มจากการชนะสงครามกับกลุ่มประเทศอาหรับ เรียกว่าอิสราเอลตั้งประเทศก็รบกันทันทีเพราะกลุ่มอาหรับต้องการขับไล่ชาวอิสราเอล แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะอิสราเอลได้
ปัจจุบันอิสราเอลมีพื้นที่ประมาณ 2 หมื่นตารางกิโลเมตร เทียบได้กับพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งอิสราเอลมีการตั้งนิคมการเกษตร ลงหลักปักฐานกันเป็นเรื่องเป็นราวไม่ไปไหนแล้ว จนมีคำพูดโดยเฉพาะจากประเทศอิหร่าน บอกว่าจะให้ออกไปคงต้องลบออกจากแผนที่ ซึ่งก็รวมถึงอาจต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์ อิสราเอลนั้นก็กลัวแต่ก็พัฒนาตนเองขึ้นมา ขณะที่สหรัฐฯ เห็นว่าต้องเจรจากับปาเลสไตน์ นำไปสู่การลงนามในข้อตกลงออสโล โดยสาระสำคัญคือให้จัดตั้งรัฐปาเลสไตน์คู่กัน ซึ่งอิสราเอลแม้ตกลงในหลักการแต่ยังไม่มีการเดินต่อ
อนึ่ง นอกจากเรื่องในประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีเหตุกระทบกระทั่งระหว่างชาวยิวกับชาวมุสลิมในเมืองเยรูซาเลม เมืองที่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง “เนินพระวิหาร (Temple Mount)” ซึ่งศาสนิกชนทั้งศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลามต้องการเข้าไปทำพิธีกรรม ปัจจุบันอิสราเอลเป็นผู้ทำหน้าที่บริหารจัดการเมืองเยรูซาเลม ซึ่งก็ดูจะมีปัญหาเพราะเหมือนอิสราเอลพยายามจำกัดการทำกิจกรรม สิ่งนั้นทำได้-สิ่งนี้ทำไมได้
ขณะที่ทางฝั่งปาเลสไตน์ กลุ่มฮามาสชิงการนำทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง โดยเอาชนะกลุ่มฟาตาห์ กลุ่มฮามาสจึงปกครองดินแดนปาเลสไตน์โดยใช้อุดมการณ์ชาตินิยม มีการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล ขณะที่อิสราเอลก็ตอบโต้ด้วยการสร้างกำแพงปิดล้อมและตัดเส้นทางขนส่งสินของจำเป็นต่างๆ ในการดำรงชีพ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อกันมากว่าไม่ต่ำกว่า 10 ปี ส่วนการปะทุระลอกล่าสุดเข้าใจว่ากลุ่มฮามาสมีศักยภาพใหม่ ว่ากันว่ามีบางประเทศให้การสนับสนุนการทำสงครามแบบผสม เห็นได้จากมีทั้งหน่วยพลร่มและอากาศยานไร้คนขับ (โดรน)
“อันนี้ไม่ใช่เป็นข้ออ้าง เป็นเหตุผลไปทำร้ายพลเรือนนะ ต้องบอกไว้ก่อนเราไม่เห็นด้วยทั้ง 2 ฝ่าย วิธีการแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร บอกเขาก็ไม่ฟังหรอก ผมก็เคยไปพูดนะ วิธีการแบบนี้ สร้างกำแพงแบบนี้ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ระเบิด เขาบอกกำแพงเขาดีที่สุดในโลก ผมฟังดูก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช้ แต่เขาเป็นเจ้าของความขัดแย้ง เรารู้สึกว่าเราไปพูดเขาก็ไม่ฟัง ทีนี้พอผลักดันปาเลสไตน์อยู่ในที่แคบๆ ปิดล้อมเยอะๆ เศรษฐกิจก็ไม่ดี เงินที่บอกจะช่วยสร้างประเทศสร้างเมืองก็ไม่มี อิสราเอลก็ไม่ได้ทำจริงจัง ถ้าไม่กดดัน ถ้าไม่ใช้กำลังก็คงไม่หันมาแก้ปัญหา ก็เลยติดอาวุธกดดัน แต่อาจจะทำเกินเลยไป” อาจารย์ปณิธาน ระบุ
อาจารย์ปณิธาน ยังกล่าวอีกว่า การเติบโตของมหาอำนาจในภูมิภาค เช่น อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย ก็เป็นปัจจัยอีกส่วน จะเห็นว่าสงครามในประเทศเยเมน ซาอุฯ กับอิหร่าน สนับสนุนคู่ขัดแย้งคนละฝ่าย ขณะที่อิสราเอล แม้จะมีปฏิบัติการภาคพื้นในฉนวนกาซาแต่ยังเป็นวงจำกัด แต่ก็ส่งกำลังเข้าไปบางส่วนยังไม่เข้าไปเป็นกองกำลังใหญ่ เพราะอิสราเอลเคยมีบทเรียนจากการเข้าไปติดกับดักในเลบานอนเมื่อหลายสิบปีก่อน
รวมถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐฯ ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญไปแนะนำอิสราเอล ซึ่งไม่แนะนำให้อิสราเอลส่งกองทหารเข้าไปจำนวนมาก แต่ให้เลือกโจมตีเป้าหมายเฉพาะจุดและอพยพพลเรือนให้ได้มากที่สุด เพื่อลดแรงกดดันจากนานาชาติ พร้อมกับเจรจาเรื่องตัวประกันไปด้วย ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ทางตอนเหนือของอิสราเอล ยังมีการวางกำลังทหารบริเวณชายแดนติดกับเลบานอน เพื่อป้องกันการโจมตีจากกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่มีขนาดใหญ่กว่าฮามาสและมีอิทธิพลทางการเมืองในเลบานอน เบื้องต้นทั้ง 2 ฝ่ายมีการยิงปะทะกันบ้างแต่ยังไม่เปิดฉากรบเต็มที่
เมื่อลงไปดูทางใต้ของฉนวนกาซาซึ่งมีด่านพรมแดนราฟาห์เชื่อมกับประเทศอียิปต์ แต่อียิปต์ก็กลัวเคลื่นผู้อพยพจากปาเลสไตน์ เพราะคงรับไม่ไหวและไม่รู้ว่าจะมีใครมารับช่วงต่อ อย่างไรก็ตาม จุดผ่านแดนราฟาห์ก็เป็นจุดรวมสิ่งของเพื่อให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้ ดินแดนฉนวนกาซา มีการก่อสร้างเครือข่ายอุโมงค์ที่สลับซับซ้อน ตามการให้ข้อมูลของตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสปล่อยออกมา อีกทั้งมีการวางระบบโทรทัพท์ภายในทำให้ดักจับสัญญาณไม่ได้ ซึ่งอิสราเอลต้องการทำลายเครือข่ายอุโมงค์นี้ให้หมด
ทั้งนี้ เหตุปะทะระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ครั้งนี้แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 1.กลุ่มฮามาสส่งนักรบนับพันบุกเข้าโจมตีอิสราเอล ก่อนถอยกลับไปพร้อมกับตัวประกัน โดยหวังดึงชาติอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือให้ตัวประกันเป็นเหมือนโล่มนุษย์ หรือแม้แต่อาจเรียกค่าไถ่ หรือถ้าจนมุมสุดๆ ก็คือใช้ตัวประกันเพื่อต่อรองเปิดทางหนี 2.อิสราเอลเริ่มโต้กลับ มีการปะทะกันประปราย มีภาพหรือคลิปวีดีโอทหารเข้าไปช่วย หรือชาวนิคมลุกขึ้นต่อสู้
3.อิสราเอลระดมกำลังทหาร เห็นจากมีการระดมกองหนุน 3 แสนนาย พร้อมกับปิดล้อมฉนวนกาซา ตัดน้ำ-ไฟฟ้า และการส่งเสบียงต่างๆ เข้าไป เพื่อเตรียมการบุกครั้งใหญ่ และ 4.ก็ตามที่ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศไว้ว่า จะส่งทหารเข้าไปแบบบ้านต่อบ้าน-ตึกต่อตึก เพื่อทำลายกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก แต่ก็มีข้อกังวลว่า ในระยะที่ 4 หากอิสราเอลทำจริงจะเสียหายมาก เพราะจะมีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก และคนก็ต่อต้านกันเยอะ แม้แต่ชาวยิวด้วยกันที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังไปชุมนุมประท้วงกันที่อาคารของรัฐบาล หรือทางยุโรปก็กดดัน
ส่วนจุดยืนของไทยตอนนี้จะเริ่มชัดเจนขึ้นว่าเราเป็นคู่กรณี เพราะเรามีตัวประกันอยู่ เราไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แล้วยังมีคลิปบางคลิปที่น่าแปลกใจมาก ว่ากองกำลังของฮามาส ถ้าเป็นจริงตามที่คนงานเล่า และเป็นจริงตามที่ผู้เชี่ยวชาญจะยืนยันภายหลัง เขามาถึงเขาโจมตีเลย คือปกติค่ายคนงานของอิสราเอลเขาเองจะมีกองกำลังป้องกัน ของเราไม่ค่อยมี ถ้ามีทหารอิสราเอลก็อยู่ห่างๆ เขารู้ว่าเราไม่ได้ไปต่อต้าน แต่เขาเข้ามาเขาโจมตีเลย มีพูดภาษาไทย มีพูดว่าเป็นเชลยศึก
แต่ทั้งหมดนี้ต้องไปดูจริงๆ จัง เพราะยังเป็นเพียงข่าวเท่านั้น ยังไม่มีการกรองเพื่อยืนยัน แนวโน้มเขาอาจจะคิดว่าเราเป็นคู่กรณี ไปทำให้อิสราเอลเข้มแข็ง ไปทำให้เศรษฐกิจเขาเข้มแข็ง ไปเป็นแนวปราการอยู่ตามใกล้ๆ กับเขา ไปประชิดตัวเขาหรือเปล่า อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องมาดู แต่ชัดเจนว่าเหตุการณ์มันพาเราเป็นคู่กรณี เราต้องไปกดดันหลายฝ่ายให้ช่วยคนไทย เราต้องไปเรียกร้อง ไม่ใช่แต่ขอบินอย่างเดียว เราต้องไปปฏิบัติการหลายอย่าง อาจจะต้องไปรอรับคนไทยในอนาคตมากกว่านี้
กลายเป็นว่าเราอาจต้องเผชิญหน้ากับหลายประเทศ รวมทั้งอิสราเอลที่เคยเป็นมิตรกับเราและยังเป็นมิตรอยู่ แล้วยังอียิปต์ซึ่งมีบทบาทสูง ซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน พวกนี้เราอาจจะต้องไปทำความเข้าใจกับเขาให้ช่วยคนไทย อาจต้องมีการต่างตอบแทนแลกเปลี่ยนกัน รวมทั้งชาวปาเลสไตน์ และหลายกลุ่มที่มาเที่ยวเมืองไทยและอาจจะอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ อาจต้องมีตัวแทนไทยไปเจรจากับทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ แม้จะยากแต่ไม่มีทางอื่น จะให้อิสราเอลเจรจาแทนเราจะได้ผลหรือไม่ เราจึงต้องมีหลายช่องทางไม่ใช่ช่องทางเดียว ทั้งที่เป็นและไม่เป็นทางการ
“ความขัดแย้งครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเพิ่มขึ้นแล้วก็มีข้อสรุปแล้ว เช่น เราไม่ควรแสดงทีท่าให้แต่ละฝ่ายเข้าใจผิดหรือใช้ประโยชน์ว่าเราเป็นพวกใคร อันนี้เป็นบทเรียนแรก การแถลงอะไร การพูดอะไรต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยามสงครามเขาจะดูว่าเราเป็นพวกใคร แล้วความเชี่ยวชาญของเรา ส่วนใหญ่เขาดูไม่ออกว่าเราเป็นพวกใคร เมื่อก่อนนโยบายเราซับซ้อนมาก คือเราสนิทกับทุกฝ่าย เราจะไม่เลือกข้างจนกว่าจำเป็น และเราก็เลือกตามกติกาสากล และเมื่อเราเลือกข้างแล้วฝ่ายที่เป็นศัตรูก็ไม่ได้โกรธเรามาก” อาจารย์ปณิธาน กล่าว
สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=jLl01cZMJyk
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี